รีวิว (Review) iPhone X
ไอโฟนที่ดีที่สุด ด้วยยอดนวัตกรรมแห่งอนาคต บนตัวเครื่องโฉมใหม่หมดจด กับจอไร้ขอบ OLED Super Retina HDR, ชิปเซ็ต Apple A11 Bionic สุดอัจฉริยะทรงพลัง, Face ID ระบบความปลอดภัยล้ำยุครูปแบบใหม่ที่สะดวกกว่าที่เคย, กล้องคู่ผสาน Portrait Mode หน้าชัด-หลังเบลอ, ระบบกันสั่น Dual OIS ผสาน Optical Zoom, กล้องหน้า TrueDepth ผสาน Animoji ที่สนุกได้กว่าที่เคย, ลำโพงคู่เสียงใส และรองรับการชาร์จไร้สาย บนบอดี้ Metal-Glass
ดีไซน์ใหม่ที่กันน้ำได้!
Review
Date (31-มกราคม-2561)

หากกล่าวถึงแบรนด์สมาร์ทโฟนระดับโลกที่มีชื่อว่า Apple เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะผลิตภัณฑ์อย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ทั่วโลกมากที่สุดก็คือ iPhone สมาร์ทโฟนยอดฮิตที่เข้ามาเปลี่ยนโลกมือถือไปโดยสิ้นเชิงนับตั้งแต่ iPhone รุ่นแรกเปิดตัวออกมา และกระแสความนิยมของผลิตภัณฑ์ iPhone ก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน โดยล่าสุด Apple ได้เปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ออกมาพร้อมกันถึง 3 รุ่น โดย 2 รุ่นแรกเป็นการเปิดตัวตาม Cycle ปกติในชื่อ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus แต่ไอโฟนอีกรุ่นหนึ่งซึ่งเปิดตัวมาในฐานะไอโฟนรุ่นพิเศษสำหรับการเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปีผลิตภัณฑ์ไอโฟน ได้รับความสนใจจากผู้ใช้เป็นอย่างมาก และไอโฟนรุ่นดังกล่าวมีชื่อว่า iPhone X
iPhone X คือไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมกับนวัตกรรมที่ดีที่สุดของ Apple ในหลายส่วนด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ รูปลักษณ์ดีไซน์ภายนอกที่ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด พร้อมใช้ดีไซน์แบบ Metal-Glass ที่ช่วยให้ตัวเครื่องดูเงางามพรีเมียมมากยิ่งขึ้น กับการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นในระดับ IP67, หน้าจอแสดงผล OLED Super Retina HD แบบไร้ขอบรุ่นแรกของค่าย ขนาด 5.8 นิ้ว ในอัตราส่วน 18:9 ความละเอียด 2436x1125 พิกเซล ความหนาแน่นของเม็ดพิกเซล 458 ppi
พร้อมรองรับการแสดงผลแบบ HDR, ชิปเซ็ตประมวลผล Hexa-Core 64-bit Apple A11 Bionic พร้อมเทคโนโลยี Neural Engine ที่ทำให้ชิปมีความฉลาด และประมวลผลได้เร็วแรงมากยิ่งขึ้น, มาตรฐานรักษาความปลอดภัยแบบใหม่ด้วยเทคโนโลยี Face ID หรือระบบจดจำใบหน้าสุดล้ำที่ปลอดภัยกว่าลายนิ้วมือหลายเท่า และฟีเจอร์ Wireless Charge ที่ไม่ต้องเชื่อมต่อสายให้ยุ่งยาก
สำหรับจุดเด่นอย่างกล้องถ่ายภาพบน iPhone X นับว่าเป็นฟีเจอร์พระเอกของรุ่นเลยก็ว่าได้ โดยกล้องด้านหลังเป็นแบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, ใช้งานเลนส์ Wide และ Telephoto, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8 และ F/2.4, ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบคู่ (Dual-OIS), ไฟแฟลชแบบ Quad-LED, ระบบซูมภาพแบบ 2x Optical Zoom, ถ่ายวิดีโอ Slow Motion ได้ในความละเอียดสูงสุดที่ 1080p 240fps และรองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ
4K Ultra HD 60fps ส่วนกล้องด้านหน้า TrueDepth มาพร้อมความละเอียด 7 ล้านพิกเซล, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.2 และบันทึกวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด Full HD
นอกจากนี้ Apple ยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) หรือเทคโนโลยีการสร้างภาพเสมือนซ้อนทับลงบนโลกแห่งความจริงที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทอย่างมากในอนาคต ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะช่วยเปิดประสบการณ์การใช้งานในรูปแบบใหม่ๆ ได้มากขึ้น เช่น แอปพลิเคชันเกี่ยวกับอวัยวะภายในร่างกายมนุษย์ที่สามารถมองเห็นอวัยวะจำลองได้ทันที หรือการใช้งานด้านความบันเทิงด้วยการเล่นเกมส์ หรือสร้างคลิปวิดีโอที่มีไดโนเสาร์ หรือมอนสเตอร์ต่างๆ มาร่วมเฟรมด้วยอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้
Apple จึงพัฒนาให้กล้องของ iPhone X รองรับการใช้งานเทคโนโลยี AR อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมทั้งมีแอปพลิเคชัน AR ให้เลือกใช้งานบน App Store อย่างหลากหลายด้วยเช่นเดียวกัน
และด้วยกระแสที่มาแรง พร้อมทั้งยังเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่มีผู้ให้ความสนใจมากที่สุดรุ่นหนึ่งในขณะนี้ ทางทีมงาน Thaimobilecenter จึงได้นำ iPhone X มารีวิวให้ทุกท่านได้ชมกันอย่างละเอียดว่า iPhone X รุ่นนี้มีอะไรที่ดีขึ้นกว่าเดิมบ้าง, ฟีเจอร์การใช้งานใหม่เป็นอย่างไร, คุ้มค่าน่าเปลี่ยนหรือไม่ ติดตามชมจากรีวิว iPhone X ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

iPhone X มีขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 143.6x70.9x7.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 174 กรัม หน้าจอแสดงผลเป็นแบบ All-Screen OLED Super Retina HD Display ความละเอียด 2436x1125 พิกเซล (กว้าง 5.8 นิ้ว : 458 ppi)

ด้านหน้าส่วนบนประกอบด้วย กล้องอินฟราเรด, อิลลูมิเนเตอร์มุมกว้าง, เซ็นเซอร์ตรวจจับระยะ, เซ็นเซอร์วัดแสงโดยรอบ, ลำโพงสำหรับทำการสนทนา และลำโพงตัวที่สองของเครื่อง, ไมโครโฟน, กล้องหน้า TrueDepth ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.2 และบันทึกวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด Full HD และตัวฉายจุดแสง

ด้านหน้าส่วนล่างประกอบด้วย ปุ่มโฮมแบบใหม่ (On-Screen) โดยใช้วิธีการปัดนิ้วขึ้นเพื่อออกมาสู่หน้าโฮม

ด้านขวาประกอบด้วย ถาดใส่ซิมการ์ดแบบ nanoSIM, ปุ่ม เปิด-ปิด เครื่อง หรือล็อกหน้าจอ และเป็นปุ่มเรียกใช้งาน Siri ด้วย

ด้านซ้ายประกอบด้วย ปุ่ม เปิด-ปิด เสียง หรือล็อกการหมุนของหน้าจอ และปุ่ม เพิ่ม-ลด ระดับเสียง


ด้านล่างประกอบด้วย ช่องเชื่อมต่อ Lightning Port และลำโพงหลักของตัวเครื่อง

ด้านหลังประกอบด้วย กล้องด้านหลังเป็นแบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, ใช้งานเลนส์ Wide และ Telephoto, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8 และ F/2.4, ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบคู่ (Dual-OIS), ไฟแฟลชแบบ Quad-LED, Optical Zoom, ถ่ายวิดีโอ Slow Motion ได้ในความละเอียดสูงสุดที่ 1080p 240fps และรองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K Ultra HD 60fps

ตัวเครื่องของ iPhone X ใช้การดีไซน์แบบ Metal-Glass โดยกรอบตัวเครื่องใช้โลหะ Stainless Steel ที่มีความแข็งแกร่งในระดับเดียวกับที่ใช้ในการผลิตเครื่องมือศัลยกรรม ส่วนด้านหลังทั้งหมดถูกครอบทับด้วยกระจก ซึ่งช่วยให้รูปลักษณ์ตัวเครื่องดูมีความหรูหราพรีเมียมน่าจับถือ แต่ด้วยความที่ด้านหลังเป็นกระจก ทำให้อาจเกิดรอยนิ้วมือค่อนข้างง่าย ต้องหมั่นเช็ดทำความสะอาดบ่อยๆ หรือใส่เคสเพื่อป้องกัน ส่วนขนาดของตัวเครื่องค่อนข้างหนาอยู่แล้ว ทำให้จับถือได้กระชับถนัดมือ ไม่ต้องกลัวว่าจะร่วงหลุดมือแต่อย่างใด
นอกจากนี้ iPhone X ยังรองรับการชาร์จแบบไร้สายได้อีกด้วย ทำให้การชาร์จแบตเตอรี่ก็ไม่จำเป็นต้องต่อสายให้ยุ่งยากอีกต่อไป


สำหรับ iPhone X ก็ถือเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่มีราคาสูงที่สุดในตลาดขณะนี้ ดังนั้นจึงย่อมต้องการ การปกป้องที่มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะหน้าจอไร้ขอบใหม่ล่าสุด ถ้าแตกขึ้นมาก็จะมีค่าซ่อมสูงเกือบ 1 หมื่นบาทเลยทีเดียว แต่หากมีฟิล์มกระจกกันรอย Focus Super Glass 3D Full Frame รุ่นนี้ช่วยปกป้องก็อุ่นใจได้ เพราะรับแรงกระแทกได้มากกว่าฟิล์มกระจกกันรอยทั่วไปถึง 2 เท่า ด้วยเทคโนโลยี Strength Plus อีกทั้งยังปกป้องได้เต็มจอถึงขอบโค้ง, แสดงผลได้คมชัดสีสันสดใส, ไม่มีปัญหาเรื่องฝุ่นเข้าจอ,
ทัชลื่นไม่สะดุด, กันรอยขีดข่วนได้ดีเยี่ยม และสวยงามโค้งมนลงตัวพอดีกับ iPhone X


หลังจากติดตั้งแล้ว เซ็นเซอร์ต่างๆ กับกล้องด้านหน้า รวมถึงระบบ Face ID ก็ยังทำงานได้ตามปกติ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใดครับ

รวมถึง Animoji ที่เป็นแอนิเมชั่นเคลื่อนไหว และมีเสียงพูดได้ตามท่าทาง


นอกจากจะรับแรงกระแทกได้มากกว่า 2 เท่าแล้ว การป้องกันรอยขีดข่วนจากการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันก็นับว่ายอดเยี่ยมครับ ไม่ว่าจะเป็นพวงกุญแจ, เหรียญ, แหวน, นาฬิกา, ปากกา, คัตเตอร์, พื้นโต๊ะ, ซิปกระเป๋า, สายชาร์จ, แจ็คหูฟัง และอื่นๆ อีกมากมาย

เรื่องระบบสัมผัสก็ยังคงลื่นไหลแทบไม่ต่างไปจากหน้าจอเดิมๆ ของ iPhone X

การแสดงผลก็ยังคงมีความคมชัดสูง และมีสีสันที่สดใส แทบไม่ต่างไปจากหน้าจอเดิมๆ เช่นเดียวกัน


และฟิล์มกระจกกันรอยระดับพรีเมียมรุ่นนี้ก็ไม่ได้ผลิตมาเฉพาะ iPhone X เท่านั้นนะครับ เพราะยังมีรุ่นสำหรับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ด้วยเช่นกัน
ข้อมูลเพิ่มเติม : รีวิว Focus Super Glass 3D Full Frame ฟิล์มกระจกกันรอย iPhone X ที่แข็งแกร่ง 2 เท่า พร้อมปกป้องได้เต็มจอถึงขอบโค้ง!
เปรียบเทียบดีไซน์ iPhone X กับ iPhone 8 Plus








จะเห็นว่า iPhone X มีขนาดตัวเครื่องในภาพรวมเล็กกว่า iPhone 8 Plus อยู่พอประมาณ แต่พื้นที่หน้าจอแสดงผลมีมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะ iPhone X ใช้งานหน้าจอแบบไร้ขอบ ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานไอโฟนในตัวเครื่องที่มีขนาดกระชับมือ แต่แสดงผลได้เต็มตามากยิ่งขึ้น ซึ่งความแตกต่างในด้านรูปลักษณ์ดีไซน์ที่สังเกตได้ชัดเจนก็คือ ตำแหน่งเซ็นเซอร์ และกล้องด้านหน้าของ iPhone X จะอยู่ตรงกลางหน้าจอ ส่วนกล้องคู่ด้านหลังจะเป็นแนวตั้ง ขณะที่กล้องคู่ของ iPhone 8 Plus จะเป็นแนวนอน และที่สำคัญก็คือ iPhone
X ไม่มีปุ่มโฮมวงกลมที่เป็นเอกลักษณ์ของไอโฟนมาอย่างยาวนาน เพราะ iPhone X ใช้งาน Face ID นั่นเอง
เปรียบเทียบ iPhone X, iPhone 8 และ iPhone 8 Plus แตกต่างกันอย่างไร รุ่นไหนตอบโจทย์มากกว่ากัน
เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ

iPhone X ที่ทีมงานนำมารีวิวให้ทุกท่านได้รับชมกันในวันนี้เป็นรุ่น 64GB สีเทา Space Grey โดย iPhone X มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 11 ซึ่งทางทีมงานก็ได้อัปเดตให้เป็น iOS 11.2.5 เวอร์ชันล่าสุดแล้ว เพื่อให้ใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน

เมื่อเปิดเครื่องเข้ามาก็พบกับ Interface ที่เป็นเอกลักษณ์ และคุ้นหน้าคุ้นตากันดีสำหรับผู้ใช้ไอโฟน โดยเริ่มแรกนั้นแอปพลิเคชันภายในตัวเครื่องก็มีติดตั้งมาให้บางส่วนสำหรับใช้งานในเบื้องต้นแล้ว

iPhone X มาพร้อมกับฟีเจอร์ True Tone ที่เป็นการปรับระดับแสงบนหน้าจอให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เพื่อถนอมสายตาของผู้ใช้ เช่น ถ้าหากอยู่ในที่กลางแจ้ง iPhone X จะเร่งแสงหน้าจอให้สว่างมากขึ้น แต่ถ้าอยู่ในที่แสงน้อย หน้าจอจะลดแสงลง พร้อมทั้งปรับสีให้ออกเหลือง เพื่อทำให้สายตาไม่เมื่อยล้าจนเกินไป
 
หากปัดนิ้วลงจากทางมุมจอด้านขวาบน จะเป็นการเรียกใช้งานเมนู Control Center ซึ่งการเรียกใช้งานจากด้านบนนี้เป็นเฉพาะ iPhone X เท่านั้น เพราะไอโฟนรุ่นอื่นๆ จะปัดขึ้นจากด้านล่าง โดยในเมนูต่างๆ สามารถกด 3D Touch เข้าไปดูฟังก์ชันอย่างละเอียดได้
 
นอกจากนี้ เมนูฟังก์ชันลัดต่างๆ ในหน้า Control Center ผู้ใช้สามารถปรับแต่งได้ในระดับหนึ่ง ด้วยการเข้าไปตั้งค่าในเมนู Customize Controls โดยฟังก์ชันลัดต่างๆ ก็มีให้เลือกใช้พอประมาณ และเมื่อเลือกไปไว้ในหน้า Control Center แล้ว ไอคอนเหล่านั้นก็จะอยู่ด้านล่างแบบเดียวกับในภาพข้างต้น

หากปัดนิ้วลงมาจากทางด้านซ้ายบนของหน้าจอ จะเป็นการเปิดหน้าแสดงการแจ้งเตือน หรือ Notification
 
ถ้าปัดหน้าจอมาทางด้านซ้ายสุดจะเป็นหน้าของ Widget ต่างๆ โดยผู้ใช้สามารถกดปุ่ม Edit และเข้าไปปรับแต่ง Widget อื่นๆ ให้มาแสดงบนหน้าจอได้ด้วยเช่นกัน
 
เนื่องจาก iPhone X ไม่มีปุ่มโฮมแบบกดเหมือนไอโฟนรุ่นก่อนๆ ทำให้เวลาเข้าใช้งานหน้าจอ Multitasking นั้น ผู้ใช้ต้องปัดนิ้วจากด้านล่างมาประมาณครึ่งหน้าจอแล้วกดค้างไว้สักครู่หนึ่ง ก็จะเข้าใช้งานหน้าจอ Multitasking ได้ ส่วนการบังคับปิดแอปพลิเคชัน (Force Close) สามารถทำได้โดยการแตะค้างไว้ที่แอปพลิเคชันนั้นๆ จนมีขีดสีแดงด้านบนปรากฏขึ้น และกดเพื่อลบแอปพลิเคชันนั้นๆ

ภาพพื้นหลังหน้าจอของ iPhone X มีให้เลือกด้วยกัน 3 แบบ คือ Dynamic (ภาพเคลื่อนไหวตลอดเวลา), Stills (ภาพนิ่ง) และ Live (จะเคลื่อนไหวเมื่อกด)
 
ผู้ช่วยอัจฉริยะของฝั่ง Apple อย่าง Siri ก็สามารถตั้งค่าใช้งานได้ทันที โดยผู้ใช้สามารถเลือกเปิดฟังก์ชัน Hey Siri เพื่อบันทึกรูปแบบเสียง และเรียก Siri ผ่านคำสั่งเสียงได้ทันที
 
สำหรับฟีเจอร์เด่นของ iPhone X ก็แน่นอนว่าจะต้องเป็นระบบรักษาความปลอดภัยแบบใหม่ล่าสุดในชื่อ Face ID หรือการใช้ใบหน้าเพื่อปลดล็อก โดยการสแกนใบหน้านี้มีความแม่นยำ และปลอดภัยมากกว่าลายนิ้วมือหลายเท่า ซึ่งผู้ใช้สามารถบันทึกใบหน้าได้เพียง 1 ใบหน้า ต่อ 1 เครื่อง เท่านั้น โดยระบบสแกนใบหน้าจะสามารถปลดล็อกตัวเครื่องได้ก็ต่อเมื่อดวงตาของผู้ใช้มองที่หน้าจอด้วย ถ้าหากผู้ใช้หลับตาก็จะไม่สามารถปลดล็อกได้ นอกจากนี้ ด้วยความสามารถของชิปเซ็ตบวกกับ Face ID ทำให้ระบบสามารถเรียนรู้ใบหน้าของผู้ใช้ที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงได้ด้วย
แม้ว่าผู้ใช้จะไว้หนวดไว้เครา หรือเปลี่ยนการตกแต่งใบหน้าอย่างไร ก็ยังสามารถปลดล็อกได้เช่นเคย
 
นอกจากนี้ ด้วยการที่ iPhone X สามารถสแกนใบหน้าได้ ทาง Apple จึงพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ขึ้นมาชื่อว่า Animoji โดยผู้ใช้สามารถสร้างตัวการ์ตูนต่างๆ ให้ขยับปาก และใบหน้า รวมไปถึงการแสดงอารมณ์ได้ตามใบหน้าของเราทันที และสามารถบันทึกเป็นคลิปวิดีโอส่งให้ผู้อื่นได้ด้วย ซึ่งขั้นตอนการทำงานของฟีเจอร์ Animoji ก็ค่อนข้างซับซ้อน เพราะต้องการใช้การวิเคราะห์กล้ามเนื้อที่แตกต่างกันกว่า 50 รูปแบบ เพื่อจำลองการแสดงออกทางใบหน้าของผู้ใช้

หากผู้ใช้ท่านใดที่มี Apple Watch ใช้งานอยู่ก่อนหน้านี้ ก็สามารถนำ iPhone X มาสแกน Apple Watch ของตนเองผ่านทางแอปพลิเคชัน Watch และใช้งานได้ทันที
 
ใครที่ชื่นชอบการออกกำลังกายก็สามารถใช้งานแอปพลิเคชัน Activity เพื่อตรวจสอบการออกกำลังได้ โดยตัวเครื่องจะมีการบันทึกไว้ว่า ในแต่ละวันผู้ใช้เดินไปกี่ก้าว, เป็นระยะทางเท่าใด ฯลฯ อีกทั้งยังมีเมนูอื่นๆ ให้เลือกใช้งานอย่างครบครัน

สำหรับผู้ใช้อุปกรณ์ iDevice สามารถโทรหากัน หรือวิดีโอคอลกันผ่านทางแอปพลิเคชัน FaceTime ได้ทันที ซึ่งเป็นบริการที่มีให้เฉพาะผู้ใช้ iDevice เท่านั้น
 
แอปพลิเคชันต่างๆ ที่ต้องการใช้งานก็มีให้ดาวน์โหลดกันใน App Store ไม่ว่าจะเป็นเกม, การถ่ายภาพ, การทำวิดีโอ หรือแอปพลิเคชันอรรถประโยชน์ต่างๆ
 
นอกจากแอปพลิเคชันแล้ว ยังมีศูนย์รวมความบันเทิงอีกแห่งหนึ่งด้วย นั่นก็คือ iTunes Store ที่รวบรวมทั้ง ภาพยนตร์, เพลง และอื่นๆ ไว้ทั้งหมด

ใครที่ชื่นชอบการฟังเพลงเป็นชีวิตจิตใจก็มีคลังเพลงอันมหาศาลที่บรรจุเพลงไว้เกือบทั้งโลกอย่าง Apple Music ให้สมัครใช้งานเพียงเดือนละ 129 บาท โดยมีสิทธิพิเศษให้ทดลองใช้ฟรีถึง 3 เดือนอีกด้วย
 
ขยับมาดูกันที่จุดเด่นในเรื่องความเร็วแรงของตัวเครื่องกันบ้าง โดย iPhone X ใช้งานชิปเซ็ตประมวลผล Hexa-Core 64-bit Apple A11 Bionic พร้อมเทคโนโลยี Neural Engine ที่ทำให้ชิปมีความฉลาด และประมวลผลได้เร็วแรงมากยิ่งขึ้น โดยทดสอบการประมวลผลด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ได้คะแนนอยู่ที่ 227,934 คะแนน พร้อมทดสอบการประมวลผลด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench 4 โดย iPhone X ทำคะแนนในแบบ Single-Core ไปได้ 4,252 คะแนน และแบบ Multi-Core ทำคะแนนไปได้ 10,433 คะแนน

ด้วยความเร็วในการประมวลผลที่เร็วแรงเช่นนี้ส่งผลให้ iPhone X สามารถเปิดแอปพลิเคชันพร้อมกันได้อย่างหลากหลาย โดยไม่มีอาการหน่วงช้าแต่อย่างใด รวมไปถึงการท่องเว็บไซต์ที่สามารถเปิดได้หลายหน้าพร้อมกัน และใช้งานได้อย่างไหลลื่น




การเล่นเกมที่มีการประมวลผลกราฟิกสูงๆ หรือเกมที่มีภาพสวยก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด iPhone X สามารถเล่นได้ทุกเกมด้วยความรวดเร็ว และลื่นไหล รวมไปถึงหน้าจอ All-Screen OLED Super Retina HD Display ความละเอียด 2436x1125 พิกเซล (กว้าง 5.8 นิ้ว : 458 ppi) ก็มีความคมชัด สามารถรับชมภาพยนตร์ หรือเล่นเกมได้อย่างเต็มตา พร้อมลำโพงคู่บน-ล่าง ที่มีความกระหึ่ม และได้อรรถรสเป็นอย่างมาก
กล้องดิจิตอล การถ่ายภาพนิ่ง และภาพวีดีโอ
 

สำหรับ UI ของแอปพลิเคชันกล้องถ่ายภาพยังคงเอกลักษณ์แบบเดิมไว้อย่างครบถ้วน ใครที่เคยใช้ไอโฟนรุ่นก่อนๆ มาแล้วก็คงใช้งานทั่วไปได้ไม่ยากนัก โดยเมนูด้านบนคือ ไฟแฟลช, HDR, Live Photos, หน่วงเวลา และฟิลเตอร์
 
 

แต่สำหรับฟีเจอร์เด่นของกล้องถ่ายภาพที่เพิ่มเข้ามาบน iPhone X ก็คือ Portrait Mode ที่สามารถจัดแสงในสภาวะต่างๆ ให้เหมาะกับการถ่ายภาพบุคคลได้อย่างเหมาะสมในสถานการณ์นั้นๆ โดยแบ่งออกเป็น Natural Light, Studio Light, Contour Light, Stage Light และ Stage Light Mono
 

สำหรับการถ่ายวิดีโอนั้น iPhone X รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K Ultra HD 60 fps และสามารถบันทึกวิดีโอแบบ Slow Motion ได้ที่ความเร็วสูงสุด 240 fps ที่ความละเอียดระดับ Full HD 1080p และสามารถเลือก Format ของไฟลืวิดีโอได้ว่าจะใช้งานในรูปแบบของ ความละเอียดสูง หรือใช้งานทั่วไป
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องคู่ (Dual-Camera) ด้านหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ของ iPhone X







 
 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง TrueDepth ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล ของ iPhone X
 
 

สรุปผลการทดสอบของ iPhone X

เรียกได้ว่า iPhone X ถือเป็นไอโฟนที่เปิดตัวในฐานะมือถือรุ่นพิเศษเฉลิมฉลองการครบรอบ 10 ปี ผลิตภัณฑ์ไอโฟนได้ค่อนข้างดีทีเดียว เพราะ iPhone X พกพาเอานวัตกรรมที่ดีที่สุดของ Apple มาใส่ไว้อย่างมากมาย เริ่มตั้งแต่ ดีไซน์ตัวเครื่องที่พัฒนาใหม่กับการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นในระดับ IP67 พร้อมใช้งานการดีไซน์แบบ Metal-Glass โดยกรอบตัวเครื่องผลิตจากโลหะสแตนเลสสตีลเกรดเดียวกับที่ใช้ในการผลิตเครื่องมือศัลยกรรม, ด้านหน้า-ด้านหลังครอบทับด้วยกระจกสุดแกร่ง ซึ่งช่วยให้ตัวเครื่องมีความหรูหราพรีเมียมมากยิ่งขึ้น
พร้อมทั้งเอื้อให้ iPhone X สามารถใช้งานฟีเจอร์การชาร์จแบตเตอรี่ไร้สายได้ด้วย ส่วนตัวเครื่องก็มีขนาดกำลังพอดีมือ จับถือได้กระชับ ไม่ต้องกลัวร่วงหล่นแต่อย่างใด แต่ว่าด้วยความที่เป็นกระจกครอบทับด้านหลังจึงอาจทำให้เกิดรอยนิ้วมือได้ง่าย
สำหรับหน้าจอแสดงผลก็เป็นหน้าจอใหม่ที่ใช้งานใน iPhone X เป็นรุ่นแรก โดยหน้าจอของ iPhone X เป็นหน้าจอ All-Screen OLED Super Retina HD Display ความละเอียด 2436x1125 พิกเซล ขนาด 5.8 นิ้ว ความหนาแน่นของเม็ดพิกเซล 458 ppi อีกทั้งยังเป็นจอภาพแบบ HDR (High Dynamic Range) และเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ รวมไปถึงฟีเจอร์ True Tone Display ที่สามารถปรับระดับแสงหน้าจอให้เข้ากับสภาพแวดล้องในขณะนั้น เพื่อถนอมสายตาของผู้ใช้ได้ด้วย

ส่วนความเร็วแรงของตัวเครื่องนั้นก็เรียกว่าอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดา ด้วยชิปเซ็ตประมวลผล Hexa-Core 64-bit Apple A11 Bionic พร้อมเทคโนโลยี Neural Engine ที่ทำให้ชิปมีความฉลาด และประมวลผลได้เร็วแรงมากยิ่งขึ้น ทำให้การเล่นเกมที่มีกราฟิกสูงๆ หรือการใช้งานที่เน้นการประมวลผลค่อนข้างมาก ก็ไม่ทำให้ตัวเครื่องติดขัด หรือหน่วงช้าแต่อย่างใด ประกอบกับ iOS 11 ระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ที่เขียนขึ้นมาให้ใช้งานบน iPhone X ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะทั้งตัวซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์มีความเข้ากันได้เป็นอย่างดี
ส่งผลถึงเสถียรภาพในการทำงานด้วย
นอกจากความเร็วแรงของตัวเครื่องแล้ว นวัตกรรมใหม่ที่มีผู้ใช้ให้ความสนใจกันเป็นอย่างมาก นั่นก็คือ Face ID หรือระบบสแกนใบหน้าที่เข้ามาแทนที่ระบบรักษาความปลอดภัยก่อนหน้านี้อย่าง Touch ID เพราะระบบสแกนใบหน้านั้นมีความปลอดภัยสูงกว่าลายนิ้วมือค่อนข้างมาก โดยการทำงานของ Face ID จะอาศัยกล้อง TrueDepth ด้านหน้า ซึ่งตัวกล้องจะฉาย และวิเคราะห์จุดแสงที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ากว่า 30,000 จุด เพื่อสร้างแผนผังโครงสร้างใบหน้าในแนวลึกอย่างแม่นยำ ซึ่งการใช้งาน Face ID ในชีวิตประจำวันถือว่าค่อนข้างสะดวกมาก
เพราะเมื่อเรายก iPhone X ขึ้นมาพร้อมกับสไลด์นิ้วเพื่อเข้าใช้งาน ตัวเครื่องก็จะปลดล็อกหน้าจอให้เราแทบจะในทันที ไม่ต้องเว้นช่วงเหมือนการใช้ลายนิ้วมือก่อนหน้านี้ นับว่าใช้งานสะดวกมากขึ้นกว่าเดิมเยอะทีเดียว

มาดูกันต่อที่กล้องถ่ายภาพกันบ้าง iPhone X ใช้งานกล้องด้านหลังแบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, ใช้งานเลนส์ Wide และ Telephoto, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8 และ F/2.4, ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบคู่ (Dual-OIS), ไฟแฟลชแบบ Quad-LED, ระบบซูมภาพแบบ 2x Optical Zoom, ถ่ายวิดีโอ Slow Motion ได้ในความละเอียดสูงสุดที่ ระดับ Full HD 1080p ที่ความเร็ว 240fps และรองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K Ultra
HD 60fps ซึ่งกล้องด้านหลังนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์ Portrait Mode หรือการถ่ายภาพแบบหน้าชัด-หลังเบลอ ที่มีสภาพแสงให้เลือกใช้งานถึง 5 แบบด้วยกัน คือ Natural Light, Studio Light, Contour Light, Stage Light และ Stage Light Mono ซึ่งการเบลอฉากหลังก็ถือว่าทำได้ดี แต่ยังมีบางจุดที่ซอฟต์แวร์ประมวลผลคลาดเคลื่อนไปบ้างในเรื่องของตัวแบบกับพื้นหลัง คาดว่าน่าจะมีการปล่อยตัวอัปเดตให้ใช้งานได้ดีขึ้นในอนาคต
ส่วนกล้องด้านหน้า TrueDepth มาพร้อมความละเอียด 7 ล้านพิกเซล, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.2 และบันทึกวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด Full HD โดยกล้องหน้าของ iPhone X ก็สามารถถ่ายภาพหน้าชัด-หลังเบลอ ด้วยฟีเจอร์ Portrait Mode ได้เช่นเดียวกัน ทำให้ภาพเซลฟี่ในแต่ละรูปมีความสวยงามมากยิ่งขึ้น และยังมีฟีเจอร์พิเศษในชื่อ Animoji ที่กล้อง TrueDepth จะวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่แตกต่างกันกว่า 50 รูปแบบเพื่อจำลองการแสดงออกทางใบหน้าของผู้ใช้บน Animoji
ที่มีให้เลือก 12 แบบ โดยผู้ใช้สามารถบันทึกเป็นคลิปวิดีโอสนุกๆ แล้วส่งต่อให้กับผู้อื่นได้ด้วย
หากจะสรุปการใช้งานสั้นๆ ก็คงต้องบอกว่า iPhone X ถือเป็นไอโฟนตัวท็อปที่ดีที่สุด ณ เวลานี้ เพราะฟีเจอร์ต่างๆ ที่มีให้ใช้งานล้วนเป็นเอกลักษณ์ของตนเองแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอไร้ขอบ, Face ID, กล้องหน้า-หลัง ที่สามารถถ่ายหน้าชัด-หลังเบลอได้ หรือความเร็วแรงในการประมวลผลที่อยู่ในระดับสูงสุด ก็ส่งผลให้ iPhone X น่าใช้งานเป็นลำดับต้นๆ ในกลุ่มมือถือเรือธงเลยทีเดียว
สำหรับ iPhone X วางจำหน่าย 2 รุ่น 2 ราคา ด้วยกัน คือ
- รุ่นความจุ 64GB ราคา 40,500 บาท
- รุ่นความจุ 256GB ราคา 46,500 บาท
โดยมีตัวเครื่องให้เลือก 2 สี คือ สีเงิน (Silver) และสีเทาสเปซเกรย์ (Space Grey)
สำหรับค่ายมือถือทั้ง 3 ค่ายก็มีโปรโมชั่นของ iPhone X เช่นเดียวกัน หากท่านใดสนใจก็สามารถติดต่อสอบถามที่ตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้านท่านได้นะครับ สำหรับวันนี้ทีมงาน Thaimobilecenter ต้องขอลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่ในรีวิวฉบับหน้า สวัสดีครับ
จุดเด่นของ iPhone X
- ตัวเครื่องใช้ดีไซน์หมดจดแบบ Metal-Glass โดยกรอบตัวเครื่องผลิตจากโลหะสแตนเลสแบบเดียวกันกับที่ใช้ผลิตเครื่องมือศัลยกรรม, ด้านหน้า และด้านหลังครอบทับด้วยกระจก ช่วยให้ตัวเครื่องมีความหรูหราพรีเมียมมากยิ่งขึ้น
- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP67 (เทียบเท่าการจมอยู่ใต้น้ำที่ความลึก 1 เมตร ต่อเนื่องเป็นเวลาสูงสุด 30 นาที)
- จอแสดงผลแบบ All-Screen OLED Super Retina HD Display ความละเอียด 2436x1125 พิกเซล (กว้าง 5.8 นิ้ว : 458 ppi) พร้อมระบบสแกนใบหน้า (Face ID)
- ประมวลผลการทำงานด้วยชิปเซ็ต Hexa-Core 64-bit Apple A11 Bionic (ซีพียู Quad-Core Mistral และซีพียู Dual-Core Monsoon) พร้อมเทคโนโลยี Neural Engine และระบบปฏิบัติการ iOS 11
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 64 GB และ RAM ขนาด 3 GB
- ระบบสแกนใบหน้า (Face ID : Facial Recognition) สำหรับตรวจสอบสิทธิ์ของการเข้าใช้งานเครื่อง และการเข้าถึงข้อมูลภายใน พร้อมปุ่มโฮมแบบใหม่ และระบบ Taptic Engine
- กล้องดิจิทัลแบบคู่ (Dual Camera) ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ความละเอียดระดับ 12 ล้านพิกเซล, เลนส์ตัวที่หนึ่งแบบ Wide-Angle พร้อมทางยาวโฟกัส 28 มิลลิเมตร และรูรับแสงกว้างที่ระดับ f/1.8, เลนส์ตัวที่สองแบบ Telephoto พร้อมทางยาวโฟกัส 56 มิลลิเมตร และรูรับแสงกว้างที่ระดับ f/2.4, ระบบซูมภาพด้วยเลนส์สูงสุด 2 เท่า (2x Optical Zoom), ระบบซูมภาพแบบดิจิทัลสูงสุด 10 เท่า (10x Digital Zoom), โหมดถ่ายภาพแบบ Portrait และ Portrait Lighting, เซ็นเซอร์รับภาพแบบ Backside-illuminated Sensor (BSI) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการถ่าย
าพในที่มืด, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS (Optical Image Stabilization) พร้อมการทำงานแบบอัตโนมัติ, ถ่ายภาพวิดีโอ (4K UHD : 2160p : 3840x2160 พิกเซล : 24/30/60 fps), ถ่ายภาพวิดีโอ (Full HD : 1080p : 1920x1080 พิกเซล : 30/60/120/240 fps), ถ่ายภาพวิดีโอแบบ Slow Motion (Full HD : 1080p : 1920x1080 พิกเซล : 120/240 fps), ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS (Optical Image Stabilization) สำหรับการถ่ายภาพวิดีโอ
- กล้องดิจิทัล TrueDepth ที่ด้านหน้าของตัวเครื่อง ความละเอียดระดับ 7 ล้านพิกเซล, โหมดถ่ายภาพแบบ Portrait และ Portrait Lighting, ฟังก์ชัน Animoji สำหรับทำภาพอีโมจิให้แสดงอารมณ์ และลักษณะการเคลื่อนไหวบนใบหน้าแบบเดียวกับผู้ใช้, เซ็นเซอร์รับภาพแบบ Backside-illuminated Sensor (BSI) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการถ่ายภาพในที่มืด, ขนาดของรูรับแสง (Aperture) กว้างสูงสุดที่ f/2.2
- ลำโพงเสียงแบบ Stereo Speaker ในตัว (ลำโพงที่ด้านบน และด้านล่างของตัวเครื่อง)
- รองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อไร้สายแบบ Bluetooth, NFC
- รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านระบบ Wi-Fi, 4G LTE Cat9, 3G HSPA+, EDGE และ GPRS
- แบตเตอรี่ Li-Ion Polymer 2,716 mAh
จุดที่อาจต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ iPhone X
- ตัวเครื่องด้านหลังถูกครอบทับด้วยกระจกจึงอาจทำให้เกิดรอยนิ้วมือ และเสี่ยงต่อการตกแตกได้ง่าย
- รอยบากตรงด้านบนของหน้าจออาจรบกวนการมองภาพทั้งหมดบนหน้าจอบ้างเล็กน้อย
- การเข้าถึงเมนูด้วยการปัดนิ้วจากหน้าจอมุมด้านบนทั้งซ้าย และขวาอาจไม่สะดวกต่อการใช้งานมือเดียวนัก และเสี่ยงต่อการร่วงหลุดมือ
- ไม่มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Touch ID เป็นระบบรักษาความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง
- ไม่รองรับหน่วยความจำเสริมแบบ microSD Card
- ไม่มีช่องเชื่อมต่อหูฟังแบบ 3.5 มิลลิเมตร (แต่แถมฟรีอะแดปเตอร์ Lightning to 3.5 mm มาพร้อมชุดขายมาตรฐาน)
- ไม่มีอะแดปเตอร์ Fast Charging และแท่นชาร์จไร้สายแถมมาให้ในชุดขายมาตรฐาน (ต้องซื้อแยกต่างหาก)
- ราคาวางจำหน่ายค่อนข้างสูงมาก เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางศูนย์ เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *
ข้อมูลเพิ่มเติม
สรุปคุณสมบัติโดยละเอียด และราคาของ iPhone X 64GB และ iPhone X 256GB
สรุปข้อมูล และข่าวอัปเดตล่าสุดของ iPhone X
เทียบภาพถ่าย iPhone X, Google Pixel 2 XL, Samsung Galaxy Note 8, Huawei Mate 10 Pro, OnePlus 5T และกล้องโปร Canon 5D Mark
III

:: ไปหน้าแรกเว็บไซต์ Thaimobilecenter
| ไปหน้าแรก
Mobile Focus ::
|