รีวิว (Review) Samsung Galaxy Note FE (Fan Edition)
สมาร์ทโฟน Galaxy Note ที่คุ้มค่าตัวที่สุด ณ ชั่วโมงนี้ ด้วยยอดปากกา S Pen เวอร์ชันใหม่ และสเปกระดับท็อป ในราคาไม่ถึงสองหมื่น! พร้อมไฮเอนด์จัดเต็มด้วยจอ 2K Super AMOLED ขอบโค้ง, ระบบสแกนม่านตา, ชิปเซ็ต Exynos 8890 ตัวแรง, กล้อง Dual Pixel และแบตเตอรี่รุ่นใหม่ที่ปลอดภัยเต็มร้อย บนบอดี้ Metal-Glass Fusion สวยเฉียบสุดพรีเมียมที่กันน้ำได้!
Review
Date (23-มกราคม-2560)

สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกครั้งกับการรีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นเด็ดโดยทีมงานไทยโมบายเซ็นเตอร์ดอทคอม ซึ่งในครั้งนี้จะเป็นรีวิว Samsung Galaxy Note FE (Fan Edition) ซึ่งอันดับแรกทางทีมงานต้องขอแจ้งข้อมูลให้ทราบกันก่อนว่าเครื่อง Samsung Galaxy Note FE (Fan Edition) ที่เข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยนั้นไม่ใช่เครื่อง Galaxy Note 7 Refurbished แต่เป็นเครื่อง Galaxy Note FE ที่ผลิตจากวัสดุใหม่ทั้งหมด พร้อมกับวัสดุอีกส่วนหนึ่งที่เป็นวัสดุรีไซเคิลเพื่อประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม
รวมถึงเป็นการนำแบตเตอรี่รุ่นใหม่ที่ปลอดภัยมาใช้อีกด้วย นั่นหมายความว่า Samsung Galaxy Note FE นั้นเป็นเครื่องมือหนึ่งจากโรงงานที่ผ่านกระบวนการผลิตใหม่ทั้งหมดนั่นเอง
ข้อมูลเพิ่มเติม : Samsung Galaxy Note FE (Fan Edition) คืออะไร? รู้จักสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่ในร่าง Galaxy Note 7 พร้อมสเปกไฮเอนด์จัดเต็มระดับท็อปไม่แพ้รุ่นใด ในราคาสุดคุ้มเพียง 20,900 บาท!
สำหรับจุดขายหลักของ Samsung Galaxy Note FE นั้นจัดอยู่ในระดับไฮเอนด์เลยก็ว่าได้ เริ่มตั้งแต่ ตัวเครื่องใช้เทคโนโลยีการผลิต Symmetrical 3D ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างบอดี้โลหะอะลูมิเนียมซีรีส์ 7000 กับกระจก Gorilla Glass 5 ที่ด้านหน้า และด้านหลังของตัวเครื่อง จึงทำให้ตัวเครื่องมีความหรูหรา สวยงาม และแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ, ตัวเครื่อง กับปากกา S Pen สามารถป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่นได้ ตามมาตรฐาน IP68,
หน้าจอแสดงผลแบบ Dual Edge Super AMOLED ความละเอียด 2560x1440 พิกเซล ขนาด 5.7 นิ้ว, รองรับฟังก์ชันลดแสงสีฟ้า (Blue Light Filter), หน้าจอแสดงผลรองรับการใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน Edge Screen, Edge Lighting และ Always-On Display, มีเซ็นเซอร์สแกนม่านตา (Iris Scanner), มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ, มีเซ็นเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate Sensor), รองรับการใช้งานร่วมกับปากกาอัจฉริยะ S Pen
ที่มีหัวปากกาขนาดเพียง 0.7 มิลลิเมตร พร้อมรองรับแรงกดได้มากถึง 4,096 ระดับ, มีฟังก์ชัน Secure Folder บวกกับฟังก์ชัน Dual Messenger รวมแล้วจึงสามารถใช้งานแอปพลิเคชัน Line หรือแอปพลิเคชันอีกหลายตัวที่รองรับ ได้พร้อมกันถึง 3 แอคเคานท์ในเครื่องเดียวกัน, รองรับฟังก์ชัน Multi-Windows สำหรับใช้งานพร้อมกัน 2 แอปพลิเคชัน, สำรองข้อมูลผ่านฟังก์ชัน Samsung Cloud ได้สูงสุด 15 GB, รองรับการใช้บริการ Samsung
Pay ผ่าน NFC หรือ MST, รองรับการใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด พร้อมเทคโนโลยี Full NetCom 3.0 , รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่ายระบบ 4G LTE กับ 3G, แบตเตอรี่รุ่นใหม่ที่ปลอดภัยเต็มร้อยขนาดความจุ 3200 mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยี Fast Charging และรองรับการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย (Wireless Charging)
ซึ่งนอกจากจากจะรองรับการใช้งานร่วมกับปากกาอัจฉริยะ S Pen ทางด้านฟังก์ชันที่เรียกได้ว่าเป็นจุดขายของ S Pen อย่าง Air Command ก็มีให้ใช้งานบน Samsung Galaxy Note FE ด้วยเช่นกัน ซึ่งหลักๆ ก็จะประกอบไปด้วย Screen Off Memo, Create Note, Samsung Notes, Smart Select, Screen Write และ Translate เป็นต้น โดยฟังก์ชันเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ขีดๆ เขียนๆ, จดบันทึก หรือวาดภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง
ทางด้านกล้องถ่ายภาพก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดขายของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ด้วยเช่นกัน โดยกล้องดิจิทัลด้านหลังจะเป็นแบบ Dual Pixel ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ซึ่งใช้เซ็นเซอร์รับภาพแบบ Sony IMX260 ขนาด 1/2.6 นิ้ว, มีขนาดของจุดพิกเซลอยู่ที่ 1.4 ไมครอน, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุด f/1.7, ระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ PDAF (Phase Detection Autofocus), ทางยาวโฟกัส 26 มิลลิเมตร,
ระบบป้องกันการสั่นแบบ Smart OIS (Optical Image Stabilization) พร้อมไฟแฟลช LED ส่วนกล้องดิจิทัลด้านหน้าจะมีความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ที่มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุด f/1.7 พร้อมทางยาวโฟกัส 22 มิลลิเมตร
ทางด้านคุณสมบัติการประมวลผลนั้นจัดอยู่ในระดับไฮเอนด์ ซึ่งสามารถรองรับการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ชิปเซ็ต 64-bit Exynos 8 Octa 8890 ความเร็วในการประมวลผล 2.3 GHz, หน่วยประมวลผลกราฟิกแบบ Mali-T880 MP12, หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4 GB, หน่วยความภายในขนาด 64 GB และขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 7.0 Nougat
โดย Samsung Galaxy Note FE นั้นได้วางจำหน่ายในราคาเพียง 20,900 บาท และหากสั่งซื้อแบบออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ S-eStore ราคาก็จะลงมาเหลือแค่ 18,900 บาท เท่านั้น ซึ่งหากเทียบกับคุณสมบัติที่มีอยู่บนสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร, การออกแบบดีไซน์ตัวเครื่องจะสวยงามขนาดไหน, กล้องดิจิทัลจะถ่ายภาพได้สวยคมชัดเพียงใด, มีฟีเจอร์อะไรให้ใช้งานกันบ้าง และจะคุ้มค่ากับราคาค่าตัวหรือไม่ ขอเชิญทุกท่านไปรับชมรีวิว
Samsung Galaxy Note FE พร้อมกันได้เลยครับ
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

Samsung Galaxy Note FE มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ Dual Edge Super AMOLED ความละเอียด 2560x1440 พิกเซล ขนาด 5.7 นิ้ว พร้อมครอบทับด้วยกระจกหน้าจอแบบ Corning Gorilla Glass 5 โดยตัวเครื่องมีขนาดอยู่ที่ 153.5x73.9x7.9 มิลลิเมตร กับน้ำหนัก 167 กรัม

ด้านหน้าส่วนบนมาพร้อมกับเซ็นเซอร์สแกนม่านตา (Iris Scanner) ที่ด้านหน้าของตัวเครื่อง สำหรับตรวจสอบสิทธิ์ในการเข้าใช้งาน, สัญญาณไฟ LED สำหรับการแจ้งเตือนต่างๆ, กล้องดิจิทัลความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ที่มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุด f/1.7 พร้อมทางยาวโฟกัส 22 มิลลิเมตร, ลำโพงสำหรับฟังขณะทำการสนทนา, เซ็นเซอร์ Accelerometer ที่ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้ และเซ็นเซอร์ Proximity สำหรับการปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา
เพื่อประหยัดพลังงาน

ด้านหน้าส่วนล่างมีปุ่มการสั่งงานแบบสัมผัส (Touch Panel) ได้แก่ ปุ่ม Recent Apps, ปุ่มโฮม พร้อมทำหน้าที่เป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ และปุ่มย้อนกลับ

ด้านบนของตัวเครื่องมีไมโครโฟนตัวที่ 2 สำหรับตัดเสียงรบกวนขณะบันทึกเสียง หรือบันทึกวิดีโอ และถาดใส่ซิมการ์ด ซึ่งรองรับการใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด โดยในช่องที่สองจะต้องเลือกใช้งานระหว่างซิมการ์ดที่ 2 หรือเพิ่มการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD

ด้านล่างของตัวเครื่องมีช่องสำหรับเชื่อมต่อกับหูฟังแบบมาตรขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ช่องเชื่อมต่อแบบ USB Type-C สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ หรือโอนถ่ายข้อมูล, ไมโครโฟน และปากกา S Pen

ด้านขวาของตัวเครื่องมีปุ่มเปิด-ปิด หรือล็อกหน้าจอ

ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีปุ่มเพิ่ม-ลด ระดับเสียง

ด้านหลังของตัวเครื่องมีกล้องดิจิทัลแบบ Dual Pixel ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ซึ่งใช้เซ็นเซอร์รับภาพแบบ Sony IMX260 ขนาด 1/2.6 นิ้ว, มีขนาดของจุดพิกเซลอยู่ที่ 1.4 ไมครอน, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุด f/1.7, ระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ PDAF (Phase Detection Autofocus), ทางยาวโฟกัส 26 มิลลิเมตร, ระบบป้องกันการสั่นแบบ Smart OIS (Optical Image Stabilization) พร้อมไฟแฟลช LED และเซ็นเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate Sensor)

สำหรับตัวเครื่องของ Samsung Galaxy Note FE นั้นใช้เทคโนโลยีการผลิต Symmetrical 3D ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างบอดี้โลหะอะลูมิเนียมซีรีส์ 7000 กับกระจก Gorilla Glass 5 ที่ด้านหน้า และด้านหลังของตัวเครื่อง จึงทำให้ตัวเครื่องมีความหรูหรา สวยงาม และแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ นอกจากนี้ ภายในตัวเครื่องยังมีแบตเตอรี่ขนาด 3200 mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ด้วยความเร็วสูงอีกด้วย

นอกจากนี้ ตัวเครื่องของ Samsung Galaxy Note FE นั้นสามารถป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่นได้ ตามมาตรฐาน IP68 (ป้องกันน้ำได้ลึก 1.5 เมตร นานต่อเนื่อง 30 นาที)

มาต่อกันที่ปากกา S Pen กันบ้าง สำหรับปากกา S Pen นั้นมีสีแบบเดียวกับตัวเครื่อง พร้อมทั้งสามารถใส่เก็บได้ทั้งสองด้าน

หัวปากกามีขนาดเพียง 0.7 มิลลิเมตร และรองรับแรงกดได้มากถึง 4,096 ระดับ

และยังมีปุ่มสำหรับเรียกใช้งานฟังก์ชัน Air Command อีกด้วย

และที่พิเศษไปกว่านั้น คือ ตัวปากกา S Pen นั้นสามารถป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่นได้ ตามมาตรฐาน IP68 (ป้องกันน้ำได้ลึก 1.5 เมตร นานต่อเนื่อง 30 นาที)
เปิดเครื่อง พร้อมทดสอบการใช้งานด้านซอฟต์แวร์
 
Samsung Galaxy Note FE ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 7.0 (Nougat) และจะได้รับการอัปเดตเป็นระบบปฏิบัติการ Android 8.0 Oreo ในอนาคต พร้อมรองรับการใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด และรองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านระบบ 4G LTE กับ 3G ได้

รองรับเทคโนโลยีการสื่อสารทางเสียงผ่านโครงข่าย 4G (Voice over LTE)
 
ซึ่งมาพร้อมกับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4 GB และมีหน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64 GB
 
อีกทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อไร้สายแบบ NFC และยังมีฟังก์ชัน Tap and Pay ให้ใช้งาน โดยผู้ใช้งานสามารถชำระเงินผ่านมือถือด้วยบริการ Samsung Pay ผ่านเทคโนโลยี NFC หรือ MST ได้
 
นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชันการแจ้งเตือนให้ใช้งาน และสามารถเปิด-ปิด ฟังก์ชันลัดได้หลากหลาย เช่น การใช้งานอินเทอร์เน็ต หรือการหมุนหน้าจออัตโนมัติ
 
จุดเด่นสำคัญของ Samsung Galaxy Note FE ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ ฟีเจอร์ Edge Screen ซึ่งเป็นแผงหน้าจอพิเศษที่เลื่อนออกมาจากขอบของหน้าจอปกติได้ โดยใน Edge Screen ก็จะมีฟีเจอร์ย่อยให้ใช้งานหลากหลาย เช่น Apps edge, Tasks edge, People edge หรือ Quick tools
 

- ยกตัวอย่างเช่น Apps Edge คือ คือ แผงหน้าจอที่รวมทางลัดสำหรับเข้าสู่แอปพลิเคชันต่างๆ เพื่อความสะดวกสบายต่อการเปิดใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องไปเลื่อนหาให้เสียเวลาอีกต่อไป โดยสามารถแสดงแอปพลิเคชันได้ถึง 2 แถว ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้นำแอปพลิเคชันที่ต้องการใช้บ่อยมาไว้ในส่วนนี้ได้มากถึง 10 แอปพลิเคชันเลยทีเดียว
-
Tasks edge คือแผงที่รวมเอาทางลัดสำหรับการเรียกใช้ฟังก์ชัน หรือคำสั่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเราสามารถเลือกฟังก์ชันที่ต้องการมาใส่ไว้ได้ตามใจชอบ
-
People edge คือ แผงหน้าจอที่รวมทางลัดสำหรับผู้ติดต่อสำคัญที่เราต้องมีการติดต่ออยู่บ่อยๆ อีกทั้งคุณยังสามารถกำหนดสีของไฟที่จะแสดง สำหรับผู้ติดต่อแต่ละคนได้
-
Quick Tools คือ แผงหน้าจอที่รวมเอาเครื่องมือ หรือแอปพลิเคชันขนาดเล็กไว้ให้เรียกใช้งานได้อย่างรวดเร็ว เช่น ข่าวสารล่าสุด, ไม้บรรทัด, ไฟฉาย, เข็มทิศ หรือพยากรณ์อากาศ ซึ่ง Quick Tools ไม่ได้มีเฉพาะที่ติดตั้งมากับเครื่องเท่านั้น เพราะผู้ใช้งานสามารถทำการดาวน์โหลด Quick Tools ตัวอื่นๆ มาติดตั้งใช้งานเพิ่มเติมได้อีกมากมาย
 
 
อีกหนึ่งฟังก์ชันที่น่าสนใจบน Samsung Galaxy Note FE คือ การแสดงแสงไฟสีต่างๆ ที่ขอบหน้าจอ โดยเมื่อมีคนสำคัญของเราติดต่อเข้ามา แสงไฟดังกล่าวก็จะแสดงบนขอบของหน้าจอด้วยสีต่างๆ กัน ตามที่เรากำหนดเอาไว้ แต่แสงสีสวยๆ ที่เห็นนี้จะแสดงก็ต่อเมื่อคว่ำหน้าจอ Samsung Galaxy Galaxy Note FE ในโหมดสลีปเท่านั้น

นอกจากนี้ Samsung Galaxy Note FE ยังมีฟังก์ชัน Always On Display สำหรับแสดงวันเวลา หรือการแจ้งเตือนต่างๆ อีกทั้งผู้ใช้ยังสามารถปรับแต่งรูปแบบการแสดงผลได้หลากหลาย
 
อีกหนึ่งในความพิเศษของ Samsung Galaxy Note FE ได้แก่ ความสามารถในการโคลนนิ่งแอปพลิเคชัน Line, Facebook และ Skype ได้ด้วยฟีเจอร์ Dual Messenger ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินเข้าใช้งานแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์

และที่พิเศษไปกว่านั้นคือ Samsung Galaxy Note FE มีแอปพลิเคชัน Secure Folder ที่ทำหน้าที่ในการล็อก หรือตั้งรหัสผ่านสำหรับเข้าใช้งานแอปพลิเคชัน Secure Folder นั่นหมายความว่า หากผู้อื่นจะเข้ามาใช้งานในส่วนนี้ก็จำเป็นต้องปลดรหัสผ่านเสียก่อน

และที่พิเศษไปว่านั้นคือ ในแอปพลิเคชัน Secure Folder ผู้ใช้ยังสามารถล็อกอินบริการของ Google Play Store สำหรับดาวน์โหลดแอปพลิเคชันมาติดตั้งเพื่อใช้งานเพิ่มเติมได้ เช่น แอปพลิเคชัน Line หรือ Facebook
 
ในส่วนของฟังก์ชันโทรศัพท์ก็มีหน้าตาที่สามารถใช้งานได้ง่าย พร้อมทั้งสามารถเปิดดูรายชื่อโทรศัพท์ทั้งหมดได้ทันที
 

สามารถปรับแต่งหน้าจอโฮมสกรีนได้หลากหลาย เช่น การเปลี่ยนภาพวอลเปเปอร์, การเปลี่ยนธีม, การเปลี่ยนรูปแบบไอคอนแอปพลิเคชัน หรือการนำวิดเจ็ตที่ต้องการใช้บ่อยมาไว้ที่หน้าจอโฮมสกรีน
 
ทางด้านบริการต่างๆ จากทาง Google ก็มีให้ใช้งานอย่างครบครัน เช่น Google Maps หรือ Gmail

อีกหนึ่งความน่าสนใจบน Samsung Galaxy Note FE คือมาพร้อมฟังก์ชัน Air Command สำหรับใช้งานร่วมกับปากกา S Pen ได้แก่ Create Note, Samsung Note, Smart Select, Screen Write และ Translate ซึ่งผู้ใช้สามารถจดบันทึกสิ่งต่างๆ ได้ทันทีที่ดึงปากกา S Pen ออกมา

สำหรับแอปพลิเคชัน Samsung Notes ที่เป็นการรวม 3 ฟีเจอร์เด่นอย่าง Action Memo, S Note และ Scrapbook ไว้ในที่เดียวกันนั้นก็ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจดเรื่องราว หรือบันทึกสิ่งต่างๆ ลงไปได้ตามต้องการ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการใช้งานให้สะดวกคล่องตัว และรวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม

แอปพลิเคชัน Create Note สำหรับการวาด การเขียน นั้นมีหน้าตาที่ใช้งานได้ง่าย ซึ่งจะแสดงไอคอนฟังก์ชันต่างๆ ไว้ให้เลือกใช้งานได้ทันที โดยนอกจากจะรองรับการวาด หรือเขียน ตัวฟังก์ชันยังรองรับการพิมพ์ด้วยจากคีย์บอร์ดด้วยเช่นกัน และยังสามารถเพิ่มรูปภาพ, ถ่ายรูป, หรือบันทึกเสียง ลงไปได้อีกด้วย
 
ต่อด้วยแอปพลิเคชัน Smart Select นั้นผู้ใช้สามารถเก็บบันทึกสิ่งที่น่าสนใจที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอได้ทันที โดยมีรูปแบบการล้อมกรอบให้เลือก 4 แบบด้วยกัน ได้แก่ แบบสี่เหลี่ยม, แบบอิสระ, แบบวงกลม และแบบอัตโนมัติ ซึ่งส่วนที่เราเลือกเอาไว้ก็จะถูกเก็บบันทึกไว้ใน Samsung Notes

นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชัน Smart Select คือ สามารถสร้างภาพไฟล์ GIF จากวิดีโอที่คุณต้องการได้ ซึ่งขั้นตอนการใช้งานก็ง่ายมากๆ เพียงแค่เปิดวิดีโอที่ต้องการขึ้นมา พร้อมเปิดฟังก์ชัน GIF Animation โดยวางกรอบให้ตรงกับภาพวิดีโอที่เราต้องการ (สามารถขยาย-ลด ขนาดกรอบได้) และกด Record ได้ทันที ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ใช้ยังสามารถใช้ปากกา S Pen เขียนข้อความขณะกำลังบันทึกลงไปในไฟล์ GIF ได้อีกด้วย เพียงเท่านี้ คุณก็จะได้ ไฟล์ GIF เก๋ๆ มาใช้งานแบบไม่เหมือนใคร

ด้วยความสามารถของฟังก์ชัน Screen Write ที่จะช่วยให้เราสามารถจับภาพหน้าจอที่เราต้องการ แล้วนำมาเขียน หรือจดสิ่งต่างๆ ได้

ด้วยฟังก์ชัน Translate นั้นช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถแปลคำศัพท์ต่างๆ ได้ อีกทั้งยังมีภาษาให้เลือกใช้งานหลากหลาย แต่อย่างไรก็ดี ฟังก์ชันนี้นั้นสามารถแปลได้เฉพาะศัพท์ที่เป็นคำๆ เท่านั้น ซึ่งไม่สามารถแปลทั้งประโยคได้

ด้วยฟังก์ชัน Glance เราจึงสามารถย่อแอปพลิเคชันหลักที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันลงเป็นหน้าต่างขนาดเล็ก แล้วสลับไปใช้งานอย่างอื่นได้พร้อมๆ กัน และเพียงแค่ชี้ปากกามาที่หน้าต่างเล็ก เราก็สามารถกลับมาใช้งานแอปพลิเคชันหลักต่อได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงสามารถยกเลิกการใช้งานได้ง่ายๆ ด้วยการลากหน้าต่างเล็กลงถังขยะ

นอกจากนี้ ผู้ใช้งานยังสามารถตั้งค่าการใช้งานปากกา S Pen เพิ่มเติมได้ เช่น การใช้งานแอร์วิว หรือการป้อนข้อมูลโดยใช้ปากกา

ในส่วนของฟังก์ชัน Screen Off Memo ก็มีให้ใช้งานบน Samsung Galaxy Note FE ด้วยเช่นกัน
 

และแน่นอนว่ามาพร้อมกับผู้ช่วยอัจฉริยะนามว่า Bixby เช่นเดียวกับ Galaxy S8 โดยประกอบไปด้วย Bixby Home ซึ่งเป็นหน้ารวมทุกสิ่งที่เราสนใจเอาไว้, Bixby Voice สำหรับการสนทนา หรือการขอความช่วยเหลือจาก Bixby, Bixby Vision สำหรับการค้นหาข้อมูลจากภาพ และ Bixby Reminder ที่จะช่วยแจ้งเตือนนัดหมาย หรือตารางงานต่างๆ ให้เราดั่งเป็นเลขาส่วนตัวเลยทีเดียว

และยังมีฟังก์ชัน Multi-Windows สำหรับใช้งาน 2 แอปพลิเคชันพร้อมๆ กัน ก็มีให้ใช้งานบน Samsung Galaxy Note FE
 
สำหรับฟังก์ชัน Resent Apps กับปรับโหมดหน้าจอให้เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละประเภทได้ ไม่ว่าจะเป็น Adaptive Display, AMOLED Cinema, AMOLED Photo และ Basic ก็สามารถใช้งานบน Samsung Galaxy Note FE ได้ด้วยเช่นกัน และยังสามารถเลือกความละเอียดของหน้าจอแสดงผลได้สูงสุดที่ระดับ WQHD (2K)
 
ทางด้านฟังก์ชัน Smart Manager นั้นมีหน้าตาเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย แต่ก็สามารถจัดการส่วนต่างๆ ภายในเครื่องได้อย่างดีเยี่ยมเหมือนเช่นเคย ได้แก่ การเคลียร์แรม และการตรวจสอบหน่วยความจำภายในว่ายังสามารถใช้งานได้อีกเท่าไหร่ อีกทั้งยังสามารถเปิดใช้งานโหมดประหยัดพลังงานขั้นสูงได้อีกด้วย

นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถโอนถ่ายข้อมูลจากสมาร์ทโฟนเครื่องเดิมไปยังสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ได้ผ่านฟังก์ชัน Smart Switch อีกทั้งยังเลือกได้ว่าจะโอนถ่ายข้อมูลแบบผ่านสาย USB Type-C หรือแบบไร้สาย
 
Samsung Galaxy Note FE ยังรองรับการสั่งงานด้วยท่าทางได้ ไม่ว่าจะเป็น การใช้ฝ่ามือปัดเพื่อจับภาพหน้าจอ, การโทรโดยตรง, รองรับการเตือนอัจฉริยะ และการปิดเสียง
 
Samsung Galaxy Note FE ยังมีฟังก์ชันที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายอีกหลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การรองรับการใช้งานมือเดียว ซึ่งผู้ใช้งานสามารถลดขนาดหน้าจอให้เล็กลงด้วยการกดที่ปุ่มโฮมสามครั้ง หรือการดับเบิ้ลคลิกที่ปุ่มโฮมเพื่อเปิดใช้งานกล้องถ่ายภาพ

Samsung Galaxy Note FE ยังมาพร้อมกับบริการสำรองข้อมูลต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ, วิดีโอ และรายชื่อผู้ติดต่อทั้งหมด ผ่านฟังก์ชัน Samsung Cloud ซึ่งผู้ใช้สามารถใช้พื้นที่สำหรับสำรองข้อมูลได้มากถึง 15 GB เลยทีเดียว
 
สำหรับระบบรักษาความปลอดภัยอย่างระบบสแกนม่านตา (Iris Scanner) อันดับแรกก่อนใช้งานนั้นผู้ใช้จะต้องทำการลงเทียนม่านตาเสียก่อน และเพื่อป้องกันในกรณีที่ไม่สามารถสแกนม่านตาได้ ก็ต้องมีการกำหนด Pattern, PIN หรือ Password เพื่อเป็นทางเลือกสำรองด้วย

การทำงานพื้นฐานของระบบสแกนม่านตาใน Samsung Galaxy Note FE จะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง IR LED กับกล้อง Iris Camera โดยตัว IR LED จะยิงลำแสงอินฟราเรดไปที่ม่านตาของผู้ใช้ และสะท้อนภาพของม่านตาไปยังกล้อง Iris Camera เพื่อทำการตรวจสอบว่าลักษณะของม่านตาดังกล่าวถูกต้องตามที่เคยลงทะเบียนเอาไว้หรือไม่ ส่วนลำแสงอินฟราเรดที่ส่องไปที่ดวงตานั้นได้รับการรับรองแล้วว่ามีความปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ ต่อสายตา หรือร่างกาย โดย ขณะสแกนม่านตา ควรให้ใบหน้าอยู่ห่างจากตัวเครื่องประมาณ
25-35 เซนติเมตร โดยระบบสแกนม่านตาบน Samsung Galaxy Note FE นั้นรองรับการใช้งานร่วมกับการปลดล็อกหน้าจอ, การป้องกันโฟลเดอร์ และการล็อกอินเข้าเว็บไซต์ต่างๆ
 
ซึ่งนอกจากระบบสแกนม่านตาแล้ว ทางด้านระบบสแกนลายนิ้วมือก็มีให้ใช้งาน สำหรับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบน Samsung Galaxy Note FE สามารถตั้งค่าการใช้งานได้ ซึ่งการเปิดใช้งานระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ ผู้ใช้งานจะต้องทำการลงทะเบียนลายนิ้วมือให้เรียบร้อยเสียก่อน และจากการทดสอบตัวเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือก็ตอบสนองต่อการใช้งานได้รวดเร็วแม่นยำ
 
ในส่วนของแอปพลิเคชันที่เหมือนผู้ช่วยสำหรับดูแลเรื่องสุขภาพอย่างแอปพลิเคชัน Samsung Health ก็มีให้ใช้งานบน Samsung Galaxy Note FE
 
สำหรับแอปพลิเคชันอัลบั้มภาพถ่ายจะสามารถแสดงภาพถ่ายได้หลักๆ 2 แบบ คือ แสดงแบบรวมภาพถ่ายทั้งหมด กับแสดงแบบแยกอัลบั้ม
 
นอกจากนี้ ทางซัมซุงยังได้ติดตั้งแอปพลิเคชันสำหรับสร้าง หรือเปิดอ่านไฟล์เอกสารจากทางไมโครซอฟต์เอาไว้ให้ใช้งานบน Samsung Galaxy Note FE อีกด้วย ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ทั้งไฟล์ Word, Excel หรือ PowerPoint ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อผู้ใช้งานจัดการกับไฟล์เอกสารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถใช้บริการฝากไฟล์ผ่านแอปพลิเคชัน OneDrive บนตัวเครื่องได้ทันที
 
สำหรับเว็บเบราว์เซอร์ก็ตอบสนองต่อการใช้งานได้ดี และสามารถแสดงรายละเอียดต่างๆ ได้ครบ และด้วยหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ถึง 5.7 นิ้ว จึงช่วยให้แสดงคอนเทนท์ต่างๆ ได้มากขึ้น และไม่จำเป็นต้องเพ่งสายตาเพื่ออ่านให้เมื่อยล้าดวงตาเลยก็ว่าได้
 
ในส่วนของแอปพลิเคชันสำหรับฟังเพลงก็มีให้ใช้งานบน Samsung Galaxy Note FE ด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังสามารถปรับค่าอีควอไลเซอร์ได้อีกด้วย


Samsung Galaxy Note FE ยังสามารถเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ 2K ได้อย่างไหลลื่น และไม่มีอาการหน่วง แถมยังแสดงรายละเอียดต่างๆ ได้อย่างคมชัด

พร้อมทั้งสามารถเปิดใช้งานฟังก์ชัน Popup Play ได้
 
สำหรับ Samsung Galaxy Note FE จะมาพร้อมกับ ชิปเซ็ต 64-bit Exynos 8 Octa 8890 ความเร็วในการประมวลผล 2.3 GHz, หน่วยประมวลผลกราฟิกแบบ Mali-T880 MP12, หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4 GB, หน่วยความภายในขนาด 64 GB และขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 7.0 Nougat ซึ่งจะได้รับการอัปเดตเป็นระบบปฏิบัติการ Android 8.0 Oreo ในเร็วๆ นี้
 
และเมื่อนำ Samsung Galaxy Note FE มาทดสอบผ่านแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark พบว่าได้คะแนนอยู่ที่ 140282 คะแนน ส่วนการทดสอบผ่านแอปพลิเคชัน Geekbench 4 พบว่าได้คะแนนอยู่ที่ 1961 คะแนน สำหรับการประมวลผลแบบ Single-Core และ 5875 คะแนน สำหรับการประมวลผลแบบ Multi-Core ซึ่งคะแนนระดับนี้ก็ถือว่าเร็วแรงไม่น้อย

สำหรับการทดสอบผ่านแอปพลิคชัน 3DMark พบว่าได้คะแนนอยู่ที่ 2174 คะแนน

Samsung Galaxy Note FE นั้นสามารถรองรับการสัมผัสได้พร้อมกันสูงสูด 10 จุด
 
และสามารถดาวน์โหมดแอปพลิเคชันอื่นๆ มาใช้งานเพิ่มเติมได้ผ่านแอปพลิเคชัน Galaxy Apps หรือ Google Play Store
กล้องดิจิทัล การถ่ายภาพนิ่ง และภาพวิดีโอ
 
 
สำหรับ Interface กล้องถ่ายภาพของ Samsung Galaxy Note FE นั้นมีหน้าตาที่สามารถใช้งานได้ง่าย พร้อมทั้งแสดงไอคอนฟังก์ชันต่างๆ ไว้ให้เลือกใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย เช่น การสลับใช้งานกล้องด้านหน้า-ด้านหลัง, ฟังก์ชัน HDR หรือไฟแฟลช LED อีกทั้งยังมีโหมดถ่ายภาพให้เลือกใช้งานหลากหลาย เช่น โหมดถ่ายภาพปกติ โหมดถ่ายภาพโปร, โหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Selective Focus) และโหมดถ่ายภาพอาหาร
 
สำหรับโหมดถ่ายภาพโปรนั้นผู้ใช้สามารถปรับค่าเพื่อถ่ายภาพได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ค่า ISO, ความเร็วชัตเตอร์, การชดเชยแสง หรือแม้แต่เอฟเฟกต์สำหรับถ่ายภาพก็มีให้ใช้งานในโหมดถ่ายภาพนี้ด้วยเช่นกัน
 
ส่วนทางด้านโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Selective Focus) ก็ใช้งานได้ง่าย อีกทั้งเมื่อถ่ายภาพเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้ใช้สามารถเลือกจุดโฟกัสได้ 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ หน้าชัดหลังเบลอ, หน้าเบลอหลังชัด และชัดทั้งภาพ
 
นอกจากนี้ กล้องถ่ายภาพด้านหลังยังมีโหมดถ่ายภาพหน้าสวยให้ใช้งานด้วยเช่นกัน พร้อมทั้งสามารถปรับค่าปิวเนียนได้มากถึง 8 ระดับ เลยทีเดียว
 
ทางด้านเอฟเฟกต์สำหรับถ่ายภาพก็มีให้ใช้งานด้วยเช่นกัน
 
 
ทางด้านกล้องถ่ายภาพด้านหน้าก็มีหน้าตาที่สามารถใช้งานได้ง่ายเช่นเดียวกัน พร้อมทั้งแสดงไอคอนฟังก์ชันต่างๆ ไว้ให้เลือกใช้งานได้ทันที เช่น ฟังก์ชัน HDR หรือไฟแฟลช LED อีกทั้งยังมีโหมดถ่ายภาพให้เลือกใช้งานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น โหมดถ่ายภาพปกติ, โหมดถ่ายภาพหน้าสวย, โหมดถ่ายภาพแบบกลุ่ม และโหมดถ่ายภาพช็อตเสมือนจริง
 
สำหรับโหมดถ่ายภาพหน้าสวยนั้นสามารถปรับค่าเพื่อถ่ายภาพได้หลายอย่างด้วยกัน ได้แก่ สีผิว, ความสว่าง, ใบหน้าเรียว และตาโต โดยค่าต่างๆ นั้นสามารถเลือกได้มากถึง 8 ระดับ ด้วยกัน
 
นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งค่าการใช้งานเพิ่มเติมได้อีกหลายส่วนด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ ไม่ว่าจะเป็น การเลือกความละเอียดของกล้องถ่ายภาพด้านหลัง ที่สามารถเลือกความละเอียดได้สูงสุดที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, สามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K Ultra HD
 
การเลือกความละเอียดของกล้องถ่ายภาพด้านหน้า ที่สามารถเลือกความละเอียดได้สูงสุดที่ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล, สามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 2K
 
สามารถตั้งเวลาเพื่อถ่ายภาพได้นานสูงสุด 10 วินาที, สามารถเปิดใช้งานตารางเก้าช่อง, การแท็กสถานที่บนภาพถ่าย, ตรวจสอบภาพถ่าย, การเปิดใช้งานกล้องถ่ายภาพแบบด่วนด้วยการดับเบิ้ลคลิกที่ปุ่มโฮม และการสั่งงานด้วยเสียง ได้
 
สามารถเพิ่มความสามารถให้กับปุ่มลดระดับเสียงได้ 3 แบบ ได้แก่ ถ่ายภาพ, ถ่ายวิดีโอ หรือลดระดับเสียง และสามารถคืนการตั้งค่าทั้งหมดได้
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลตัวหลักที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ของ Samsung Galaxy Note FE

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติในสภาวะแสงน้อย

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติในสภาวะแสงน้อย

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติในสภาวะแสงน้อย

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพอาหาร

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพอาหาร

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพอาหาร

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพอาหาร

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพอาหาร

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพอาหาร

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพอาหาร

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพ Selective Focus พร้อมปรับค่าแบบหน้าชัดหลังเบลอ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพ Selective Focus พร้อมปรับค่าแบบหน้าชัดหลังเบลอ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพ Selective Focus พร้อมปรับค่าแบบหน้าชัดหลังเบลอ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายหน้าสวย พร้อมปรับค่าผิวเนียนระดับ 4

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายหน้าสวย พร้อมปรับค่าผิวเนียนระดับ 8
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลด้านหน้าของตัวเครื่อง ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ผ่านโหมดถ่ายภาพหน้าสวย ของ Samsung Galaxy Note FE
 
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ
 
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าสวย พร้อมปรับค่าระดับ 4
 
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าสวย พร้อมปรับค่าระดับ 8
สรุปผลการทดสอบของ Samsung Galaxy Note FE

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับการรีวิวสมาร์ทโฟนเรือธงสำหรับการขีดๆ เขียนๆ พร้อมคุณสมบัติระดับไฮเอนด์ บนดีไซน์สวยหรูพรีเมียมดูน่าใช้งานอย่าง Samsung Galaxy Note FE ซึ่งจากการทดสอบทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ ก็พอที่จะสรุปได้ว่า Samsung Galaxy Note FE นั้นมีความน่าสนใจอยู่หลายส่วนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบดีไซน์, หน้าจอแสดงผลสุดคมชัด พร้อมรองรับการใช้งานร่วมกับปากกา S Pen, กล้องถ่ายภาพ และคุณสมบัติการประมวลผลที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานระดับสูงได้ครบทุกรูปแบบอย่างเต็มประสิทธิ
าพ เรียกได้ว่า เป็นสมาร์ทโฟนที่ครบเครื่องรุ่นหนึ่งเลยก็ว่าได้
โดยการรองรับการใช้งานร่วมกับปากกา S Pen ก็เรียกได้ว่าเป็นจุดขายหลักของ Samsung Galaxy Note FE ซึ่งจากการทดสอบใช้งานฟังก์ชัน Air Command ไม่ว่าจะเป็น Screen Off Memo, Create Note, Samsung Notes, Smart Select, Screen Write และ Translate ตัวฟังก์ชันก็ตอบโจทย์การใช้งานด้านการขีดๆ เขียนๆ ได้ดีเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังสามารถจดบันทึก หรือวาดภาพสิ่งต่างๆ ได้ตามต้องการ ซึ่งจะเหมาะกับผู้ต้องติดต่อลูกค้า บันทึกตารางงาน หรือชื่นชอบในการวาดภาพเป็นพิเศษ
และนอกจากฟีเจอร์สำหรับการใช้งานร่วมกับปากกา ทางด้านแอปพลิเคชันจากทางไมโครซอฟต์ก็มีให้ใช้งานบน Samsung Galaxy Note FE โดยผู้ใช้สามารถแก้ไขเนื้อหา หรือจดบันทึกสิ่งต่างๆ ได้ทันที ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายต่อการใช้งานเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ ทางด้านการออกแบบดีไซน์ก็ถือว่ามีความสวยหรูพรีเมียมเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยการใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ Symmetrical 3D ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างบอดี้โลหะอะลูมิเนียมซีรีส์ 7000 กับกระจก Gorilla Glass 5 ที่ด้านหน้า และด้านหลังของตัวเครื่อง จึงทำให้ตัวเครื่องมีความหรูหรา พรีเมียม และแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ อีกทั้งตัวเครื่องยังมีความบางเฉียบเพียง 7.9 มิลลิเมตร จึงช่วยให้สามารถพกพาไปใช้งานตามสถานที่ต่างๆ ได้อย่างคล่องตัว
แต่อย่างไรก็ดี ด้วยความที่ตัวเครื่องเป็นกระจกทั้งด้านหน้า-ด้านหลัง จึงมีโอกาสเกิดคราบเปื้อน หรือรอยนิ้วมือได้ง่าย รวมถึงอาจลื่นหลุดมือได้ง่ายอีกเช่นกัน

ทางด้านกล้องถ่ายภาพก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว อีกทั้งยังตอบโจทย์ด้านการถ่ายภาพได้ดีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกล้องดิจิทัลด้านหลังแบบ Dual Pixel ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ซึ่งใช้เซ็นเซอร์รับภาพแบบ Sony IMX260 ขนาด 1/2.6 นิ้ว, มีขนาดของจุดพิกเซลอยู่ที่ 1.4 ไมครอน, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุด f/1.7, ระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ PDAF (Phase Detection
Autofocus), ทางยาวโฟกัส 26 มิลลิเมตร, ระบบป้องกันการสั่นแบบ Smart OIS (Optical Image Stabilization) พร้อมไฟแฟลช LED นั้นสามารถถ่ายภาพออกมาได้อย่างคมชัด กับสีสันที่สมจริง ไม่ว่าจะเป็น การถ่ายภาพในสภาวะแสงปกติ หรือในสภาวะแสงน้อย ซึ่งจะเห็นได้จากภาพถ่ายตัวอย่างด้านบนที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีโหมดถ่ายภาพให้เลือกใช้งานหลากหลาย ซึ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์การถ่ายภาพแบบใหม่ๆ ให้กับผู้ใช้ได้อีกด้วย
สำหรับกล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ที่มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุด f/1.7 พร้อมทางยาวโฟกัส 22 มิลลิเมตร ก็สามารถตอบโจทย์ด้านการถ่ายภาพได้ดีไม่แพ้กัน อีกทั้งยังสามารถทำงานร่วมกันโหมดถ่ายภาพหน้าสวยได้อย่างลงตัว ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับค่าต่างๆ ได้มากถึง 8 ระดับ ตามความต้องการ บอกได้เลยว่า ต้องถูกอกถูกใจผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพเซลฟี่อย่างแน่นอน
มาต่อกันที่สำหรับคุณสมบัติเด่นอื่นๆ ก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อกับราคาค่าตัวเลยก็ว่าได้ เริ่มตั้งแต่ หน้าจอแสดงผลแบบ Dual Edge Super AMOLED ความละเอียด 2560x1440 พิกเซล ขนาด 5.7 นิ้ว, รองรับฟังก์ชันลดแสงสีฟ้า (Blue Light Filter), หน้าจอแสดงผลรองรับการใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน Edge Screen, Edge Lighting และ Always-On Display, มีเซ็นเซอร์สแกนม่านตา (Iris Scanner), มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ, มีเซ็นเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ
(Heart Rate Sensor), มีฟังก์ชัน Secure Folder บวกกับฟังก์ชัน Dual Messenger รวมแล้วจึงสามารถใช้งานแอปพลิเคชัน Line หรือแอปพลิเคชันอีกหลายตัวที่รองรับ ได้พร้อมกันถึง 3 แอคเคานท์ในเครื่องเดียวกัน, รองรับฟังก์ชัน Multi-Windows สำหรับใช้งานพร้อมกัน 2 แอปพลิเคชัน, สำรองข้อมูลผ่านฟังก์ชัน Samsung Cloud ได้สูงสุด 15 GB, รองรับการใช้บริการ Samsung Pay ผ่าน NFC หรือ MST, รองรับการใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด
พร้อมเทคโนโลยี Full NetCom 3.0, รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่ายระบบ 4G LTE กับ 3G, แบตเตอรี่ความจุสูงขนาด 3200 mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยี Fast Charging และรองรับการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย (Wireless Charging)
ในส่วนของคุณสมบัติด้านการประมวลผลนั้นจัดอยู่ในระดับท็อป ซึ่งสามารถตอบโจทย์การใช้งานระดับสูงครบทุกรูปแบบได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น ชิปเซ็ต 64-bit Exynos 8 Octa 8890 ความเร็วในการประมวลผล 2.3 GHz, หน่วยประมวลผลกราฟิกแบบ Mali-T880 MP12, หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4 GB, หน่วยความภายในขนาด 64 GB และขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 7.0 Nougat ที่กำลังจะได้รับการอัปเดตเป็น Android
8.0 Oreo ในเร็วๆ นี้ ซึ่งจากการทดสอบด้วยการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงระดับ
4K Ultra HD แบบต่อเนื่อง หรือจะเป็นการเล่นเกมที่มีกราฟิกแบบสามมิติระดับสูง Samsung Galaxy Note FE ก็สามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้อย่างไหลลื่น โดยไม่มีอาการหน่วงให้พบเจอ แต่อย่างไรก็ดี ในการใช้งานที่ต้องมีการประมวลผลระดับสูงเป็นระยะเวลานาน ตัวเครื่องจะมีการสะสมความร้อนบ้างเล็กน้อย แต่ไม่มีผลต่อการใช้งานแต่อย่างใด
และจากการทดสอบทั้งหมดที่ผ่านมาก็พอที่จะสรุปได้ว่า Samsung Galaxy Note FE น่าจะเหมาะกับผู้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนระดับท็อปที่รองรับการใช้งานปากกา S Pen พร้อมดีไซน์สวยหรูพรีเมียมสุดบางเฉียบ, จอใหญ่ความละเอียดสูง, ระบบประมวลผลที่มีประสิทธิภาพ, แบตเตอรี่อึด, กล้องถ่ายภาพสวยคมชัด, มีฟีเจอร์ให้ใช้งานหลากหลาย และต้องมีราคาที่สมเหตุสมผลพร้อม ซึ่ง Samsung Galaxy Note FE ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใครที่อยากได้ Galaxy Note มาใช้งาน แต่งบไม่ถึง Galaxy Note 8 ก็นับว่าเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง


โดย Samsung Galaxy Note FE นั้นจะวางจำหน่ายในราคาสุดคุ้มเพียง 20,900 บาท และในตอนนี้ก็มีโปรโมชั่นปรับราคาจำหน่วยลงเหลือเพียง 18,900 บาท เท่านั้น! หากท่านใดที่สนใจก็สามารถหาซื้อได้ที่ Samsung Brand Shop, ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ หรือที่ช่องทางออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ s-eStore.com
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง Samsung ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง Samsung Galaxy Note FE มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสถัดไป สวัสดีครับ
จุดเด่นของ Samsung Galaxy Note FE
- ดีไซน์ตัวเครื่องแบบ Symmetrical 3D ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างบอดี้โลหะอลูมิเนียมซีรีส์ 7000 กับกระจก Gorilla Glass 5 ที่ด้านหน้า
- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP68 พร้อมทั้งสามารถใช้งานปากกา S-Pen ในน้ำได้
- ระบบสแกนม่านตา (Iris Scanner) ที่ด้านหน้าของตัวเครื่อง สำหรับตรวจสอบสิทธิ์ในการเข้าใช้งาน
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Sensor) ที่ปุ่มโฮม สำหรับตรวจสอบสิทธิ์ของการเข้าใช้งานเครื่อง และการเข้าถึงข้อมูลภายใน
- จอแสดงผลแบบ Dual Edge Super AMOLED Capacitive Touchscreen 16,700,000 สี ความละเอียด 2560x1440 Pixels (2K QHD : กว้าง 5.7 นิ้ว : 518 ppi : อัตราส่วนแบบ 16:9) กับขอบหน้าจอที่บางเฉียบเพียง 1.1 มิลลิเมตร พร้อมกระจกหน้าจอแบบ Gorilla Glass 5, ฟังก์ชันกรองแสงสีฟ้า (Blue Light Filter) และฟังก์ชัน Cinematic Wallpaper
- หน่วยประมวลผลกราฟิกโดยเฉพาะ (GPU : Graphics Processing Unit) แบบ Mali-T880 MP12
- รองรับการสั่งงานด้วยท่าทาง
- รองรับการใช้งานร่วมกับปากกา S-Pen พร้อมฟังก์ชัน Air Command (Create Note, Smart Select, Screen Write, Translate, Magnify, Glance), Advanced GIF Maker, Screen Off Memo และแอปพลิเคชัน Samsung Notes
- ประมวลผลการทำงานด้วยชิปเซ็ต 64-bit Exynos 8 Octa 8890 ความเร็วในการประมวลผล 2.3 GHz ความเร็วในการประมวลผล 2.3 GHz (ซีพียู Quad-Core Exynos M1 Mongoose ความเร็ว 2.3 GHz และซีพียู Quad-Core Cortex-A53 ความเร็ว 1.6 GHz)
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล (UFS2.0) ขนาด 64 GB พร้อมรองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card (TransFlash) ได้สุงสุด 256 GB
- หน่วยความจำ RAM (LPDDR4) ขนาด 4 GB
- ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 7.0 Nougat พร้อมรองรับการอัปเดตเป็น Android 8.0 Oreo ได้ในอนาคต
- กล้องดิจิทัลตัวหลักแบบ Dual Pixel ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ความละเอียดระดับ 12 ล้าน Pixels พร้อมเซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX260 ขนาด 1/2.6 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f/1.7, ระบบป้องกันการสั่นไหวแบบ Smart OIS, ระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ PDAF, ไฟแฟลช LED และรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD
- กล้องดิจิทัลขนาดเล็กที่ด้านหน้าของตัวเครื่อง ความละเอียดระดับ 5 ล้าน Pixels พร้อมรูรับแสงขนาด f/1.7
- แบตเตอรี่ Li-Ion Polymer 3200 mAh พร้อมเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ไร้สายความเร็วสูง
- รองรับการใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual SIM) พร้อมรองรับเทคโนโลยี Full NetCom 3.0
- รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ WiFi, 4G LTE Cat9, 3G HSPA+, EDGE และ GPRS พร้อมเทคโนโลยี MIMO (Multi-Input Multi-Output : 2x2)
- รองรับเทคโนโลยี 4G LTE 3CA (Carrier Aggregation)
- รองรับเทคโนโลยี LTE+WiFi (Next G) (เฉพาะ AIS)
- รองรับเทคโนโลยี Wi-Fi แบบ Dual Band ซึ่งช่วยให้ใช้งานได้ทั้งความถี่ 2.4 GHz และ 5 GHz
- รองรับการเชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง NFC, MST, Bluetooth และ ANT+
- รองรับการใช้งานร่วมกับบริการ Samsung Pay
- พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C 1.0 (USB เวอร์ชัน 3.1) พร้อมแถมฟรีอะแดปเตอร์ USB Type-C to Type A และ USB Type-C to microUSB มาในชุดจำหน่ายมาตรฐาน
- ระบบ GPS ในตัว พร้อมฟังก์ชัน A-GPS และรองรับระบบดาวเทียม GLONASS กับ Beidou
- แบตเตอรี่ Li-Ion Polymer 3200 mAh (แบตเตอรี่เวอร์ชันใหม่ที่ปลอดภัย) พร้อมเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ไร้สายความเร็วสูง
- เซ็นเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate Sensor)
- เซ็นเซอร์ตรวจวัดความกดอากาศ (Barometer Sensor)
- ระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ Bixby (เฉพาะ Bixby Home และ Bixby Reminder)
- ราคา 20,900 บาท หรือ 18,900 บาท (ซื้อแบบออนไลน์)
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Samsung Galaxy Note FE
- ถาดใส่ซิมการ์ดเป็นแบบ Hybrid Slot ซึ่งช่องใส่ซิมการ์ดที่สอง ต้องสลับใช้งานร่วมกับการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD ไม่สามารถใช้งานพร้อมกันได้
- ไฟแฟลชสำหรับกล้องดิจิทัลยังคงเป็นแบบดวงเดียว (Single-LED)
- ลำโพงเสียงยังคงเป็นลำโพงแบบเดี่ยว (Mono Speaker)
- ด้วยการที่พื้นผิวของตัวเครื่องเป็นกระจกทั้งสองด้าน จึงมีโอกาสเกิดคราบเปื้อน หรือรอยนิ้วมือได้ง่าย รวมถึงอาจลื่นหลุดมือได้ง่าย
- กล้องดิจิทัลด้านหน้ามีความละเอียดเพียง 5 ล้านพิกเซล ซึ่งถือว่าไม่มากนักหากเทียบกับสมาร์ทโฟนระดับท็อปในตลาดปัจจุบัน
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางศูนย์ เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *
ข้อมูลเพิ่มเติม
Samsung Galaxy Note FE (Fan Edition) คืออะไร? รู้จักสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในร่าง Galaxy Note 7
สรุปคุณสมบัติโดยละเอียดของ Samsung Galaxy Note FE (Fan Edition)
เปรียบเทียบ Samsung Galaxy Note FE (Fan Edition) กับ Samsung Galaxy Note 8
รีวิว (Review) Samsung Galaxy Note 8

:: ไปหน้าแรกเว็บไซต์ Thaimobilecenter | ไปหน้าแรก
Mobile Focus ::
|