รีวิว (Review) OPPO R15 Pro
เรือธงกล้องคู่ AI ตัวท็อป พร้อมเซ็นเซอร์ Sony IMX519 ที่ไม่กลัวความมืด! ผสานจอ Super Full Screen ไร้ขอบ, กล้องหน้า AI Beauty HDR, ชิปเซ็๋ต Snapdragon 660 AIE, RAM 6GB, RAM 128GB และแบตเตอรี่ชาร์จไว VOOC บนบอดี้กระจกไล่เฉดสุดเงางาม ไฮเอนด์จัดเต็มได้ ในราคาไม่ถึงสองหมื่น!
Review
Date (5-มิถุนายน-2561)

หากถามถึงสมาร์ทโฟนตัวท็อปของแบรนด์ OPPO ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย ชื่อที่ใครๆ ต้องนึกถึงเป็นอันดับแรก ก็คงจะหนีไม่พ้นตระกูล R-Series อย่างแน่นอน โดยสมาร์ทโฟนในตระกูลนี้มีจุดเด่นหลายอย่างเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอแสดงผลความละเอียดสูงขนาดใหญ่, ดีไซน์สวยหรูพรีเมียม, กล้องถ่ายภาพสวยคมชัดทั้งด้านหน้า-ด้านหลัง และคุณสมบัติระดับสูง ในราคาที่สมเหตุสมผล ซึ่งล่าสุดทาง OPPO ก็ได้นำสมาร์ทโฟนรุ่นต่อยอดอย่าง OPPO R15 Pro เข้ามาจัดจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว พร้อมทั้งได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ และเคาะราคาขายออกมาที่ 19,990 บาท
สำหรับจุดขายสำคัญของ OPPO R15 Pro ก็คงจะเป็นในเรื่องของกล้องถ่ายภาพทั้งด้านหน้า-ด้านหลัง โดยกล้องดิจิทัลด้านหลังจะเป็นแบบคู่ (Dual Camera) ที่มีความละเอียด 20+16 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมกับระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ PDAF (Phase Detection Autofocus), ระบบป้องกันการสั่นแบบ EIS (Electronic Image Stabilization), รองรับเทคโนโลยี AI Portrait Mode กับ AI Scene Recognition และไฟแฟลชแบบ
Dual-LED ส่วนกล้องดิจิทัลด้านหน้ามีความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ซึ่งมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/2.0 พร้อมรองรับเทคโนโลยี Sensor HDR และรองรับเทคโนโลยี AI Beauty 2.0
ซึ่งนอกจากในเรื่องของกล้องถ่ายภายแล้วนั้น ทางด้านการออกแบบดีไซน์ ก็ได้รับการออกแบบใหม่หมดจดทั้งเครื่อง โดยตัวเครื่องของ OPPO R15 Pro นั้นใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ Double-Sided Glass Unibody ซึ่งกรอบตัวเครื่องเป็นโลหะอะลูมิเนียม ผสานกระจกแบบ Gorilla Glass 5 ที่ด้านหน้า และด้านหลัง จึงทำให้ตัวเครื่องมีความสวยงาม หรูหรา พรีเมียม และแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ ไม่เพียงเท่านั้น ทาง OPPO ยังได้ร่วมมือกับ Karim Rashid ดีไซน์เนอร์ชื่อดังระดับโลก
ในการออกแบบสีสันบนตัวเครื่องของ OPPO R15 Pro ให้เป็นแบบไล่เฉดสีได้ ซึ่งช่วยให้ตัวเครื่องของ OPPO R15 Pro ดูสะดุดตามีมิติน่าหลงไหลมากขึ้น

นอกจากนี้ คุณสมบัติเด่นอื่นๆ ทาง OPPO ก็ใส่มาในสมาร์ทโฟนรุ่นนี้แบบไม่มีกั๊ก ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอแสดงผลแบบ OLED Super Full Screen Display ความละเอียดระดับ Full HD+ (2280x1080 พิกเซล) ขนาด 6.28 นิ้ว ในอัตราส่วน 19:9 พร้อมครอบทับด้วยกระจอขอบนูนแบบ 3D Corning Gorilla Glass 5, มีโหมดถนอมสายตา, รองรับการแบ่งหน้าจอเพื่อใช้งาน 2 แอปพลิเคชัน พร้อมๆ กัน, รองรับการโคลนนิ่งแอปพลิเคชัน,
รองรับฟังก์ชัน Hold of distraction สำหรับเล่นเกม และสนทนาไปพร้อมๆ กัน, เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ, ระบบสแกนใบหน้า (Facial Unlock), รองรับการใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด, รองรับ Dual 4G, รองรับระบบเสียงแบบ Dirac และแบตเตอรี่ขนาด 3430 mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง (VOOC Flash Charge)
ในส่วนของคุณสมบัติด้านการประมวลผลนั้นก็จัดอยู่ในระดับกลาง ไม่ว่าจะเป็น ชิปเซ็ต 64-Bit Octa-Core Qualcomm SD660 Snapdragon 660 AIE ความเร็วในการประมวลผล 2.2 GHz, หน่วยประมวลผลภาพกราฟิกแบบ Adreno 512, หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128 GB, หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6 GB และขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ ColorOS 5.0 (มีพื้นฐานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo)

จากข้อมูลในข้างต้นจะเห็นได้ว่า OPPO R15 Pro ถือเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นต่อยอดที่มีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหลายๆ ด้าน เริ่มตั้งแต่ กล้องถ่ายภาพด้านหลังที่เปลี่ยนมาเป็นแบบคู่ (Dual Camera) พร้อมนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยประมวลผลภาพ, ตัวเครื่องที่เป็นดีไซน์ใหม่ทั้งเครื่อง พร้อมสเปกระดับไฮเอนด์ ที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ทุกระดับทุกรูปแบบ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอเชิญทุกท่านไปรับชมรีวิว OPPO R15 Pro แบบทุกซอกทุกมุม กับความสามารถของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ในด้านต่างๆ ไปพร้อมๆ
กันได้เลยครับ
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

สำหรับ OPPO R15 Pro นั้นมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลไร้ขอบแบบ OLED Super Full Screen Display ความละเอียดระดับ Full HD+ (2280x1080 พิกเซล) ขนาด 6.28 นิ้ว ในอัตราส่วน 19:9 พร้อมครอบทับด้วยกระจอขอบนูนแบบ 3D Corning Gorilla Glass 5 โดยมีขนาดของตัวเครื่องอยู่ที่ 156.5x75.2x8.0 มิลลิเมตร กับน้ำหนัก 180 กรัม

โดยหน้าจอแสดงผลของ OPPO R15 Pro นั้นมีพื้นที่ในการแสดงผลมากถึง 89% เลยทีเดียว

ด้านหน้าส่วนบนมีกล้องดิจิทัลความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ซึ่งมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุด f/2.0 พร้อมรองรับเทคโนโลยี Sensor HDR กับเทคโนโลยี AI Beauty 2.0, ลำโพงเสียงสำหรับฟังขณะทำการสนทนา, เซ็นเซอร์ Accelerometer ที่ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้ และเซ็นเซอร์ Proximity สำหรับการปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน

ด้านล่างของตัวเครื่องมีปุ่มการสั่งงานแบบ On Screen ได้แก่ ปุ่มย้อนกลับ, ปุ่มโฮม และปุ่ม Recent Apps

ด้านบนของตัวเครื่องมีไมโครโฟนตัวที่สอง สำหรับตัดเสียงรบกวนขณะบันทึกเสียง หรือบันทึกวิดีโอ

ด้านล่างของตัวเครื่องมีลำโพงเสียงภายนอก, ช่องสำหรับเชื่อมต่อกับสาย microUSB สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ หรือโอนถ่ายข้อมูล, ไมโครโฟน และช่องสำหรับเชื่อมต่อกับหูฟังแบบมาตรฐานขนาด 3.5 มิลลิเมตร


ด้านขวาของตัวเครื่องมีปุ่มเปิดเครื่อง และถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid Slot ซึ่งสามารถรองรับการใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด แต่ในช่องที่สองจะต้องเลือกใช้งานระหว่างใส่ซิมการ์ดที่ หรือเพิ่มการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD

ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีปุ่มเพิ่ม-ลด ระดับเสียง

ด้านหลังของตัวเครื่องมีกล้องดิจิทัลแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียด 20+16 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมกับระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ PDAF (Phase Detection Autofocus), ระบบป้องกันการสั่นแบบ EIS (Electronic Image Stabilization), ไฟแฟลชแบบ Dual-LED พร้อมรองรับฟังก์ชัน 3D Portrait Lighting สำหรับปรับแต่งการจัดแสงให้แก่ตัวแบบ และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ อีกทังยังมีแบตเตอรี่ขนาด 3430 mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง (VOOC Flash Charge : ชาร์จแบตเตอรี่ 5
นาที ใช้งานสนทนาได้ 2 ชั่วโมง)

โดยกล้องตัวที่หนึ่งจะมีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ซึ่งใช้เซ็นเซอร์รับภาพแบบ Sony IMX519 ขนาด 1/2.6 นิ้ว ที่มีเม็ดพิกเซลขนาด 1.22 ไมครอน ที่มีทางยาวโฟกัส 25 มิลลิเมตร และมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/1.7 ส่วนกล้องตัวที่สองนั้นมีความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ซึ่งใช้เซ็นเซอร์รับภาพขนาด 1/2.8 นิ้ว ที่มีเม็ดพิกเซลขนาด 1 ไมครอน ที่มีทางยาวโฟกัส 25 มิลลิเมตร และมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/1.7

อีกหนึ่งความพิเศษของกล้องดิจิทัลด้านหลังคือ รองรับการทำงานร่วมกับเทคโนโลยี AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ ที่มีชื่อว่า AI Scene Recognition โดยมีหน้าที่ช่วยตรวจจับวัตถุ และสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านหน้าผู้ถ่าย เพื่อตั้งค่าการถ่ายภาพให้เหมาะสมแบบอัตโนมัติ (สามารถวิเคราะห์วัตถุ และหมวดหมู่ได้ทั้งหมด 16 ประเภท : 120 ซีน) อีกทั้งยังมีโหมดถ่ายภาพ AI Portrait Mode สำหรับถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ

สำหรับตัวเครื่องของ OPPO R15 Pro ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ Double-Sided Glass Unibody ซึ่งกรอบตัวเครื่องเป็นโลหะอะลูมิเนียม ผสานกระจกแบบ Gorilla Glass 5 ที่ด้านหน้า และด้านหลัง จึงทำให้ตัวเครื่องมีความสวยงาม หรูหรา พรีเมียม และแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ อีกหนึ่งความน่าสนใจคือ ทาง OPPO ได้ร่วมมือกับ Karim Rashid ดีไซน์เนอร์ชื่อดังระดับโลก ในการออกแบบสีสันบนตัวเครื่องของ OPPO R15 Pro ให้เป็นแบบไล่เฉดสีได้ ซึ่งช่วยให้ตัวเครื่องของ OPPO R15 Pro มีความหรูหรา และพรีเมียมมากขึ้นไปอีกระดับ
เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ
 
 
สำหรับ OPPO R15 Pro นั้นขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android ColorOS 5.0 ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo) อีกทั้งยังรองรับการใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด และรองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านระบบ 4G LTE กับ 3G ได้ นอกจากนี้ ยังรองรับเทคโนโลยีการสื่อสารทางเสียงผ่านโครงข่าย 4G (Voice over LTE) และที่สำคัญคือมีเทคโนโลยี Dual 4G ใส่มาให้ด้วย (ใช้งาน 4G ได้ทั้ง 2 ซิมการ์ด)

และรองรับการเชื่อมต่อไร้สายแบบ NFC
 
มีหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6 GB พร้อมด้วยหน่วยความจำภายในขนาด 128 GB
 
อีกทั้งยังมีฟังก์ชันการแจ้งเตือนต่างๆ และสามารถเปิดใช้งานฟังก์ชันลัดได้หลากหลาย เช่น การเปิดใช้งานอินเทอร์เน็ต หรือฟังก์ชันการถนอมสายตา (Blue Light Filter)
 
อีกทั้งยังมีบริการจากทาง Google ให้ใช้งานอย่างครบครัน
 
 
นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถปรับแต่งหน้าจอโฮมสกรีนได้ ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนธีม, การเปลี่ยนภาพวอลเปเปอร์, การนำวิดเจ็ตที่ต้องการใช้งานมาไว้ที่หน้าจอโฮมสกรีน และการเปลี่ยนเอฟเฟกต์ปลดล็อกหน้า
 
ทางด้านฟังก์ชันโทรศัพท์ก็มีหน้าตาที่สามารถใช้งานได้ง่าย และสามารถเข้าดูรายชื่อโทรศัพท์ทั้งหมดได้ทันที
 
มีแอปพลิเคชัน "ศูนย์รักษาความปลอดภัย" ที่สามารถตั้งค่าความเป็นส่วนตัวต่างๆ ได้ โดยผู้ใช้สามารถเคลียร์ข้อมูลขยะที่ไม่ได้ใช้ เพื่อให้มีพื้นที่เก็บบันทึกข้อมูลเพิ่มมากขึ้น, การสแกนไวรัส หรือการกำหนดสิทธิ์เข้าใช้งาน
 
สำหรับเว็บเบราว์เซอร์ก็ตอบสนองต่อการใช้งานได้ดี และสามารถแสดงรายละเอียดต่างๆ บนเว็บไซต์ได้ครบถ้วน
 
สำหรับอัลบั้มภาพถ่ายนั้นสามารถแสดงภาพถ่ายได้หลักๆ 2 แบบ คือ แบบรวมภาพถ่ายทั้งหมด กับแสดงแบบแยกอัลบั้ม
 
ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ใช้งานยังสามารถตั้งค่าในส่วนของเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือได้ พร้อมทั้งรองรับการลงทะเบียนได้หลายลายนิ้วมือภายในเครื่องเดียวกัน หรือเลือกใช้กับการปลดล็อกเครื่อง, การเข้ารหัสแอปพลิเคชัน และการปกป้องไฟล์ ซึ่งจากการทดสอบตัวเซ็นเซอร์ก็สามารถปลดล็อกหน้าจอได้อย่างรวดเร็วทันใจ

และที่พิเศษไปกว่านั้น คือมีระบบสแกนใบหน้า (Facial Unlock) ให้ใช้งาน ซึ่งมีประโยชน์ในการป้องกันผู้อื่นแอบอ้างเองภาพถ่ายของผู้ใช้มาทำการปลดล็อกเครื่อง เรียกได้ว่า ช่วยเพิ่มความปลอดภัยอีกหนึ่งขั้นเลยทีเดียว
 

อีกหนึ่งความน่าสนใจบน OPPO R15 Pro ก็คือสามารถเปิดใช้งานฟังก์ชันการเร่งความเร็วฮาร์ดแวร์ให้ทำงานในประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้เล่นเกมได้อย่างไหลลื่น เนียนตามากยิ่งขึ้นได้


อีกหนึ่งฟังก์ชันที่มาพร้อมกับ OPPO R15 Pro คือ ฟังก์ชัน Hold of distraction (ห้ามรบกวน) เมื่อมีสายเรียกเข้าผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะรับสายหรือไม่ ถ้าหากกดรับสาย ตัวฟังก์ชันก็จะเปิดลำโพงเสียงภายนอกให้ทันทีเพื่อสนทนากับอีกฝ่าย โดยที่หน้าจอไม่สลับไปเป็นฟังก์ชันโทรศัพท์ ซึ่งผู้ใช้ก็ยังสามารถเล่นเกมต่อได้ และสนทนาไปพร้อมๆ กัน
 
นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชัน Split-Screen สำหรับแบ่งหน้าจอ เพื่อให้ใช้งานได้พร้อมกัน 2 แอปพลิเคชัน ส่วนทางด้านโคลนนิ่งแอปพลิเคชันก็สามารถใช้งานได้บน OPPO R15 Pro ด้วยเช่นกัน ซึ่งผู้ใช้สามารถโคลนนิ่งแอปพลิเคชัน Line, Facebook หรือ Instagram นั้นหมายว่าความว่าผู้ใช้สามารถล็อกอินเข้าใช้งานแอปพลิเคชัน Line ได้ พร้อมๆ กัน ถึง 2 แอคเคานท์
 
OPPO R15 Pro ยังรองรับการสั่งงานด้วยท่าทางได้ ไม่ว่าจะเป็น เช่น เคาะที่หน้าจอแสดงผล 2 ครั้ง เพื่อปลุกการทำงานของเครื่อง, วาดตัว V เพื่อเปิดไฟฉาย และสามารถกำหนดรูปแบบการลากนิ้วแบบอื่นๆ เข้ากับการสั่งงานต่างๆ เพิ่มเติมได้เองอีกมากมาย
 
สามารถ เปิด-ปิด การสั่งงานด้วยนิ้วมือได้อีกหลายแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การใช้ 3 นิ้วเลื่อนขึ้น หรือลง เพื่อจับภาพหน้าจอ และการเปิดโหมดการใช้งานมือเดียวด้วยการใช้นิ้วเลื่อนจากมุมขวาล่าง หรือซ้ายล่าง ของหน้าจอ นอกจากนี้ ยังมีโหมดการโทรอัจฉริยะให้ใช้งานอีกด้วย
 
สามารถจับสัญญาณดาวเทียม GPS ในที่กลางแจ้งได้ดี พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS ของรัสเซีย และระบบดาวเทียม Beidou ของจีน โดยจากภาพตัวอย่างการทดสอบข้างต้นจะเห็นว่าสามารถจับสัญญาณดาวเทียมได้ทั้งหมด 29 ดวง และมีค่าความแม่นยำอยู่ที่บวกลบ 6 เมตร (คลาดเคลื่อนไม่เกิน 6 เมตร) อย่างไรก็ดีคุณภาพของการจับสัญญาณจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่
 
มีเซ็นเซอร์พื้นฐานติดตั้งมาให้อย่างครบครัน และมี Gyroscope Sensor ให้ใช้งาน
 
ทางด้านแอปพลิเคชันสำหรับฟังเพลงก็มีให้ใช้งานบน OPPO R15 Pro ด้วยเช่นกัน และสามารถเปิดใช้งานระบบเสียง Dirac ได้ โดยผู้ใช้สามารถสามารถปรับรูปแบบอีควอไลเซอร์ได้หลากหลาย เช่น Rock หรือ Pop (ระบบเสียง Dirac จะต้องใช้งานร่วมกับหูฟังเท่านั้น)


และสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ Full HD (1080p) ได้อย่างไหลลื่น และสามารถแสดงรายละเอียดต่างๆ ได้อย่างคมชัด
 
สำหรับ OPPO R15 Pro มาพร้อมกับชิปเซ็ต 64-Bit Octa-Core Qualcomm SD660 Snapdragon 660 AIE ความเร็วในการประมวลผล 2.2 GHz, หน่วยประมวลผลภาพกราฟิกแบบ Adreno 512, หน่วยความจำภายในขนาด 128 GB, หน่วยความจำแรม ขนาด 6 GB และขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ ColorOS 5.0 (มีพื้นฐานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo) อีกหนึ่งความพิเศษของชิปประมวลผลของ OPPO R15 Pro คือ จะมาพร้อมกับฮาร์ดแวร์ AIE (Artificial Intelligence Engine) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ที่ฝังอยู่ในฮาร์ดแวร์ชิปเซ็ต
Snapdragon 660 ซึ่งจะทำหน้าที่ช่วยประมวลผลการทำงานของ AI บน OPPO R15 Pro ไม่ว่าเป็น ในเรื่องของกล้องถ่ายภาพ, ระบบปฏิบัติการ, ระบบเสียง หรือการเล่นเกม

ถึงแม้ว่าคุณสมบัติตัวเครื่องของ OPPO R15 Pro นั้นจะจัดอยู่ในระดับกลาง แต่ก็สามารถตอบโจทย์การเล่นเกมที่มีกราฟิกสวยๆ อย่างเกม PUBG ได้อย่างไหลลื่น และไม่มีอาการหน่วง หรืออาการสะสมความร้อนที่ตัวเครื่องให้พบเจอ
 
และเมื่อนำ OPPO R15 Pro มาทดสอบผ่านแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ก็พบว่าได้คะแนนอยู่ที่ 145896 คะแนน ต่อด้วยการทดสอบผ่านแอปพลิเคชัน Geekbench 4 จะได้คะแนนอยู่ที่ 1602 คะแนน สำหรับการประมวลผลแบบ Silgle-Core และ 5721 คะแนน สำหรับการประมวลผลแบบ Multi-Core

OPPO R15 Pro นั้นสามารถรองรับการสัมผัสได้พร้อมกันสูงสุด 10 จุด
 
และสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันอื่นๆ มาใช้งานเพิ่มเติมได้ผ่านแอปพลิเคชัน Google Play Store
กล้องดิจิทัล ถ่ายภาพนิ่ง และถ่ายภาพวิดีโอ

โดยกล้องถ่ายภาพด้านหลังของ OPPO R15 Pro นั้น มีการปรับปรุง และพัฒนาให้ดีมากขึ้นว่าเดิม อีกทั้งยังได้นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อย่าง AI เข้ามาช่วยในเรื่องของการประมวลผลภาพถ่ายให้มีความคมชัด และสีสันสมจริง ทั้งในสภาวะแสงน้อย หรือในสภาวะแสง ไม่เพียงเท่านั้น กล้องดิจิทัลด้านหลังยังมีเทคโนโลยี AI Scene Recognition สำหรับทำหน้าที่ช่วยตรวจจับวัตถุ และสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านหน้าผู้ถ่าย เพื่อตั้งค่าการถ่ายภาพให้เหมาะสมแบบอัตโนมัติ อีกทั้งยังมีโหมดถ่ายภาพ AI Portrait Mode
สำหรับถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลออีกด้วย
 
 
สำหรับ Interface กล้องถ่ายภาพด้านหลังของ OPPO R15 Pro นั้นมีหน้าตาที่สามารถใช้งานได้ง่าย พร้อมทั้งแสดงไอคอนฟังก์ชันต่างๆ เอาไว้ให้เลือกใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย เช่น การเปิดใช้งานไฟแฟลช LED, ฟังก์ชัน HDR หรือการตั้งเวลาเพื่อถ่ายภาพ และมีโหมดถ่ายภาพให้เลือกใช้งานหลากหลาย เช่น โหมดถ่ายภาพปกติ, โหมดถ่ายภาพหน้าสวย หรือโหมดถ่ายภาพ AR Stickers
 
 
ความพิเศษของกล้องถ่ายภาพด้านหลังของ OPPO R15 Pro คือ มีโหมดถ่ายภาพรูปแบบใหม่มาให้ใช้งานที่มีชื่อว่า AI Portrait Mode ซึ่งเมื่อถ่ายภาพตัว AI จะทำการประมวล และปรับภาพให้เป็นแบบหน้าชัดหลังเบลอโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชัน 3D Portrait Lighting สำหรับช่วยปรับแสงแบบ 3 มิติ ให้แก่ตัวแบบเพื่อเปลี่ยนโทนสี, แสงบนใบหน้าตัวแบบ และให้อารมณ์ของภาพถ่ายมากขึ้น (มีให้เลือก 5 แบบ) อีกทั้งยังมีฟังก์ชันที่เน้นการถ่ายภาพ Portrait เป็นพิเศษอย่างการปรับระยะโฟกัสของกล้องถ่าย
าพให้เข้าไปใกล้ตัวแบบมากยิ่งขึ้น (Close-up) เพียงแค่แตะที่ไอคอนบริเวณด้านซ้ายบนเท่านั้น ซึ่งนับว่าเหมาะกับการถ่ายภาพ Portrait ที่ต้องการเน้นอารมณ์ หรือรายละเอียดของใบหน้าของตัวแบบให้มากขึ้น
 
มีโหมดถ่ายภาพโปรให้ใช้งาน ซึ่งสามารถปรับค่าเพื่อถ่ายภาพได้หลากหลาย

อีกหนึ่งความพิเศษบนกล้องดิจิทัลด้านหลังคือ รองรับเทคโนโลยี AI Scene Recognition (สังเกตที่ไอคอนด้านซ้ายบนของหน้าจอ) สำหรับปรับแต่งค่าต่างๆ เพื่อให้เหมาะสมกับการถ่ายภาพสถานการณ์นั้นๆ แบบอัตโนมัติ ซึ่งสามารถวิเคราะห์ซีนต่างๆ ได้ถึง 16 ซีน ไม่ว่าจะเป็น การถ่ายภาพอาหาร, ถ่ายภาพพระอาทิตย์ตก, ถ่ายภาพสัตว์เลี้ยง หรือถ่ายภาพในร่ม เป็นต้น
 
นอกจากนี้ ยังสามารถถ่ายวิดีโอได้สูงสุดที่ความละเอียดระดับ 4K Ultra HD และมีโหมดถ่ายวิดีโอ Time-Lapse ให้ใช้งานด้วยเช่นกัน และที่พิเศษไปกว่านั้น คือ ในขณะที่ถ่ายวิดีโอผู้ใช้สามารถปรับค่าผิวเนียนได้
 
 
ทางด้านกล้องดิจิทัลด้านหน้าก็มี Interface ที่สามารถใช้งานได้ง่ายเช่นเดียวกับกล้องดิจิทัลด้านหลัง พร้อมแสดงไอคอนฟังก์ชันไว้ให้เลือกใช้งานได้ทันที ได้แก่ ไฟแฟลช LED, ฟังก์ชัน HDR, ฟังก์ชัน Bokeh, การตั้งเวลาเพื่อถ่ายภาพ และการเลือกสัดส่วนของภาพถ่าย และมีโหมดถ่ายภาพให้เลือกใช้งานหลากหลาย เช่น โหมดถ่ายภาพปกติ และโหมดถ่ายภาพพาโนราม่า
 
สำหรับโหมดถ่ายภาพหน้าสวย (AI Beauty 2.0) นั้นมีความสามารถในการวิเคราะห์ลักษณะใบหน้าของผู้ใช้งานได้กว่า 296 จุด ทำให้แม้ว่าจะถ่ายภาพเซลฟี่เป็นกลุ่ม หรือถ่ายภาพเซลฟี่แบบไม่เต็มหน้า ระบบ AI Beauty 2.0 ก็ยังสามารถตรวจจับใบหน้า และนำไปปรับแต่งให้เหมาะสมกับตัวแบบได้ และสามารถเลือกปรับค่าผิวเนียนได้มากถึง 6 ระดับเลยทีเดียว
 
โดยกล้องดิจิทัลด้านหน้าก็มีโหมด AR Stickers ให้ใช้งานด้วยเช่นกัน ซึ่งจะมีสติกเกอร์ให้เลือกใช้งานหลากหลายรูปแบบ ซึ่งจะมาเพิ่มความสนุกสนานให้กับการถ่ายภาพของผู้ใช้นั่นเอง (โหมดนี้มีให้ใช้ทั้งกล้องดิจิทัลด้านหน้า และด้านหลัง)
 
นอกจากนี้ ยังสามารถถ่ายวิดีโอได้สูงสุดที่ความละเอียดระดับ Full HD (1080p) ซึ่งอีกหนึ่งความพิเศษสำหรับโหมดถ่ายภาพวิดีโอบน OPPO R15 Pro คือ สามารถปรับค่าผิวเนียนขณะบันทึกวิดีโอได้ และมีโหมดถ่ายวิดีโอ Time-Lapse ให้ใช้งาน และที่พิเศษไปกว่านั้น คือ ในขณะที่ถ่ายวิดีโอผู้ใช้สามารถปรับค่าผิวเนียนได้
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลตัวหลักที่ด้านหลังของตัวเครื่องความละเอียดระดับ 20+16 ล้านพิกเซล ของ OPPO R15 Pro

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าสวย พร้อมปรับค่าระดับ 3

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าสวย พร้อมปรับค่าระดับ 6
 
ภาพซ้ายถ่ายด้วยโหมด AI Portrait พร้อมปรับค่าแสงแบบธรรมชาติ ในระยะปกติ ส่วนภาพขวาถ่ายด้วยโหมด AI Portrait พร้อมปรับค่าแสงแบบธรรมชาติ ในระยะ Close-up
 
ส่วนภาพซ้ายถ่ายด้วยโหมด AI Portrait พร้อมปรับค่าแสงแบบภาพยนตร์ ในระยะ Close-up ส่วนภาพซ้ายถ่ายด้วยโหมด AI Portrait พร้อมปรับค่าแสงแบบสองสี ในระยะ Close-up

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมด AI Portrait พร้อมปรับค่าแสงแบบธรรมชาติ ในระยะปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมด AI Portrait พร้อมปรับค่าแสงแบบธรรมชาติ ในระยะ Close-up

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมด AI Portrait พร้อมปรับค่าแสงแบบธรรมชาติ ในระยะ Close-up

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมด AI Portrait พร้อมปรับค่าแสงแบบธรรมชาติ ในระยะ Close-up

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมด AI Portrait พร้อมปรับค่าแสงแบบสองสี ในระยะปกติ
 
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าสวย พร้อมปรับค่าระดับ 3 และเปิดใช้งานฟังก์ชันสติกเกอร์
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลด้านหน้าของตัวเครื่อง ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ผ่านโหมดถ่ายภาพหน้าสวย (AI Beauty 2.0) ของ OPPO R15 Pro
 
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ พร้อมเปิดใช้งานฟังก์ชัน HDR แบบอัตโนมัติ
 
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าสวย (A.I. Beauty 2.0) พร้อมปรับค่าผิวเนียนแบบอัตโนมัติ
 
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าสวย (A.I. Beauty 2.0) พร้อมปรับค่าผิวเนียนระดับ 3
 
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าสวย (A.I. Beauty 2.0) พร้อมปรับค่าระดับ 6
 
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าสวย (A.I. Beauty 2.0) พร้อมปรับค่าผิวเนียนระดับ 6 และเปิดใช้งานฟังก์ชันโบเก้
 
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าสวย (A.I. Beauty 2.0) พร้อมปรับค่าผิวเนียนแบบอัตโนมัติ และเปิดใช้งานฟังก์ชันสติกเกอร์
สรุปผลการทดสอบของ OPPO R15 Pro

ก็จบลงไปแล้วนะครับ สำหรับการรีวิวสมาร์ทโฟนเรือธงตัวท็อปกล้องคู่ AI พร้อมสเปกระดับสูง บนดีไซน์สวยหรู พรีเมียม ในราคาสมน้ำสมเนื้อ อย่าง OPPO R15 Pro โดยอันดับแรกที่อยากกล่าวถึงคือการออกแบบดีไซน์แบบใหม่หมดจดของ OPPO R15 Pro ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ Double-Sided Glass Unibody อีกทั้งยังผสานกับกระจกแบบ Gorilla Glass 5 ที่ด้านหน้า และด้านหลัง จึงทำให้ตัวเครื่องมีความสวยงาม และแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ ไม่เพียงเท่านั้น ด้านหลังของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ยังมีความพิเศษที่สามารถไล่เฉดสีได้
ซึ่งต้องยอมรับว่าช่วยให้ตัวเครื่องของ OPPO R15 Pro นั้นมีความพรีเมียมมากขึ้นไปอีกระดับ และน่าพกพาไปใช้งานในชีวิตประจำวันเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากจะออกแบบได้สวยงามแล้ว ทางด้านกล้องถ่ายภาพก็ทำออกมาได้ดีไม่แพ้กัน โดยเฉพาะกล้องดิจิทัลด้านหลังความละเอียด 20+16 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมกับระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ PDAF (Phase Detection Autofocus), ระบบป้องกันการสั่นแบบ EIS (Electronic Image Stabilization) และไฟแฟลชแบบ Dual-LED ซึ่งจากการทดสอบในโหมดการถ่ายภาพปกติที่ทำงานร่วมกับฟังก์ชัน AI Scene Recognition กล้องดิจิทัลด้านหลังก็ตอบโจทย์การถ่าย
าพได้ดี ภาพถ่ายที่ได้ก็มีความคมชัด ทั้งในสภาวะแสงปกติ อีกทั้งยังช่วยปรับสีสันให้เหมาะกับการถ่ายภาพแบบต่างๆ อีกด้วย เช่น ถ่ายภาพใบไม้สีเขียว ตัว AI Scene Recognition ก็จะปรับสีใบไม้ให้ดูสดขึ้นนั่นเอง

ส่วนการทดสอบฟังก์ชัน AI Portrait Mode ก็ต้องยอมรับว่าฟังก์ชันนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อถ่ายภาพบุคคลอย่างแท้จริง ซึ่งจะเห็นได้จากภาพตัวอย่างด้านบนที่ผ่านที่ตัวฟังก์ชันมีการตัดขอบระหว่างนางแบบ กับฉากหลังได้อย่างเนียนตา พร้อมทำการเบลอของฉากหลังได้อย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีฟังก์ชัน 3D Portrait Lighting ที่ช่วยปรับสภาพแสงให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพได้หลากหลายมากขึ้นได้
สำหรับกล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ซึ่งมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุด f/2.0 พร้อมรองรับเทคโนโลยี Sensor HDR ก็ตอบโจทย์ด้านการถ่ายภาพได้ดีไม่แพ้กัน และด้วยความที่เป็น Sensor HDR จึงทำให้ถ่ายภาพได้ดีในทุกๆ สภาวะแสง อีกทั้งยังทำงานร่วมกับเทคโนโลยี AI Beauty 2.0 ได้เป็นอย่างดี โดยภาพถ่ายเซลฟี่ที่ได้ก็มีการปรับแต่งใบหน้าตัวแบบให้ดูมีเลือดฝาด และผิวหน้ามีความเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ บอกได้เลยว่า
ต้องถูกอกถูกใจผู้ที่รักการถ่ายภาพเซลฟี่อย่างแน่นอน
นอกจากในเรื่องของกล้องถ่ายภาพ กับการออกแบบดีไซน์แล้ว ทางด้านหน้าจอแสดงผลไร้ขอบแบบ OLED Super Full Screen Display ความละเอียด 2280x1080 พิกเซล ขนาด 6.28 นิ้ว ในอัตราส่วน 19:9 พร้อมครอบทับด้วยกระจอขอบนูนแบบ 3D Corning Gorilla Glass 5 ก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดขายของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ด้วยเช่นกัน ด้วยความที่ OPPO R15 Pro นั้นมีหน้าจอคมชัด บวกกับมีพื้นสำหรับแสดงผลขนาดใหญ่ จึงทำให้ผู้ใช้สามารถรับชมคอนเทนท์ต่างๆ
ได้อย่างเต็มตา เช่น ภาพยนตร์ หรือเล่นเกม

ทางด้านคุณสมบัติเด่นอื่นๆ ก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อกับราคาค่าตัว ไม่ว่าจะเป็น การรองรับโหมดถนอมสายตา, รองรับการแบ่งหน้าจอเพื่อใช้งาน 2 แอปพลิเคชัน พร้อมๆ กัน, รองรับการโคลนนิ่งแอปพลิเคชัน, รองรับฟังก์ชัน Hold of distraction สำหรับเล่นเกม และสนทนาไปพร้อมๆ กัน, เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ, ระบบสแกนใบหน้า (Facial Unlock), รองรับการใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด, รองรับ Dual 4G, รองรับระบบเสียงแบบ Dirac
และแบตเตอรี่ขนาด 3430 mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง (VOOC Flash Charge)
ในส่วนของคุณสมบัติด้านการประมวลผล ก็ถือว่าเร็วแรงไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นชิปเซ็ต 64-Bit Octa-Core Qualcomm SD660 Snapdragon 660 AIE ความเร็วในการประมวลผล 2.2 GHz, หน่วยประมวลผลภาพกราฟิกแบบ Adreno 512, หน่วยความจำภายในขนาด 128 GB, หน่วยความจำแรม ขนาด 6 GB และขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ ColorOS 5.0 (มีพื้นฐานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo) ซึ่งจากทดสอบทั้งการเล่นเกมที่มีการฟิกแบบสามมิติ
หรือชมภาพยนตร์ความละเอียดสูงระดับ Full HD (1080p) OPPO R15 Pro ก็ตอบสนองต่อการใช้งานได้อย่างไหลลื่น โดยไม่มีอาการหน่วง หรือกระตุกให้พบเจอ อีกทั้งยังไม่มีการสะสมความร้อนที่ตัวเครื่องอีกด้วย เรียกได้ว่า ตอบโจทย์การใช้งานต่างๆ ได้ดีอย่างน่าประทับใจ
และจากการทดสอบทั้งหมดที่ผ่านมาก็พอที่จะสรุปได้ว่า OPPO R15 Pro นั้นน่าจะเหมาะกับผู้ที่รักการถ่ายภาพที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนที่มีกล้องถ่ายภาพคุณภาพสูงทั้งด้านหน้า-ด้านหลัง พร้อมผสานการทำงานของเทคโนโลยี AI ที่ช่วยให้เครื่องสามารถถ่ายภาพได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้นไปอีกขั้น, ดีไซน์สวยหรูพรีเมียม บางเฉียบ พกพาสะดวก และคุณสมบัติโดยรวมที่อยู่ในระดับสูง ในราคาที่สมเหตุสมผล ซึ่ง OPPO R15 Pro ก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

และหากท่านใดสนใจก็สามารถหาซื้อ OPPO R15 Pro ได้แล้วที่ OPPO Brand Shop หรือร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ในราคา 19,990 บาท โดยมีให้เลือก 2 สี คือ Cosmic Purple กับ Ruby Red และพิเศษสุดๆ สำหรับผู้ที่ซื้อ OPPO R15 Pro ทุกท่าน จะได้รับ Premium Service ซึ่งเป็นบริการพิเศษสำหรับเปลี่ยนเครื่องได้ทันทีที่ศูนย์บริการ หากตัวเครื่องมีปัญหาอันมาจากการผลิต สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง OPPO ประเทศไทย
ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง OPPO R15 Pro มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ
จุดเด่นของ OPPO R15 Pro
- ตัวเครื่องใช้เทคโนโลยะการผลิตแบบ Double-Sided Glass Unibody อีกทั้งยังผสานกับกระจกแบบ Gorilla Glass 5 ที่ด้านหน้า และด้านหลัง พร้อมร่วมมือกับ Karim Rashid ดีไซน์เนอร์ชื่อดังระดับโลก ในการออกแบบสีสันบนตัวเครื่องของ OPPO R15 Pro ให้เป็นแบบไล่เฉดสีได้
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Sensor) ที่ด้านหลัง และระบบจดจำใบหน้า (Facial Unlock) สำหรับตรวจสอบสิทธิ์ของการเข้าใช้งานเครื่อง และการเข้าถึงข้อมูลภายใน
- จอแสดงผลไร้ขอบแบบ OLED Super Full Screen Display ความละเอียดระดับ Full HD+ (2280x1080 พิกเซล) ขนาด 6.28 นิ้ว ในอัตราส่วน 19:9 พร้อมหน่วยประมวลผลภาพกราฟิกโดยเฉพาะ (GPU : Graphics Processing Unit) แบบ Adreno 512
-
ครอบทับด้วยกระจอขอบนูนแบบ 3D Corning Gorilla Glass 5
- รองรับฟังก์ชันถนอมสายตาด้วยการลดแสงสีฟ้า
- รองรับการสั่งงานด้วยท่าทาง
- รองรับฟังก์ชัน Split-Screen สำหรับแบ่งหน้าจอ เพื่อให้ใช้งานได้พร้อมกัน 2 แอปพลิเคชัน
- รองรับฟังก์ชัน Hold of distraction สำหรับเล่นเกม และสนทนาไปพร้อมๆ กัน
- ประมวลผลการทำงานด้วยชิปเซ็ต 64-Bit Octa-Core Qualcomm SD660 Snapdragon 660 AIE ความเร็วในการประมวลผล 2.2 GHz
- ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ ColorOS 5.0 (มีพื้นฐานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo)
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 128 GB พร้อมรองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card (TransFlash)
- หน่วยความจำ RAM ขนาด 6 GB
- กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual Camera) ที่มีความละเอียด 20+16 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมกับระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ PDAF (Phase Detection Autofocus), ระบบป้องกันการสั่นแบบ EIS (Electronic Image Stabilization), รองรับเทคโนโลยี AI Portrait Mode กับ AI Scene Recognition, ไฟแฟลชแบบ Dual-LED และรองรับการถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K Ultra HD
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ที่มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/2.0 พร้อมรองรับเทคโนโลยี Sensor HDR, รองรับเทคโนโลยี A.I. Beauty 2.0, รองรับฟังก์ชันโบเก้ และรองรับการถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD (1080p)
- รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 4G LTE, 3G, WiFi, EDGE และ GPRS
- รองรับเทคโนโลยี Dual 4G (ใช้งาน 4G ได้ทั้ง 2 ซิมการ์ด)
- ระบบ GPS+A-GPS ในตัว (Global Positioning System : ระบบดาวเทียมนำร่อง)
- รองรับระบบเสียง Dirac (ผู้ใช้จะต้องเชื่อมต่อกับหูฟังเสียก่อนถึงจะสามารถเปิดใช้งานระบบเสียงได้)
- ชนิดแบตเตอรี่แบบ Li-Ion ขนาด 3430 mAhพร้อมรองรับเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง (VOOC Flash Charge)
- ราคา 19,990 บาท
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ OPPO R15 Pro
- กล้องถ่ายภาพไม่มีระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS (Optical Image Stabilization)
- ตัวเครื่องภายนอก มีพื้นผิวแบบกระจก จึงอาจเกิดคราบเปื้อน หรือรอยนิ้วมือได้ง่าย
- ยังคงใช้พอร์ตเชื่อมต่อแบบ microUSB ไม่ใช่ USB Type-C
- ถาดซิมการ์ดเป็นแบบ Hybrid Slot ดังนั้นช่องใส่ซิมการ์ดที่สอง ต้องเลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างซิมการ์ด กับการ์ด microSD
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางศูนย์ เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *
เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจของ OPPO R15 Pro
- สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคาของ OPPO R15 Pro
- พรีวิว (Preview) OPPO R15 Pro
- ทดสอบกล้อง OPPO R15 Pro
- เทียบภาพถ่ายเซลฟี่ OPPO R15 Pro, OPPO F7 และ iPhone X
title="Sony Xperia ZL Specification">

:: ไปหน้าแรกเว็บไซต์ Thaimobilecenter
| ไปหน้าแรกรีวิวมือถือ ::
|