วีดีโอรีวิว (Video Review) Samsung Galaxy Note Edge
ที่สุดของสมาร์ทโฟน ซึ่งรวมทุกความสมบูรณ์แบบไว้ในเครื่องเดียว พร้อมนวัตกรรมขอบจอโค้ง (Curved Edge) ที่พลิกโฉมไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานยุคใหม่
Review
Date (27-มีนาคม-2558)
หากใครกำลังถามหาสมาร์ทโฟน ซัมซุง รุ่นที่ดีที่สุด ณ ชั่วโมงนี้ แน่นอนว่าก็ต้องเป็น Samsung Galaxy Note Edge รุ่นนี้ ด้วยคุณสมบัติระดับไฮเอนด์ที่ถอดแบบมาจากรุ่นเรือธงอย่าง Samsung Galaxy Note 4 แต่ถูกเสริมนวัตกรรมให้ล้ำหน้าขึ้นไปอีกขั้นด้วยหน้าจอขอบโค้งแบบ Curved Edge Screen ซึ่งหาไม่ได้ในสมาร์ทโฟนรุ่นใด โดย Galaxy Note Edge ก็เพิ่งเริ่มวางจำหน่ายในบ้านเราไปเมื่อช่วงกลางเดือนที่แล้ว ในราคา 28,900 บาท แต่ความสามารถจะคุ้มค่ากับราคาเฉียด 3 หมื่นนี้หรือไม่ ต้องลองไปติดตามกันดูในคลิปวีดีโอรีวิวฉบับเต็มนี้เลยครับ
Samsung Galaxy Note Edge Video Review
วีดีโอรีวิว (Video Review) Samsung Galaxy Note Edge
VIDEO
เนื้อหาเพิ่มเติม วีดีโอรีวิว (Video Review) Samsung Galaxy Note Edge
(เนื้อหาด้านล่างนี้ เป็นเนื้อหาอย่างย่อ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกเปิดดูรีวิวในรูปแบบของคลิปวีดีโอ หากต้องการรายละเอียดที่ครบถ้วน สามารถคลิกดูเพิ่มเติมได้ที่ วีดีโอรีวิว Samsung Galaxy Note Edge )
ก่อนอื่นก็มาแกะกล่องดูกันเลยดีกว่าครับ โดยอุปกรณ์ต่างๆ ด้านในก็มีตั้งแค่อะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่ซึ่งรองรับเทคโนโลยี Adaptive Fast Charging, สาย microUSB, หูฟังแบบ In-Ear รุ่น EG900 พร้อมจุกยางสำรอง และหัวปากกาสำรองสำหรับปากกา S Pen ซึ่งอุปกรณ์มาตรฐานเหล่านี้ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วๆ ไปแล้วครับ
การออกแบบดีไซน์โดยรวมของ Galaxy Note Edge ก็จะมีความคล้ายคลึงกับ Galaxy Note 4 นะครับ เพียงแต่ที่ด้านขวาของตัวเครื่องจะถูกแทนที่ด้วยหน้าจอโค้งแบบ Curved Edge และเดี่ยวเราจะลองนำทั้งสองรุ่นมาเทียบกันดูครับ
เมื่อดูที่ด้านหน้า Galaxy Note 4 จะดูผอมเพรียว และสูงกว่าอยู่เล็กน้อย
ที่ด้านขวาของ Note Edge ปุ่มกดจะหายไป และถูกแทนที่ด้วยจอโค้ง
ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงที่ด้านซ้ายมีดีไซน์ที่แตกต่างกันเล็กน้อย
ปุ่มล็อคหน้าจอของ Note Edge จะถูกย้ายมาอยู่ที่ด้านบน
ส่วนที่ด้านล่าง และที่ด้านหลังของตัวเครื่อง จะมีรายละเอียดที่เหมือนกันแทบทุกประการครับ
และสำหรับการจับถือ หากให้เทียบกันก็ต้องบอกว่า Galaxy Note 4 จับได้ถนัดมือกว่าอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่แตกต่างกันมากครับ
ที่ด้านหน้าของตัวเครื่องจะประกอบไปด้วยไฟ LED สำหรับแสดงสถานะการทำงาน, ลำโพงหูฟังสำหรับการสนทนา, Proximity Sensor, Ambient Light Sensor, Gesture Sensor, กล้องดิจิตอลความละเอียด 3.7 ล้านพิกเซล, หน้าจอขอบโค้งแบบ Super AMOLED Curved Edge ขนาด 5.6 นิ้ว ซึ่งมีความละเอียดระดับ QHD+, ปุ่มโฮมซึ่งมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือในตัว, ปุ่ม Recent Apps และปุ่มย้อนกลับ
ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่องจะมีปุ่มเพิ่ม-ลดระดับเสียง
ที่ด้านขวาของตัวเครื่องจะไม่มีปุ่มควบคุมใดๆ นอกจากหน้าจอแบบโค้ง
ที่ด้านบนของตัวเครื่องจะมีปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง หรือล็อคหน้าจอ, โมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวน, เซ็นเซอร์อินฟราเรด และช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
ที่ด้านล่างของตัวเครื่องจะมีไมโครโฟน 2 ตัว, ช่อง microUSB และช่องใส่ปากกา S Pen
ที่ด้านหลังของตัวเครื่องจะประกอบไปด้วยกล้องดิจิตอลความละเอียด 16 ล้านพิกเซล, ไฟแฟลชแบบ LED, เซ็นเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ, เซ็นเซอร์ตรวจวัดรังสียูวี, ลำโพงเสียง และช่องใส่ปากกา S Pen ที่สามารถดึงออกมาใช้งานได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
ฝาหลังของ Galaxy Note Edge สามารถแกะออกมาได้ โดยงัดที่ร่องด้านบนออกมาดังนี้ครับ ซึ่งฝาหลังจะมีพื้นผิวที่นุ่มมือคล้ายหนังเทียม, มีความบางเบา และมีความยืดหยุ่นพอสมควร
และเมื่อเปิดฝาหลังออกมา ก็จะพบกับช่องใส่การ์ดหน่วยความจำแบบ microSD ซึ่งรองรับได้สูงสุดที่ขนาด 64 GB, ช่องใส่ซิมการ์ดแบบ microSIM และแบตเตอรี่ขนาด 3,000 mAh ซึ่งน้อยกว่า Galaxy Note 4 อยู่ประมาณ 220 mAh ครับ
Samsung Galaxy Note Edge ที่จำหน่ายในไทยจะเป็นโมเดล N915F ซึ่งมาพร้อมกับชิปเซ็ต Snapdragon 805 ซึ่งภายในจะมีซีพียู Quad-Core Krait 450 และจีพียู Adreno 420, ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 4.4.4 KitKat, มีหน่วยความจำ RAM ขนาด 3 GB, มีหน่วยความจำภายในขนาด 32 GB และมีเซ็นเซอร์แทบทุกอย่างให้ใช้งาน
ซึ่งจะเห็นว่าชิปเซ็ตบน Galaxy Note Edge นั้นแตกต่างจาก Galaxy Note 4 เนื่องจาก Galaxy Note 4 ที่จำหน่ายในประเทศไทยจะใช้ชิปเซ็ต Exynos นั่นเองครับ
จุดขายสำคัญอย่างขอบจอโค้งนั้น ก็มีฟังก์ชันล้ำๆ ใส่มาให้เยอะเลยนะครับ เริ่มตั้งแต่ในขณะที่เราล็อคหน้าจออยู่ เราสามารถปลุกการทำงานของจอ Curved Edge ได้ด้วยการสไลด์นิ้วไปทางด้านซ้าย และด้านขวา ซึ่งเราสามารถใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ของจอ Curved Edge ได้ทันที โดยที่ไม่ต้องเปิดหน้าจอหลักขึ้นมาก่อน จึงช่วยให้ประหยัดพลังงานได้พอสมควรครับ
ฟังก์ชัน Quick Application Access คือทางลัดที่ช่วยให้เราเข้าใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และเรายังสามารถเลือกเอาแอปพลิเคชันที่เราต้องการ มาใส่เพิ่มไว้ในรายการได้ด้วยครับ
ฟังก์ชันต่อมาก็คือการแจ้งเตือนบนจอ Curved Edge ซึ่งการแจ้งเตือนนี้จะไม่ไปรบกวน หรือไม่ไปขัดจังหวะระหว่างที่เราใช้งานแอปพลิเคชันอื่นๆ อยู่ เช่นในขณะที่เราใช้งานระบบนำทาง เมื่อมีสายเรียกเข้า ก็จะมีการแจ้งเตือนบนจอ Curved Edge ซึ่งหากเราไม่สะดวกรับสายเราก็สามารถกดวางสายได้ทันที และใช้งานระบบนำทางต่อได้แบบไม่มีสะดุดครับ
ถัดมาคือฟังก์ชันการอัพเดทข้อมูลข่าวสารต่างๆ บนจอ Curved Edge ซึ่งรองรับทั้งข่าวสารทั่วไป และข้อมูลอัพเดทจากโซเชียลเน็ตเวิร์ก
ถัดมาคือฟังก์ชัน Quick Tools หรือเครื่องมือด่วน ซึ่งประกอบไปด้วยไม้บรรทัด ที่สามารถเลือกหน่วยวัดเป็นเซนติเมตร หรือนิ้วได้, นาฬิกาจับเวลา, นาฬิกานับเวลาถอยหลัง, ไฟฉาย และเครื่องบันทึกเสียง
ในส่วนของการใช้งานจอ Curved Edge เราสามารถตั้งค่าเพิ่มเติมได้อีกนะครับ
เริ่มตั้งแต่การจัดการกับ Edge Panel ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะให้ Edge Panel อันไหนไปแสดงอยู่บนขอบจอ หรือจะเอา Edge Panel ที่ไม่ต้องการออกไปก็ได้เช่นกันครับ
นอกจาก Edge Panel จะรองรับกับการอัพเดทข้อมูลข่าวสาร หรือการแจ้งเตือนต่างๆ แล้ว ก็ยังรองรับกับการใช้งานอีกหลายรูปแบบครับ เช่นเอาไว้เล่นเกม, ตรวจสอบสถานะของหน่วยความจำ RAM และตรวจสอบอุณหภูมิ
ตัวของ Edge Panel เอง ไม่ได้จำกัดเฉพาะที่มีอยู่ในเครื่องเท่านั้นนะครับ เพราะเราสามารถดาวน์โหลดมาติดตั้งเพิ่มเติมได้
รวมถึงสามารถเรียงลำดับของ Edge Panel ได้ตามที่เราต้องการ ด้วยการกดค้าง แล้วลากสลับกันครับ
ขณะที่ล็อคหน้าจอ จะมี Edge Panel ที่แสดงตัวตนของผู้ใช้งาน ได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่การแสดงข้อความตามที่ผู้ใช้กำหนด เช่นที่กำลังเห็นอยู่นี้
หรือจะเลือกใช้ข้อความจากการเขียนด้วยลายมือของเราเองก็ย่อมได้ ซึ่งจะมีหน้าตาดังนี้เห็นอยู่นี้
และเราก็ยังสามารถเลือกใช้เอฟเฟกต์สำเร็จรูปที่มีมาให้ในเครื่องก็ได้เช่นกันครับ
อีกหนึ่งฟังก์ชันที่มีประโยชน์ของจอ Curved Edge ก็คือการแสดงนาฬิกาในเวลากลางคืน ซึ่งเราสามารถกำหนดช่วงเวลาได้เอง เช่นอยากให้แสดงตั้งแต่ 3 ทุ่ม จนถึง 6 โมงเช้า ก็ให้ปรับตามนี้ครับ
หากใครถนัดมือซ้ายก็ไม่ใช่ปัญหาครับ เพราะเราสามารถเลือกให้ส่วนของ Edge Panel หมุนกลับด้านแบบ 180 องศาได้ ซึ่งเมื่อเราพลิกเครื่องคว่ำลงแบบนี้ การแสดงผลของ Edge Panel ก็จะหมุนตามไปด้วย แต่อย่างไรก็ดีการใช้งานบางอย่างก็อาจจะติดขัดอยู่บ้าง เช่นการกดปุ่มย้อนกลับ หรือการกดปุ่ม Recent Apps ที่ต้องเอื้อมมือไปกดที่ด้านบนแทน
แอปพลิเคชันเครื่องเล่นวีดีโอถูกออกแบบมาให้ใช้งานร่วมกับจอ Curved Edge ได้ด้วยครับ โดยเครื่องมือควบคุมต่างๆ จะถูกใส่เอาไว้ใน Edge Panel ตรงขอบจอโค้ง ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มความสะดวกแล้ว ก็ยังช่วยให้ไม่ไปบดบังภาพขณะที่รับชมวีดีโออีกด้วยครับ
เครื่องมือควบคุมสำหรับการใช้งานกล้องดิจิตอลก็ถูกนำไปใส่ไว้ใน Edge Panel เช่นเดียวกันนะครับ ทั้งปุ่มชัตเตอร์ และปุ่มตั้งค่าอื่นๆ
สำหรับแอปพลิเคชันสำคัญอย่าง S Note ก็จะมี S Note Panel ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อการใช้งานร่วมกับขอบจอโค้งโดยเฉพาะ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้การใช้งานสะดวกคล่องตัวมากขึ้นแล้ว ก็ยังช่วยเพิ่มพื้นที่ ที่ใช้ในการขีดเขียนให้กว้างมากขึ้นอีกด้วยครับ
และแน่นอนครับว่าจะมาพร้อมกับวงแหวน Air Command ซึ่งประกอบไปด้วยฟังก์ชัน Action Memo, Smart Select, Image Clip และ Screen Write
อีกฟังก์ชันเด่นที่เหมือนกับ Galaxy Note 4 ก็คือฟังก์ชัน Photo Note ซึ่งรองรับการถ่ายภาพตัวหนังสือตามที่ต่างๆ แล้วนำมาแปลงเป็นข้อมูล เพื่อใช้สำหรับตกแต่งแก้ไขในภายหลังครับ
ความแตกต่างอย่างหนึ่งจากรุ่นอื่นๆ ก็คือ ทางลัดสำหรับเข้าใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ จะไม่ได้เน้นให้อยู่บนหน้า Home Screen แต่จะเน้นให้ไปอยู่ที่จอ Curved Edge แทน ส่วนหน้ารวมแอปพลิเคชันที่ด้านใน ยังคงเป็นรูปแบบปกติที่คุ้นเคยกันดีครับ
เมื่อกดปุ่ม Recent Apps ก็จะเจอกับหน้าสำหรับจัดการกับแอปพลิเคชันต่างๆ ที่เปิดใช้งานล่าสุด ในรูปแบบเดียวกันกับ Galaxy Note 4 ครับ
ในส่วนของแถบ Notification Bar ก็จะเป็นดีไซน์ใหม่ ที่ถูกใส่ไว้ในสมาร์ทโฟน ซัมซุง รุ่นใหม่ๆ
การตั้งค่าหน้า Home Screen ก็แน่นอนครับว่ารองรับทั้งภาพพื้นหลัง, วิดเจ็ต และเอฟเฟกต์สำหรับการเลื่อนหน้า
เมื่อลากที่ด้านซ้ายสุดของหน้า Home Screen เข้ามา ก็จะพบกับส่วนที่เรียกว่า Flipboard Briefing
ด้วยฟังก์ชัน Pop-Up Window ทำให้เราสามารถย่อแอปพลิเคชันต่างๆ ให้มาอยู่ในหน้าต่างขนาดเล็กได้ รวมถึงสามารถย่อลงอีกขั้นให้กลายเป็นไอคอนวงกลม ซึ่งสามารถย้ายตำแหน่งได้อย่างอิสระ และช่วยให้ไม่เกะกะสายตาขณะที่ใช้งานแอปพลิเคชันอื่นครับ
ไอคอนวงกลมของแอปพลิเคชันที่ย่อเอาไว้ เราสามารถขยายออกมา แล้วใช้งานพร้อมๆ กันบน 2 หน้าต่างที่แยกออกจากกันอย่างอิสระ ได้ด้วยฟังก์ชัน Split-Window หรือที่เรียกว่า Multi-Window นั่นเองครับ
ด้วยฟังก์ชัน Pen Mouse เราสามารถใช้ปากกาลากกรอบเพื่อเลือกไฟล์ทีละหลายๆ ไฟล์ได้ง่ายๆ แบบนี้เลยครับ
ที่ขาดไม่ได้ก็คือฟังก์ชัน Air View ที่แค่ชี้ปากกาไปใกล้ๆ ก็จะเห็นรายละเอียด และคำสั่งย่อยต่างๆ
ที่แถบ Edge Panel ของกล้องดิจิตอล จะมีปุ่มตั้งค่า, ปุ่มสลับกล้อง, ปุ่ม HDR, ปุ่มปรับโหมด, ปุ่มถ่ายวีดีโอ และปุ่มชัตเตอร์, มีระบบโฟกัสภาพที่รวดเร็วแม่นยำ พร้อมทั้งมีฟังก์ชันล็อคค่าโฟกัส และค่าชดเชยแสง
สามารถกำหนดความละเอียดของภาพถ่ายได้สูงสุดที่ 16 ล้านพิกเซล, มีเอฟเฟกต์มาตรฐานให้เลือกใช้หลายรูปแบบ, ตั้งเวลาถ่ายภาพล่วงหน้าได้ และสามารถเปิดปิดไฟแฟลชได้ตามต้องการ
ส่วนโหมดถ่ายภาพมาตรฐานที่ติดมากับเครื่องก็มีทั้งเซลฟี่กล้องหลัง, โฟกัสที่เลือก, พาโนรามา และสามารถดาวน์โหลดโหมดถ่ายภาพอื่นๆ มาติดตั้งเพิ่มเติมได้
ส่วนฟังก์ชัน HDR จะเป็นแบบ Live HDR ซึ่งเราจะเห็นผลลัพธ์ของการเปิดใช้งาน HDR ได้ทันที ก่อนที่จะกดถ่ายภาพครับ
กล้องของ Galaxy Note Edge สามารถถ่ายคลิปวีดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดถึงระดับ 4K UHD ครับ แต่ด้วยความละเอียดระดับนี้ บางฟังก์ชันก็จำเป็นต้องถูกปิดเอาไว้
และ Edge Panel ของกล้องดิจิตอลตรงนี้ หากเราถือเครื่องในแนวตั้ง เครื่องมือต่างๆ ก็จะหมุนเปลี่ยนทิศทางเป็นแนวตั้งให้โดยอัตโนมัติด้วยครับ
สำหรับกล้องหน้า จะมีฟังก์ชัน Beauty ซึ่งสามารถปรับความสวยเนียนได้ 8 ระดับด้วยกัน
โดยสามารถปรับความละเอียดของภาพถ่ายได้สูงสุดที่ 3.7 ล้านพิกเซล รวมทั้งสามารถใส่เอฟเฟกต์ได้, ตั้งเวลาถ่ายภาพล่วงหน้าได้, ฟังก์ชันถ่ายภาพแบบหลายช็อต, โหมดถ่ายภาพเซลฟี่ในแนวกว้าง และสามารถดาวน์โหลดโหมดถ่ายภาพอื่นๆ มาติดตั้งเพิ่มเติมได้เช่นกันครับ
ส่วนการถ่ายวีดีโอด้วยกล้องหน้า จะถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 2K QHD
และเราสามารถใช้เซ็นเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจแทนชัตเตอร์ถ่ายภาพได้ด้วยครับ
แน่นอนว่า Galaxy Note Edge ก็มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ปุ่มโฮมเช่นเดียวกันกับ Galaxy Note 4 ครับ โดยก่อนจะใช้งานก็ต้องมีการลงทะเบียนลายนิ้วมือเสียก่อน และเมื่อเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถใช้งานร่วมกับฟังก์ชันปลดล็อคหน้าจอ หรือฟังก์ชันอื่นๆ ได้ทันทีครับ
เซ็นเซอร์ที่น่าสนใจถัดมาก็คือเซ็นเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจซึ่งอยู่ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ซึ่งการใช้งานก็ไม่ยากครับ เพียงแค่เราวางนิ้วชี้ทาบไว้บนตัวเซ็นเซอร์แล้วรอสักครู่หนึ่ง เมื่อเซ็นเซอร์ตรวจจับได้เรียบร้อยแล้ว ก็จะแจ้งค่าอัตราการเต้นของหัวใจมาให้เราทราบผ่านทางแอปพลิเคชัน เช่นแอปพลิเคชัน S Health นั่นเอง ซึ่งก็น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่รักการดูแลสุขภาพนะครับ
อีกเซ็นเซอร์ที่มีประโยชน์ก็คือ เซ็นเซอร์ตรวจวัดค่ารังสียูวี หรือรังสีอัตราไวโอเลต ซึ่งช่วยให้เราทราบว่ารังสียูวีขณะนั้นมีอันตรายกับผิวหนังของเรามากน้อยขนาดไหน
ส่วนการตั้งค่า, ฟังก์ชัน, ฟีเจอร์ หรือลูกเล่นอื่นๆ บน Galaxy Note Edge ก็ถือว่าจัดเต็มเช่นเดียวกับ Galaxy Note 4 ครับ
เริ่มตั้งแต่ฟังก์ชัน Adaptive Display ที่ปรับการแสดงผลให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ
การตั้งค่าสำหรับการใช้งานปากกา S Pen
การสลับเครือข่ายอัจฉริยะ
การเชื่อมต่อไร้สายแบบ NFC
ฟังก์ชันดาวน์โหลดบูสเตอร์ สำหรับเพิ่มความเร็วในการดาวน์โหลด
ฟังก์ชันมัลติวินโดว์
การโทรโดยตรง, การเตือนอัจฉริยะ, การปิดเสียง หรือพักการใช้งาน, การใช้ฝ่ามือปัดเพื่อจับภาพหน้าจอ
และโหมดประหยัดพลังงานแบบสูงสุด หรือโหมด Ultra Power Saving ซึ่งจะเปลี่ยนการแสดงผลเป็นสีขาว-ดำ และเปิดใช้งานได้เฉพาะบางแอปพลิเคชันที่จำเป็นเท่านั้นครับ
สำหรับเครื่องเล่นวีดีโอ เราสามารถตั้งค่าความสว่าง, ฟังก์ชันจับภาพ, ฟังก์ชัน Adapt Sound, ฟังก์ชัน SoundAlive, โหมดโรงภาพยนตร์ และคำบรรยายได้ครับ
ส่วนเครื่องเล่นเพลง เราสามารถใช้ฟังก์ชัน SoundAlive ช่วยปรับเสียงตามสไตล์ของเพลงได้ครับ รวมทั้งสามารถเปิดเอฟเฟกต์เสียงแบบแอมป์หลอด, เสียงรอบทิศทางแบบ 7.1, เสียงแบบห้องขนาดเล็ก, เสียงแบบห้องขนาดใหญ่ และเสียงแบบคอนเสิร์ตฮอลล์ นอกจากนี้เรายังสามารถกำหนดค่าอีควอไลเซอร์, เสียง 3 มิติ, เสียงเบส และความชัดได้ด้วยตนเอง
ด้วยไมโครโฟนที่มีอยู่หลายตัวบน Galaxy Note Edge ทำให้เราสามารถบันทึกเสียงได้หลายรูปแบบครับ เช่นโหมดการสัมภาษณ์ และโหมดการประชุม นอกจากนี้ยังมีโหมดที่ช่วยแปลงเสียงเป็นข้อความมาให้ใช้อีกด้วยครับ
สำหรับเรื่องของการเล่นเกม ด้วยหน่วยประมวลผลกราฟิก Adreno 420 ที่มาพร้อมกับชิปเซ็ต Snapdragon 805 และหน่วยความจำ RAM ที่มีขนาดใหญ่ถึง 3 GB จึงทำให้การเล่นเกมบน Galaxy Note Edge นั้นลื่นไหลหายห่วงครับ ตั้งแต่เกมที่มีกราฟิกระดับพื้นๆ ไปจนถึงเกมที่มีกราฟิกระดับสูงๆ ก็สามารถรองรับได้แบบสบายๆ ซึ่งเท่าที่ทดสอบเกมที่มีกราฟิกหนักๆ หลายเกม ก็ไม่พบอาการกระตุก หรืออาการหน่วง ให้เห็นแต่อย่างใด ใครชอบเล่นเกมรับรองว่าไม่ผิดหวังครับ
เมื่อทำการทดสอบประสิทธิภาพในการรับสัญญาณดาวเทียมจีพีเอส ด้วยแอปพลิเคชัน GPS Test และ GPS Status ก็พบว่าชิปรับสัญญาณจีพีเอสบน Galaxy Note Edge สามารถรับสัญญาณได้รวดเร็วมากๆ ครับ
ระบบสัมผัสของ Galaxy Note Edge สามารถรองรับการสัมผัสพร้อมกันได้สูงสุด 10 จุด และมีการทำงานที่ถูกต้องสมบูรณ์ ไม่มีข้อผิดพลาดให้เห็นแต่อย่างใดครับ
เมื่อทำการทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวมด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ก็พบว่าผลคะแนนที่ได้จะอยู่ที่ 47,640 คะแนน โดยมีรายละเอียดของคะแนนในส่วนต่างๆ ดังนี้ครับ
เมื่อทำการทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวมด้วยแอปพลิเคชัน PCMark ก็พบว่าผลคะแนนที่ได้จะอยู่ที่ 3,282 คะแนน โดยมีรายละเอียดของคะแนนในส่วนต่างๆ ดังนี้ครับ
เมื่อทำการทดสอบประสิทธิภาพของการประมวลผลด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench 3 ก็พบว่าผลคะแนนในส่วนของ Single-Core จะอยู่ที่ 1,063 คะแนน และคะแนนในส่วนของ Multi-Core จะอยู่ที่ 3,143 คะแนน
เมื่อทำการทดสอบประสิทธิภาพในการแสดงผลภาพกราฟิกด้วยแอปพลิเคชัน 3DMark ก็พบว่าผลคะแนนที่ได้จะอยู่ที่ 10,069 คะแนน โดยมีรายละเอียดของคะแนนในส่วนต่างๆ ดังนี้ครับ
เมื่อทำการทดสอบประสิทธิภาพในการแสดงผลภาพกราฟิกด้วยแอปพลิเคชัน GFXBench ก็พบว่าผลคะแนนในส่วนของการทดสอบระดับ High-Level, การทดสอบระดับ Low-Level และการทดสอบแบบพิเศษ จะเป็นดังนี้ครับ
สรุปผลการทดสอบของ Samsung Galaxy Note Edge (ดูวีดีโอประกอบเนื้อหา )
สรุปแล้วสำหรับ Samsung Galaxy Note Edge รุ่นนี้ ก็เหมือนกับเป็นการนำสมาร์ทโฟนที่มีความสมบูรณ์แบบอยู่แล้วอย่าง Galaxy Note 4 มาทำการอัพเกรดให้มีความสมบูรณ์แบบขึ้นไปอีกขั้น ด้วยนวัตกรรมของหน้าจอขอบโค้งแบบ Curved Edge Screen นั่นเองครับ ดังนั้นนอกจากฟีเจอร์ไฮเอนด์ต่างๆ ที่มีอยู่ใน Galaxy Note 4 ก็จะมีอยู่บน Galaxy Note Edge รุ่นนี้เช่นเดียวกัน แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็คือผู้ใช้งานจะได้ประโยชน์จากจอ Curved Edge เพิ่มเข้ามา เสมือนมีสองหน้าจอในเครื่องเดียว ทั้งการเข้าถึงแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็ว, เครื่องมือด่วนที่ใช้งานได้จริง, การอัพเดทข้อมูลข่าวสารให้เห็นแบบทันทีทันใด และการแจ้งเตือน หรือเครื่องมือควบคุมต่างๆ ที่ไม่ไปรบกวน หรือไปขัดจังหวะระหว่างการใช้งาน
แต่อย่างไรก็ดี สำหรับคนที่ไม่เคยใช้งาน Galaxy Note Edge มาก่อน ก็คงจะต้องใช้เวลาปรับตัวให้เคยชิน กันสักหน่อย ซึ่งเมื่อเคยชินแล้วก็น่าจะใช้ประโยชน์จากขอบจอโค้งนี้ได้อย่างเต็มที่ และสำหรับใครที่ถนัดมือซ้ายก็คงไม่ต้องกังวล มากนัก เพราะ Galaxy Note Edge มีฟังก์ชันที่รองรับกับการใช้งานด้วยมือซ้ายด้วยเช่นกัน ถึงแม้จะไม่สมบูรณ์ 100% เหมือนกับมือขวาก็ตามที
สำหรับราคาจำหน่ายของ Galaxy Note Edge จะอยู่ที่ 28,900 บาท ซึ่งนับว่าเป็นราคาที่สูงที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟนของ ซัมซุง และแพงกว่า Galaxy Note 4 อยู่ถึง 3 พันบาท ดังนั้น Galaxy Note Edge ก็น่าจะเหมาะกับใครก็ตามที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่มีความสมบูรณ์แบบที่สุด ในงบประมาณที่ไม่จำกัด ทั้งในเรื่องของคุณสมบัติภายใน และเรื่องของนวัตกรรมที่หาไม่ได้จากสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ส่วนท่านใดที่สนใจก็สามารถแวะไปลองสัมผัสลองใช้งานกันก่อนได้ที่ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศครับ สุดท้ายก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชม พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ
จุดเด่นของ Samsung Galaxy Note Edge
- มีการออกแบบดีไซน์ที่สวยหรูมีเอกลักษณ์ พร้อมวัสดุคุณภาพสูง ดูเป็นผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม (กรอบตัวเครื่องผลิตจากโลหะ พร้อมฝาหลังที่มีพื้นผิวแบบหนังเทียม)
- จอแสดงผลแบบ Super AMOLED Capacitive Touchscreen 16,700,000 สี ความละเอียด 2560x1600 Pixels (2560x1440 + 160 Pixels) (QHD+ : กว้าง 5.6 นิ้ว : 524 ppi) พร้อมหน่วยประมวลผลภาพกราฟฟิคโดยเฉพาะ (GPU : Graphics Processing Unit) แบบ Adreno 420
- กระจกหน้าจอแบบ Curved Edge Screen มีความโค้งที่บริเวณขอบของหน้าจอ พร้อมฟังก์ชันใช้งานหลัก 4 อย่าง ได้แก่ Quick Application Access, Notifications without Interruption, Quick Tools และ Always Updated
- กระจกหน้าจอแบบ Corning Gorilla Glass 3 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันแรงกระแทก หรือรอยขีดข่วน
- ประมวลผลการทำงานด้วย ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 805 (ซีพียูแบบ Quad-Core Krait 450 ความเร็วในการประมวลผล 2.7 GHz)
- ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 4.4.4 (KitKat)
- รองรับการใช้งานฟังก์ชัน Pop-Up Window และ Multi-Window (Split-Window)
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 32 GB
- หน่วยความจำ RAM ขนาด 3 GB
- รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card (TransFlash) ได้สูงสุดขนาด 64 GB
- รองรับการใช้งานร่วมกับปากกา S Pen Stylus พร้อมประสิทธิภาพของการเขียนที่ดีขึ้น โดยสามารถแยกแยกแรงกดได้มากถึง 2,048 ระดับ (Galaxy Note 3 แยกแยะได้ 1,024 ระดับ) และมีวงแหวน Air Command ที่ปรับปรุงใหม่ให้ใช้งานได้ง่ายมากขึ้น
- ปากกา S Pen รองรับการใช้งานกับฟังก์ชันใหม่ เช่น Photo Note, Pen Mouse และ Smart Select
- ฟังก์ชัน Air Command (Action Memo, Screen Write, Image Clip และ Smart Select)
- กล้องดิจิตอลตัวหลักที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ความละเอียดระดับ 16 ล้าน Pixels พร้อมระบบป้องกันการสั่นแบบ Smart OIS, ไฟแฟลช LED, ระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติ
- รองรับการถ่ายภาพวีดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD (2160p : 3840x2160 Pixels : 30 fps)
- กล้องดิจิตอลขนาดเล็กที่ด้านหน้าของตัวเครื่อง ความละเอียดระดับ 3.7 ล้าน Pixels พร้อมเลนส์มุมกว้าง 120 องศา และรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.9
- กล้องดิจิตอลด้านหน้า รองรับการถ่ายภาพวีดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 2K QHD (2560x1440 Pixels)
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Finger Scanner)
- เซ็นเซอร์ตรวจจับการเปิด-ปิดของฝาเคส (Hall Sensor)
- เซ็นเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate Sensor)
- เซ็นเซอร์ตรวจวัดรังสีอัลตราไวโอเลต (UV Sensor)
- เซ็นเซอร์ตรวจวัดความกดอากาศ (Barometer Sensor)
- แบตเตอรี่ Li-Ion 3000 mAh พร้อมเทคโนโลยี Fast Charging ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการชาร์จแบตเตอรี่ (Adaptive Fast Charging และ QC2.0) (ชาร์จแบตเตอรี่จาก 0% ถึง 50% ได้ภายใน 30 นาที)
- โหมด Ultra Power Saving สำหรับการประหยัดพลังงาน (ล็อคการใช้งานบางฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น และเปลี่ยนสีของหน้าจอเป็น ขาว-ดำ)
- รองรับเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย (Qi Wireless Charging) (ต้องใช้ร่วมกับอุปกรณ์เสริม)
- รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ WiFi, 4G LTE Cat6, HSPA+, EDGE และ GPRS
- รองรับการเชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง NFC, Bluetooth, ANT+ และ Infrared
- ระบบ GPS ในตัว (Global Positioning System : ระบบดาวเทียมนำร่อง) พร้อมฟังก์ชัน A-GPS และรองรับการใช้งานร่วมกับระบบดาวเทียม GLONASS และ Beidou
- ไมโครโฟน 3 ตัว พร้อมโหมดการบันทึกเสียงแบบ Normal Mode, Interview Mode, Meeting Mode และ Voice Memo
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Samsung Galaxy Note Edge
- ฟิล์มกันรอยแบบเต็มจอสำหรับจอขอบโค้งของ Galaxy Note Edge ค่อนข้างหาซื้อได้ยาก และการติดต้องอาศัยความชำนาญ
- การใช้งานด้วยมือข้างซ้ายสามารถใช้งานได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ไม่สมบูรณ์เท่ากับการใช้งานด้วยมือข้างขวา
- แถบ Edge Panel บนขอบจอโค้ง ใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชัน ได้บางแอปพลิเคชันเท่านั้น
- ลำโพงเสียงที่ด้านหลังของตัวเครื่องมีขนาดเล็ก และให้เสียงแบบทิศทางเดียว (Mono)
- ไม่มีวิทยุ FM ในตัว
- มีราคาจำหน่ายที่ค่อนข้างสูงคือ 28,900 บาท
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางศูนย์ เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *
สรุปคุณสมบัติเครื่อง
ท่านสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ และข้อมูลเพิ่มเติมของ Samsung Galaxy Note Edge ได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้
Samsung Galaxy Note Edge Specification title="Sony Xperia ZL Specification">
:: ไปหน้าแรกเว็บไซต์ Thaimobilecenter
| ไปหน้าแรก
Mobile Focus ::