รีวิว (Review) iPhone SE
สมาร์ทโฟนจอ 4 นิ้ว ที่ทรงพลังที่สุด มาในไซส์เล็ก แต่สเปคเทียบชั้นเรือธง ด้วยชิปเซ็ต A9 ตัวท็อป และกล้อง 12 ล้านพิกเซล ที่สืบทอดมาจาก iPhone 6s ไอโฟนตัวท็อป บนดีไซน์ดั้งเดิมที่ถอดแบบมาจาก iPhone 5s รุ่นพี่ กับบอดี้อะลูมิเนียมแบบ Bead-Blasted ที่สวยเนียนขึ้นอีกขั้น แรงครบเครื่องไม่แพ้รุ่นใหญ่ในราคาที่เอื้อมถึง
Review
Date (24-พฤษภาคม-2559)

เรียกว่าเริ่มมีข้อมูลหลุดออกมาให้ลุ้นกันตั้งแต่ต้นปี สำหรับว่าที่ไอโฟนตัวอัปเกรดของ iPhone 5s ซึ่งในระยะแรกคาดกันว่าทางแอปเปิ้ลเลือกที่จะถอดแบบดีไซน์มาจาก iPhone 5s รุ่นดั้งเดิม ในขณะที่คุณสมบัติด้านในถูกอัปเกรดให้ดีขึ้น จนอาจถึงขั้นที่ว่าบางอย่างดีเทียบเท่ารุ่นใหญ่อย่าง iPhone 6s เลยทีเดียว! รวมถึงมีการคาดเดาชื่อรุ่นออกไปต่างๆ นานา ซึ่งกระแสหลักที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คืออาจเป็นชื่อใดชื่อหนึ่งระหว่าง iPhone 5SE หรือ iPhone SE และแล้วในที่สุดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ที่ผ่านมาแอปเปิ้ลก็ได้ฤกษ์เผยโฉมไอโฟนรุ่นปริศนานี้อย่างเป็นทางการออกมาในชื่อว่า iPhone SE
โดย iPhone SE นั้นถูกพัฒนาขึ้นในคอนเซ็ปต์ลูกผสมระหว่างไอโฟนรุ่นเล็กยอดนิยมระดับขึ้นหิ้งอย่าง iPhone 5s กับไอโฟนรุ่นใหญ่ใหม่ล่าสุดอย่าง iPhone 6s กล่าวคือเป็นการนำรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยลงตัวกะทัดรัดอยู่แล้วของ iPhone 5s มาปัดฝุ่นใหม่เล็กน้อย พร้อมผสานเข้ากับประสิทธิภาพด้านการประมวลผล กับกล้องถ่ายภาพชั้นดีของ iPhone 6s ซึ่งรวมแล้วก็ออกมาเป็น iPhone SE ที่อยู่ในฐานะของไอโฟนรุ่นเล็กราคาย่อมเยา แต่ประสิทธิภาพในการทำงาน และการถ่ายภาพนั้นขึ้นไปเทียบชั้นรุ่นใหญ่ หรือรุ่นเรือธงได้แบบสบายๆ

ในเรื่องของรูปลักษ์ภายนอกของ iPhone SE เรียกได้ว่าถอดแบบมาจาก iPhone 5s แทบทุกกระเบียดนิ้ว โดยมีขนาดที่เท่ากันทุกประการ และมีน้ำหนักที่มากกว่าเดิมเพียงแค่ 1 กรัมเท่านั้น แต่หากได้ลองจับถือตัวเครื่องก็จะพบว่าให้สัมผัสที่แตกต่างกัน ด้วยบอดี้โลหะอะลูมิเนียมแบบ Bead Blasted ที่พื้นผิวมีความละเอียดเนียนลื่นแบบซาติน พร้อมขอบตัวเครื่องที่ถูกลบมุมแบบผิวด้าน และโลโก้ด้านหลังที่ผลิตจากสแตนเลสสตีล จึงทำให้ได้สัมผัสที่ดีขึ้น และตัวเครื่องดูมีความสวยงามลงตัวมากกว่าเดิม อีกทั้ง iPhone SE นั้นจะมีตัวเครื่องสีทองกุหลาบ (Rose Gold) มาให้เลือกเพิ่มอีก 1 สี จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายๆ คนจึงตัดสินใจเลือกตัวเครื่องสีนี้เพื่อให้เกิดความแตกต่างกับ iPhone 5s รุ่นเดิมอย่างชัดเจนมากที่สุด
นอกจากจะถอดแบบรูปลักษ์ภายนอกมาจาก iPhone 5s รุ่นดั้งเดิมแล้ว คุณสมบัติด้านในของ iPhone SE นั้น บางส่วนก็ยังคงถูกสืบทอดมาจาก iPhone 5s รุ่นเดิมด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผลแบบ IPS Retina Display ขนาด 4 นิ้ว ความละเอียด 1136x640 พิกเซล, กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Touch ID) ซึ่งหากมองในด้านนี้เพียงด้านเดียวก็อาจเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่หากมองในอีกด้านหนึ่ง ก็จะพบว่าประสิทธิภาพด้านการประมวลผล และกล้องดิจิทัลตัวหลักนั้นเหมือนถูกยกมาจากไอโฟนรุ่นใหญ่อย่าง iPhone 6s เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นชิปเซ็ต A9 พร้อม M9 motion coprocessor ที่เป็นตัวเดียวกับที่ใช้ใน iPhone 6s, หน่วยความจำ RAM ขนาด 2GB รวมไปถึงกล้องดิจิทัลตัวหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ซึ่งเป็นกล้องตัวเดียวกับ iPhone 6s ด้วยเช่นกัน
ส่วนราคาค่าตัวอย่างเป็นทางการในบ้านเราของ iPhone SE นั้นเริ่มต้นที่ 16,800 บาท สำหรับรุ่นความจุ 16GB และ 20,800 บาท สำหรับรุ่นความจุ 64GB ซึ่งหากเทียบกับราคาของ iPhone 6s ที่ความจุเดียวกัน ก็จะพบว่าราคาของ iPhone SE นั้นถูกกว่า iPhone 6s อยู่ถึง 9,700 บาท เลยทีเดียว ดังนั้นจึงทำให้ผู้ซื้อหลายๆ คนเกิดความลังเลใจไม่น้อยว่าระหว่าง iPhone SE กับ iPhone 6s ควรจะเลือกซื้อรุ่นใดจึงจะคุ้มค่า และเหมาะสมกับการใช้งานของตนเองมากกว่ากัน ซึ่งบททดสอบของ iPhone SE ในวันนี้น่าจะตอบคำถามของทุกท่านได้อย่างแน่นอน
แกะกล่อง iPhone SE พร้อมสำรวจอุปกรณ์ด้านใน

กล่องของ iPhone SE ยังคงใช้ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของกล่องไอโฟนทุกรุ่นที่ผ่านมา คือดูเรียบๆ แต่ดูดี พร้อมระบุชื่อรุ่น iPhone SE ไว้ที่ข้างกล่องอย่างชัดเจน

อุปกรณ์มาตรฐานต่างๆ มีแถมมาให้เหมือนกันกับไอโฟนรุ่นหลังๆ ได้แก่ตัวเครื่อง, หูฟัง EarPods, สาย Lightning to USB, อะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่ขนาด 5 วัตต์, คู่มือการใช้งานเบื้องต้น และเอกสารต่างๆ
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์ของ iPhone SE

หากดูกันที่ด้านหน้าตัวเครื่องของ iPhone SE ก็จะพบว่าแยกความแตกต่างจาก iPhone 5s รุ่นดั้งเดิมแทบไม่ออกเลยทีเดียว แต่หากสังเกตที่ขอบตัวเครื่องที่ถูกลบมุมแบบผิวด้าน ก็พอที่จะแยกความแตกต่างได้บ้าง โดยหน้าจอแสดงผลของ iPhone SE ยังคงเป็นหน้าจอแบบเดียวกันกับ iPhone 5s รุ่นพี่ นั่นคือจอ IPS Retina Display ขนาด 4.0 นิ้ว ความละเอียด 1136x640 พิกเซล (326 ppi) ซึ่งด้วยค่าความเปรียบต่าง (Contrast Ratio) ที่ระดับ 800:1 และค่าความสว่างสูงสุดที่ระดับ 500 cd/m2 จึงช่วยให้สามารถแสดงผลได้ดีในที่กลางแจ้ง และมีสีสันที่สดใสในระดับหนึ่ง

ที่ด้านบนของหน้าจอจะประกอบไปด้วยกล้อง FaceTime HD ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล, เซ็นเซอร์ Proximity, เซ็นเซอร์ Ambient Light และลำโพงหูฟังสำหรับการสนทนา

ที่ด้านล่างของหน้าจอจะมีปุ่ม Home ซึ่งมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Touch ID) ฝังอยู่ในตัว แต่ยังคงใช้เทคโนโลยี Touch ID รุ่นที่ 1 (1st Generation) ซึ่งต่างจาก iPhone 6s ที่ใช้ Touch ID รุ่นที่ 2 (2nd Generation) แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะการใช้งานจริงก็ถือว่ามีความรวดเร็วแม่นยำเหลือเฟือแล้ว

ที่ด้านหลังของตัวเครื่องจะเผยให้เห็นความโดดเด่นของอะลูมิเนียมแบบ Bead Blasted อย่างชัดเจน ซึ่งมีพื้นผิวที่ให้สัมผัสเนียนลื่นแบบซาติน รวมทั้งโลโก้แอปเปิ้ลที่ผลิตจากสแตนเลสสตีล

ที่ด้านหลังส่วนบนจะประกอบไปด้วยกล้อง iSight ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมไมโครโฟนสำหรับการตัดเสียงรบกวน และไฟแฟลชแบบ True Tone ที่ให้แสงที่ดูเป็นธรรมชาติ

อีกหนึ่งจุดที่บ่งบอกความเป็น iPhone SE ได้อย่างชัดเจน ก็คือชื่อรุ่นที่สกรีนไว้ที่ด้านหลังของตัวเครื่องนั่นเอง


ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่องประกอบไปด้วยปุ่มเปิด-ปิดเสียง และปุ่มเพิ่ม-ลดระดับเสียง ซึ่งถอดแบบดีไซน์มาจาก iPhone 5s นั่นเอง


ที่ด้านขวาของตัวเครื่องมีเพียงถาดใส่ซิมการ์ดแบบ nanoSIM ซึ่งต้องใช้เข็ม SIM Door Key ช่วยเปิดออกมา


ที่ด้านบนของตัวเครื่องมีเพียงปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง หรือล็อกหน้าจอ

ที่ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบไปด้วยช่องต่อสายหูฟังมาตรฐานขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟนสำหรับการสนทนา หรือบันทึกเสียง, ช่องเชื่อมต่อแบบ Lightning Connector และลำโพงเสียง

การจับถือสำหรับผู้ใช้งานที่มีฝ่ามือค่อนข้างใหญ่ อาจให้ความรู้สึกว่าตัวเครื่องของ iPhone SE มีขนาดเล็กไปสักนิด แต่ก็ได้เปรียบในเรื่องของความคล่องตัวในการใช้งาน

สำหรับผู้ใช้งานที่มีฝ่ามือขนาดเล็ก-กลาง ขนาดตัวเครื่องของ iPhone SE นับว่ากำลังดีเลยทีเดียว
เคสหนัง (Leather Case) สำหรับ iPhone SE

แน่นอนว่าคงมีผู้ใช้งาน iPhone SE จำนวนไม่น้อยที่ต้องการหาเคสดีๆ สักชิ้นหนึ่งมาใส่กับตัวเครื่อง เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการตกหล่น, การกระแทก หรือการขีดข่วนต่างๆ ซึ่งหากต้องการเคสที่มีคุณภาพที่เชื่อถือได้มากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเคสแท้ๆ จากทาง แอปเปิ้ล เอง โดยเคสที่เปิดตัวออกมาพร้อมกับ iPhone SE ก็คือเคสหนังดีไซน์เรียบๆ ดังที่เห็นนี้นั่นเอง

วัสดุที่บุอยู่ด้านในให้สัมผัสที่นุ่มเนียน คล้ายกำมะหยี่ พร้อมขอบที่ไม่มีลักษณะแหลมคม ซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะไม่ไปขีดข่วนตัวเครื่องให้เกิดริ้วรอยอย่างแน่นอน

ตัวเคสผลิตจากหนังฉีดสีย้อมที่ผ่านกรรมวิธีการฟอกสุดพิเศษของทาง แอปเปิ้ล เอง ชิ้นงานจึงดูมีคุณภาพ

เมื่อนำมาสวมใส่กับตัวเครื่อง iPhone SE ก็จะทำให้ตัวเครื่องดูหนาขึ้น และมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่โดยรวมก็ยังนับว่าเล็กกะทัดรัดพกพาง่ายอยู่เช่นเดิม

เมื่อมองที่ด้านหลังก็ดูเรียบๆ เช่นกัน เผยให้เห็นเพียงแค่ส่วนของกล้องถ่ายภาพเท่านั้น แต่ดีไซน์ที่ดูเรียบๆ ก็มีข้อดี คือดูดีได้นาน ไม่เกิดการเบื่อได้ง่ายๆ และด้วยวัสดุที่เป็นหนังผิวนุ่มจึงช่วยให้การจับถือกระชับมือเป็นอย่างยิ่ง รวมทั้งรู้สึกได้ถึงความปลอดภัยในการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น

ปุ่มด้านข้างอาจต้องออกแรงกดมากขึ้นสักนิดตามปกติของเคสมือถือทั่วไป

เคสหนังของ iPhone SE รุ่นนี้ มีสองสีให้เลือก ได้แก่ สีดำ และสีมิดไนท์บลู แต่จะมีสีอื่นๆ หรือรุ่นอื่นๆ ให้เลือกเพิ่มเติมอีกหลังจากนี้หรือไม่ ก็คงต้องคอยติดตามข่าวกันอีกครั้งหนึ่ง ส่วนราคาค่าตัวของเคสรุ่นนี้จะอยู่ที่ 1,700 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงเอาการเลยทีเดียว
เปรียบเทียบรูปลักษณ์ภายนอกของ iPhone SE กับ iPhone 6s

แน่นอนว่าเมื่อ iPhone SE เปิดตัวออกมา ก็ต้องถูกนำมาเปรียบเทียบกับไอโฟนรุ่นก่อนหน้าอย่าง iPhone 6s ซึ่งการออกแบบดีไซน์ของทั้งสองรุ่นนี้เรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง รวมไปถึงขนาด หรือน้ำหนักของตัวเครื่องด้วยเช่นกัน โดยขนาดตัวเครื่องของ iPhone SE จะอยู่ที่ 123.8x58.6x7.6 มิลลิเมตร พร้อมน้ำหนักที่ 113 กรัม ส่วนขนาดตัวเครื่องของ iPhone 6s จะอยู่ที่ 138.3x67.1x7.1 มิลลิเมตร พร้อมน้ำหนักที่ 143 กรัม

หน้าจอแสดงผลของ iPhone 6s นั้นเป็นหน้าจอแบบ IPS Retina HD Display ขนาด 4.7 นิ้ว พร้อมความละเอียดระดับ 1334x750 พิกเซล (326 ppi) ซึ่งจะเห็นว่ามีค่าความหนาแน่นของจุดพิกเซลอยู่ที่ 326 จุดต่อนิ้วเท่ากันกับหน้าจอของ iPhone SE แต่ดูใหญ่เต็มตามากกว่า รวมถึงการที่มีค่าความเปรียบต่าง (Contrast Ratio) สูงกว่า (1400:1) จึงทำให้สามารถแสดงผลได้สวยงามคมชัดมากกว่า โดยเฉพาะการใช้งานในที่กลางแจ้ง

ที่ด้านหลังของตัวเครื่องผลิตจากอะลูมิเนียมเช่นเดียวกัน แต่มีดีไซน์ที่แตกต่างกันชัดเจน โดยเฉพาะความโค้งมน, เส้นเสารับสัญญาณ และส่วนของกล้องดิจิทัล

ปุ่มกดที่ด้านซ้ายของตัวเครื่อง iPhone 6s จะเป็นทรงเรียวยาวทั้งหมด ซึ่งทำให้รู้สึกถึงบางเฉียบได้มากกว่า

ปุ่มเปิด-ปิดเครื่องหรือล็อกหน้าจอของ iPhone 6s จะถูกนำมาไว้ที่ด้านขวาของตัวเครื่อง

ในขณะที่ iPhone 5s จะนำปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง หรือล็อกหน้าจอ มาไว้ที่ด้านบนของตัวเครื่อง

ตัวเครื่องของ iPhone 6s จะมีความหนาอยู่ที่ 7.1 มิลลิเมตร ในขณะที่ iPhone SE จะมีความหนาอยู่ที่ 7.6 มิลลิเมตร ซึ่งเมื่อมองดูใกล้ๆ จะพบว่าหนากว่ากันอยู่พอสมควร ส่วนดีไซน์ที่ด้านล่างของตัวเครื่องก็มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งช่องต่อสายหูฟังมาตรฐานขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟนสำหรับการสนทนา หรือบันทึกเสียง, ช่องเชื่อมต่อแบบ Lightning Connector และลำโพงเสียง

ขนาดตัวเครื่องของ iPhone 6s เมื่ออยู่ในฝ่ามือของสุภาพสตรีก็ถือว่าไม่ได้ใหญ่เทอะทะแต่อย่างใด ดูเหมาะมืออยู่ไม่น้อย แถมยังดูเพรียวบางอีกต่างหาก

แต่สำหรับคนที่ชอบสมาร์ทโฟนที่เล็กกะทัดรัด พกพาสะดวกคล่องตัว iPhone SE รุ่นนี้ก็น่าจะตอบโจทย์ได้ดีที่สุด แถมประสิทธิภาพของการประมวลผลยังเร็วแรงไม่แพ้ iPhone 6s อีกต่างหาก
เปรียบเทียบรูปลักษณ์ภายนอกของ iPhone SE กับ iPhone 5s

หลังจากจับ iPhone SE ไปเปรียบเทียบกับ iPhone 6s เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงคิวที่ต้องจับมาเปรียบเทียบกับตัวต้นแบบโดยตรงอย่าง iPhone 5s กันบ้าง โดยขนาดตัวเครื่องของทั้ง iPhone SE และ iPhone 5s นั้นเท่ากันทุกประการ ทั้งความสูง, ความกว้าง และความหนา ส่วนน้ำหนักตัวนั้นก็แทบจะเท่ากัน เนื่องจาก iPhone SE หนักกว่าเพียง 1 กรัมเท่านั้น และเมื่อมองที่ด้านหน้าของตัวเครื่องก็มีดีไซน์ที่เหมือนกันแทบทุกกระเบียดนิ้ว แตกต่างแค่เพียงขอบตัวเครื่องของ iPhone SE ที่เป็นแบบผิวด้านเท่านั้น

ที่ด้านหลังมีความแตกต่างกันเพียงแค่ขอบตัวเครื่องแบบผิวด้าน และชื่อรุ่นที่ถูกสกรีนไว้บริเวณด้านล่าง

องค์ประกอบที่ด้านซ้ายของตัวเครื่องเหมือนกันทุกประการ ทั้งปุ่มเปิด-ปิดเสียง และปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง

ที่ด้านขวาของตัวเครื่องมีเพียงแค่ช่องใส่ซิมการ์ดแบบ nanoSIM เช่นเดียวกัน

ปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง หรือล็อกหน้าจอถอดแบบกันมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

องค์ประกอบที่ด้านล่างของตัวเครื่องเรียกได้ว่าสำเนาถูกต้องทั้งช่องต่อสายหูฟังมาตรฐานขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟนสำหรับการสนทนา หรือบันทึกเสียง, ช่องเชื่อมต่อแบบ Lightning Connector และลำโพงเสียง

โดยสรุปแล้ว สิ่งที่บ่งบอกความแตกต่างระหว่าง iPhone SE กับ iPhone 5s ได้อย่างชัดเจนที่สุด ดูเหมือนจะมีอยู่เพียงแค่ 3 อย่างเท่านั้น นั่นคือขอบตัวเครื่องที่ถูกลบมุมแบบผิวด้าน, ชื่อรุ่นที่สกรีนไว้บริเวณด้านหลังของตัวเครื่อง และสุดท้ายคือมีตัวเครื่องสีทองกุหลาบ (Rose Gold) ให้เลือกเพิ่มขึ้นมาอีก 1 สี นั่นเอง
เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมทดสอบฟีเจอร์ และแอปพลิเคชันต่างๆ ใน iPhone SE
 
iPhone SE นั้นมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 9.3.1 ซึ่งเป็น iOS เวอร์ชันใหม่ล่าสุด พร้อมพื้นที่หน่วยความจำภายในที่เหลือให้ใช้งานจริงประมาณ 51.6GB
 
ประมวลผลการทำงานด้วยชิปเซ็ต Apple A9 พร้อมหน่วยประมวลผลกราฟิก PowerVR GT7600 และหน่วยความจำ RAM ขนาด 2GB
 
มาพร้อมกล้องตัวหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD และกล้องด้านหน้าความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล
 
รองรับการเชื่อมต่อไร้สาย และการใช้งานอินเทอร์เน็ตทุกรูปแบบ พร้อมทั้งมีเซ็นเซอร์พื้นฐานให้ใช้งานอยู่แทบทุกประเภท
 
User Interface ที่ดูเรียบง่ายตามสไตล์ของระบบปฏิบัติการ iOS

ที่หน้าหลักด้านซ้ายสุด จะเป็นส่วนของฟังก์ชันการค้นหา และการแนะนำจาก SIRI
 
เมื่อเลื่อนที่ขอบด้านบนของหน้าจอลงมา ก็จะพบกับส่วนของการอัปเดตข้อมูลล่าสุด เช่น สภาพอากาศ หรือราคาหุ้น รวมไปถึงข้อมูลการนัดหมาย และการแจ้งเตือนอื่นๆ

เมื่อเลื่อนที่ขอบด้านล่างของหน้าจอขึ้นมา ก็จะพบกับส่วนของทางลัดสำหรับเปิด-ปิด หรือปรับตั้งฟังก์ชันพื้นฐานต่างๆ ตั้งแต่โหมดเครื่องบิน, ไวไฟ, บลูทูธ, โหมดกลางคืน, ล็อกการหมุนของหน้าจอ, ความสว่าง, เล่นเพลง, AirDrop, ไฟฉาย, นาฬิกาปลุก, ฟังก์ชัน Night Shift, เครื่องคิดเลข และกล้องถ่ายภาพ
 
User Interface ของกล้องถ่ายภาพดูเรียบง่ายตามสไตล์ไอโฟนเช่นเดิม โดยที่หน้าหลักจะประกอบไปด้วยทางลัดสำหรับไฟแฟลช, ฟังก์ชัน HDR, ฟังก์ชัน Live Photos, ตั้งเวลาถ่ายภาพล่วงหน้า, การสลับเป็นกล้องหน้า, แถบเปลี่ยนโหมดถ่ายภาพ, แกลลอรี่, ชัตเตอร์ถ่ายภาพ และเอฟเฟกต์
 
สามารถสัมผัสที่หน้าจอเพื่อเลือกจุดโฟกัสได้อย่างอิสระ และเมื่อกดค้างเอาไว้ก็จะเป็นการล็อกจุดโฟกัส (AF Lock) และล็อกค่าชดเชยแสงเอาไว้ (AE Lock) ซึ่งช่วยในการควบคุมแสง และจุดโฟกัสได้เป็นอย่างดี
 
ที่สัญลักษณ์รูปด้วยอาทิตย์ที่บริเวณด้านขวาของกรอบโฟกัส ผู้ใช้งานสามารถเลื่อนขึ้นเลื่อนลงเพื่อปรับค่าชดเชยแสงได้ทันที

ไฟแฟลชสามารถเลือกได้ทั้งระบบอัตโนมัติ, บังคับเปิด และปิดการใช้งาน

ฟังก์ชัน HDR สามารถเลือกได้ทั้งระบบอัตโนมัติ, บังคับเปิด และปิดการใช้งาน

รองรับการใช้งานฟังก์ชัน Live Photos ซึ่งเป็นการถ่ายภาพแบบพิเศษ ที่ใช้เทคนิคของการถ่ายคลิปวิดีโอสั้นๆ แนบไปกับภาพถ่าย จึงช่วยให้ภาพถ่ายดูมีชีวิตชีวา และสมจริงมากขึ้น

สามารถตั้งเวลาถ่ายภาพล่วงหน้าได้ที่ 3 วินาที และ 10 วินาที

รองรับถ่ายคลิปวิดีโอในโหมด Time-Lapse
 
รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Slow-Motion ซึ่งเลือกได้ 2 แบบคือ ความละเอียดระดับ Full HD 1080p ที่ความเร็ว 120 เฟรมต่อวินาที และความละเอียดระดับ HD 720p ที่ความเร็ว 240 เฟรมต่อวินาที
 
รองรับการถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดถึงระดับ 4K UHD ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งจุดขายสำคัญ
 
รองรับการถ่ายภาพในอัตราส่วนแบบ 1:1 หรือสี่เหลี่ยมจัตุรัส รวมทั้งการถ่ายภาพในแนวกว้าง (Panorama) ด้วยความละเอียดสูงสุดถึง 63 ล้านพิกเซล

รองรับการใส่เอฟเฟกต์สีในรูปแบบต่างๆ

เมื่อสลับมาใช้งานกล้องดิจิทัลด้านหน้า ก็จะมี User Interface และฟังก์ชัน ที่คล้ายกับกล้องดิจิทัลด้านหลังดังที่เห็นนี้
 
รองรับการใช้งานฟังก์ชัน Retina Flash ซึ่งเป็นเทคนิคการใช้แสงของหน้าจอแทนแสงแฟลช รวมถึงรองรับการถ่ายภาพแบบ HDR

รองรับการใช้งานฟังก์ชัน Live Photos

ตั้งเวลาถ่ายภาพล่วงหน้าได้ที่ 3 วินาที และ 10 วินาที
 
รองอรับการถ่ายวิดีโอแบบ Time-Lapse และวิดีโอแบบปกติที่ความละเอียดสูงสุดระดับ HD 720p (1280x720 พิกเซล)

รองรับการถ่ายภาพในอัตราส่วนแบบ 1:1 หรือแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส

มีแอปพลิเคชันสำหรับการตรวจสอบสภาพอากาศในแต่ละวัน
 
แอปพลิเคชันปฏิทิน ซึ่งรองรับการใส่เหตุการณ์ หรือนัดหมายต่างๆ ของผู้ใช้
 
อัลบั้มรูปภาพมีการแบ่งหมวดหมู่เอาไว้อย่างชัดเจน สามารถค้นหาได้ง่าย
 
มีฟังก์ชันสำหรับการปรับแต่งรูปภาพที่หลากหลายพอสมควร เริ่มตั้งแต่การหมุนภาพ และการปรับอัตราส่วนภาพ
 
รองรับการใส่เอฟเฟกต์, การปรับแสง, การปรับโทนสี และการปรับโทนขาว-ดำ
 

มีตัวเลือกมากมาย และยืดหยุ่น สำหรับการปรับแสง, ปรับโทนสี และปรับโทนขาว-ดำ
 
 
รองรับการใช้งานร่วมกับนาฬิกา Apple Watch อย่างเต็มรูปภาพ พร้อมทั้งมีแอปพลิเคชันสำหรับ Apple Watch ให้เลือกดาวน์โหลดมากมายนับไม่ถ้วน
 
 
ในส่วนของแอปพลิเคชันนาฬิกา จะประกอบไปด้วยนาฬิกาแสดงเวลาทั่วโลก, นาฬิกาปลุก, นาฬิกาจับเวลา และนาฬิกานับเวลาถอยหลัง
 
 
แอปพลิเคชัน Apple Maps ล่าสุดถูกปรับปรุงใหม่ให้สามารถแสดงสภาพการจราจรในประเทศไทยได้แล้ว และทางแอปเปิ้ลพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพัฒนาการใช้งานต่างๆ ให้ดีขึ้น เพื่อแข่งขันกับแอปพลิเคชันแผนที่เจ้าตลาดอย่าง Google Maps
 
มีแอปพลิเคชันสำหรับจดบันทึก หรือวาดโน้ตต่างๆ ด้วยเครื่องมือพื้นฐานที่ครบถ้วน ทั้งปากกา, ดินสอ, ยางลบ และไม้บรรทัด
 
แอปพลิเคชันการแจ้งเตือนที่ใช้งานได้ง่าย

แอปพลิเคชันตรวจสอบราคาหุ้น
 
 
 
iTunes Store ศูนย์รวมคอนเทนท์ต่างๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานที่สนใจได้เข้าใจดาวน์โหลด ซึ่งมีทั้งเพลง, ภาพยนตร์ และเสียงเรียกเข้า
 
 
 
App Store ศูนย์รวมแอปพลิเคชันของฝั่ง iOS ซึ่งแน่นอนว่ามีแอปพลิเคชันระดับคุณภาพ และน่าสนใจอยู่มากมายมหาศาล โดยแบ่งออกเป็นแอปพลิเคชันทั่วไป, แอปพลิเคชันเกม และหนังสือ
 
แอปพลิเคชัน Health ผู้ช่วยสำหรับคนที่รักการดูแลสุขภาพ หรือการออกกำลังกาย
 
ผู้ใช้งานสามารถเลือกปิดการเชื่อมต่อเทอร์เน็ตผ่านระบบเครือข่าย 4G LTE หรือ 3G ทั้งหมดได้ หรือจะเลือกปิดการใช้งานอินเทอร์เน็ตเฉพาะบางแอปพลิเคชันก็ได้เช่นกัน รวมทั้งสามารถตรวจสอบปริมาณการใช้งานโทรศัพท์ หรืออินเทอร์เน็ตได้
 
รองรับการแชร์อินเทอร์เน็ตผ่านทางสัญญาณ Wi-Fi และ Bluetooth หรือจะแชร์ผ่านทางสาย USB ก็ได้เช่นกัน

รองรับการปรับแต่งการใช้งานในส่วนของแถบแจ้งเตือน หรือ Notification Center

ในส่วนของศูนย์ควบคุม หรือ Control Center ที่แถบด้านล่างของหน้าจอ เราสามารถเลือกได้ว่าจะอนุญาตให้เรียกใช้ขณะหน้าจอล็อก หรือขณะใช้งานแอปพลิเคชันได้หรือไม่
 
เมื่อเปิดใช้งานฟังก์ชัน Do Not Disturb หากมีสายเรียกเข้า หรือการแจ้งเตือนเข้ามา เครื่องก็จะเงียบ ซึ่งเหมาะกับการใช้งานขณะที่ผู้ใช้งานต้องการความเป็นส่วนตัว, ต้องการพักผ่อน หรือต้องการนอนหลับ แต่ก็ยังสามารถเลือกอนุญาตให้เปิดเสียงสำหรับบางหมายเลขพิเศษได้อยู่เช่นกัน
 
การเรียกใช้งานผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Siri นอกจากจะเรียกใช้ด้วยการกดปุ่มโฮมค้างเอาไว้แล้ว ยังสามารถอนุญาตให้เรียกใช้โดยไม่ต้องกดปุ่มโฮมได้ด้วยเช่นกัน เพียงแค่ผู้ใช้พูดออกเสียงคำว่า "Hey Siri" เท่านั้น
 
และก็นับเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้ใช้งานชาวไทย เพราะขณะนี้ Siri นั้นรองรับการใช้งานภาษาไทยได้เรียบร้อยแล้ว

ฟังก์ชัน Spotlight Search สำหรับการค้นหาทุกสิ่งทุกอย่างภายในเครื่องของเรา และสามารถทำงานร่วมกับ Siri ได้

มีฟังก์ชัน Handoff ที่ช่วยอำนวยความสะดวกสำหรับการใช้งานร่วมกับเครื่อง iPad หรือเครื่อง Mac ได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการเชื่อมโยงผ่าน iCloud บัญชีเดียวกัน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่มีอุปกรณ์ของ Apple หลายเครื่อง แต่หากไม่ต้องการใช้งานก็สามารถเลือกปิดฟังก์ชันนี้ได้
 
หากรถยนต์คันใดที่รองรับฟีเจอร์ Apple CarPlay ก็จะสามารถควบคุมการทำงานบางอย่างของไอโฟน รวมถึงการเรียกดูข้อมูลบางอย่างจากไอโฟนได้ผ่านทางคอนโซลของรถยนต์ได้โดยตรง และขณะนี้ Apple CarPlay นั้นรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายเรียบร้อยแล้ว

มีฟังก์ชัน VoiceOver สำหรับการอ่านออกเสียงอธิบายส่วนต่างๆ ที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอ ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่ปัญหาในการมองเห็นได้มากเลยทีเดียว

สามารถซูมขยายไอคอนบนหน้าจอให้มีขนาดใหญ่ชัดเจนขึ้นได้ด้วยฟังก์ชัน Zoom โดยสามารถเรียกใช้งานได้ด้วยการแตะ 3 นิ้วพร้อมกันที่หน้าจอติดๆ กันสองครั้ง

รองรับการแสดงผลแบบกลับสี และการแสดงผลในโทนสีเทา

การตั้งค่าสำหรับเสียงพูดขณะใช้งานเกี่ยวกับข้อความ
 
สามารถปรับขนาดของตัวอักษรได้อย่างอิสระ รวมถึงการทำตัวหนา และการเพิ่มความคมชัดของปุ่มกด
 
รองรับการเพิ่มค่าความเปรียบต่าง และการลดระดับของการเคลื่อนไหว

รองรับการสั่งงาน ควบคุมเครื่องโดยไม่ต้องสัมผัสกับหน้าจอ ด้วยฟังก์ชัน Switch Control เช่นการสั่งงานด้วยการขยับศรีษะ
 
รองรับการใช้งานฟังก์ชัน AssistiveTouch เช่นเคย ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมการทำงานของเครื่องด้วยท่าทางต่างๆ ได้สะดวกยิ่งขึ้นแล้ว ในทางอ้อมก็ยังเป็นการช่วยถนอมปุ่มโฮมอีกด้วย

ฟังก์ชัน Touch Accommodations มีไว้สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการสั่งงานด้วยการสัมผัสกับหน้าจอ เช่นการหน่วงเวลาของการตอบสนองเมื่อมีการสัมผัส หรือการเปลี่ยนการสัมผัสหลายๆ ครั้ง ให้กลายเป็นการสัมผัสเพียงครั้งเดียว
 
เรียกได้ว่าฟังก์ชันต่างๆ ในส่วนของ Accessibility นี้มีประโยชน์ต่อการใช้งานเป็นอย่างยิ่ง และสามารถใช้งานได้ในชีวิตจริง

สามารถกำหนดได้ว่าเมื่อกดปุ่มโฮมติดๆ กัน 3 ครั้ง แล้วจะเป็นการเรียกใช้งานฟังก์ชันใด

สามารถเลือกเปิด-ปิดการรีเฟรชข้อมูลของแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่เบื้องหลังได้ ซึ่งหากปิดการรีเฟรชไว้ ก็อาจช่วยให้สามารถประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ได้มากขึ้น

สามารถกำหนดได้ว่าจะให้เครื่องล็อกอัตโนมัติภายในเวลาเท่าใด
 
สามารถจำกัดการเข้าถึงการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ได้ ซึ่งหากต้องการเข้าใช้งานก็จำเป็นที่จะต้องรู้รหัสผ่านเสียก่อน
 
การใช้งานคีย์บอร์ดเราสามารถเปิดฟังก์ชันสะกดคำอัตโนมัติ, การทำนายคำศัพท์ และอื่นๆ ได้
 
สามารถเลือกภาษาที่ต้องการใช้งานได้ทุกภาษาทั่วโลก

รองรับการซิงค์ข้อมูลกับโปรแกรม iTunes แบบไร้สายผ่านทางสัญญาณ Wi-Fi
 
สามารถรีเซ็ตเครื่องได้อย่างง่ายดาย และเลือกการรีเซ็ตได้หลากหลายรูปแบบตามความต้องการ

รองรับการปรับความสว่างของหน้าจอได้ทั้งแบบกำหนดเอง และแบบอัตโนมัติ
 
อีกหนึ่งความน่าสนใจก็คือ สามารถรองรับการใช้งานฟังก์ชัน Night Shift ซึ่งเป็นการปรับสีของการแสดงผลให้โดยอัตโนมัติ โดยเป็นการปรับสีให้ดูนุ่มนวลลง หรืออยู่ในโทนที่อุ่นลง เพื่อให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานในเวลากลางคืน หรือก่อนนอน
 
รองรับการใช้งานภาพพื้นหลังทั้งแบบเคลื่อนไหว และแบบไม่เคลื่อนไหว
 
สามารถตั้งเสียงเตือนสำหรับแต่ละแอปพลิเคชันได้ตามใจชอบ
 
iPhone SE นั้นมาพร้อมกับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Touch ID) ในรุ่นที่ 1 (1st Generation) ซึ่งแม้จะไม่ใช่รุ่นที่ 2 (2nd Generation) แต่ก็ยังสามารถใช้งานได้ดี และมีประสิทธิภาพ โดยก่อนใช้งาน ผู้ใช้ก็จะต้องทำการลงทะเบียนลายนิ้วมือของตนเองให้เรียบร้อยเสียก่อน ซึ่งรองรับการลงทะเบียนได้หลายลายนิ้วมือภายในเครื่องเดียวกัน
 
ในขั้นตอนของการลงทะเบียนลายนิ้วมือจะมีการลงทะเบียนบริเวณขอบรอบๆ ของนิ้วด้วย เพื่อความถูกต้องแม่นยำ และสามารถสแกนได้ง่ายขึ้น
 
สามารถเปิดใช้งานโหมดประหยัดพลังงานได้ รวมถึงการเปิด-ปิดการแสดงปริมาณของแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่บนมุมบนขวาของหน้าจอ

การเปิดโหมดประหยัดพลังงาน จะเป็นการลดการทำงาน หรือปิดการทำงานบางอย่างของระบบ เช่นการดึงอีเมล, การตอบสนองต่อคำสั่ง "Hey Siri", การรีเฟรชแอปพลิเคชันที่อยู่เบื้องหลัง, การดาวน์โหลดอัตโนมัติ และเอฟเฟกต์บางอย่างของการแสดงผล
 
รองรับการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว เช่นการเปิด-ปิดการแสดงตำแหน่งของผู้ใช้งาน
 
รองรับการเก็บบันทึกข้อมูลบนระบบ Cloud Storage ด้วยบริการ iCloud ของ Apple เอง ซึ่งมีพื้นที่ให้ใช้งานฟรีขนาด 5GB แต่หากต้องการพื้นที่มากกว่านี้ ก็ต้องจ่ายเงินเพื่อทำการอัปเกรดพื้นที่

สามารถเลือกได้ว่าจะให้เครื่องทำการอัปเดต หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน หรือคอนเทนท์โดยอัตโนมัติหรือไม่
 
รองรับการบล็อกหมายเลขโทรศัพท์ที่ไม่ต้องการรับสาย
 
รองรับการกำหนดรูปแบบของเสียงเพลงด้วยอีควอไลเซอร์มาตรฐานแบบต่างๆ
 
การจัดวางตำแหน่งปุ่มกดต่างๆ บนคีย์บอร์ดของ iPhone SE นั้น โดยพื้นฐานแล้วก็จะมีความคล้ายคลึงกับไอโฟนรุ่นอื่นๆ เพียงแต่ด้วยขนาดของหน้าจอที่เล็ก พื้นที่ก็จะถูกบีบลงมา และกดได้ยากกว่าไอโฟนรุ่นที่มีหน้าจอขนาดใหญ่


หากต้องการ การพิมพ์ข้อความที่ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น การใช้คีย์บอร์ดแบบแนวนอนก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

แอปพลิเคชันพิเศษอื่นๆ ที่ติดตั้งมาพร้อมกับ iPhone SE ก็มีทั้งเข็มทิศดิจิทัล, รวมเทคนิคการใช้าน, เครื่องบันทึกเสียง, สมุดรายชื่อผู้ติดต่อ, เครื่องมือค้นหาเพื่อน (Find Friends) และเครื่องมือค้นหาไอโฟน (Find iPhone)

ตัวอย่างของการใช้งานแอปพลิเคชันเข็มทิศดิจิทัล
 
ตัวอย่างของการใช้งานแอปพลิชันรวมเทคนิคการใช้งานต่างๆ ของ iPhone SE

ตัวอย่างของการใช้งานแอปพลิเคชันเครื่องบันทึกเสียง

ตัวอย่างของการใช้งานแอปพลิเคชันค้นหาเพื่อน


มีแอปพลิเคชัน GarageBand สำหรับการแต่งเพลงด้วยตนเอง


มีแอปพลิเคชัน iMovie สำหรับการตัดต่อวิดีโอด้วยตนเอง ซึ่งด้วยประสิทธิภาพในการประมวลผลระดับสูงของ iPhone SE จึงช่วยให้สามารถตัดต่อวิดีโอที่มีความละเอียดสูงระดับ 4K UHD ได้อย่างราบรื่น
 
iTunes U แอปพลิเคชันซึ่งเป็นศูนย์กลางสำหรับการเรียนรู้วิชาในแขนงต่างๆ จากสถานศึกษาชั้นนำทั่วโลก ทั้งในประเทศไทย และในต่างประเทศ
 
มีแอปพลิเคชัน Numbers สำหรับสร้าง, แก้ไข และจัดการไฟล์สเปรดชีต
 
มีแอปพลิเคชัน Pages สำหรับสร้าง, แก้ไข และจัดการไฟล์เอกสาร
 
มีแอปพลิเคชัน Keynote สำหรับสร้าง, แก้ไข และจัดการไฟล์นำเสนอ
ทดสอบประสิทธิภาพในการทำงานของ iPhone SE
 
เมื่อทำการทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวมด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ก็จะพบว่าได้คะแนนทดสอบอยู่ที่ 125,406 คะแนน ซึ่งถือว่าเป็นคะแนนที่ใกล้เคียงกับ Samsung Galaxy S7 สมาร์ทโฟนตัวเรือธงจากค่ายคู่แข่งเลยทีเดียว และมีคะแนนเป็นรอง iPhone 6s สมาร์ทโฟนตัวเรือธงรุ่นใหญ่เพื่อนร่วมค่ายอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
 
เมื่อทำการทดสอบประสิทธิภาพของการประมวลผลกราฟิกด้วยแอปพลิเคชัน 3DMark Sling Shot Benchmark ก็จะพบว่าได้คะแนนทดสอบอยู่ที่ 1,838 คะแนน
 
เมื่อทำการทดสอบประสิทธิภาพของการประมวลผลกราฟิกด้วยแอปพลิเคชัน GFXBench GL ก็จะมีคะแนนทดสอบดังรูปด้านบน

สามารถเล่นเกม Vainglory เกมแนว MOBA (Multiplayer Online Battle Arena) ที่มีกราฟิกสามมิติสวยๆ ได้แบบสบายๆ ไม่มีอาการกระตุกให้เห็นแม้แต่น้อย

สามารถเล่นเกมแข่งรถที่มีกราฟิกสามมิติสวยๆ อย่าง Asphalt 8: Airborne ได้แบบลื่นไหล ไม่มีอาการกระตุกให้เห็นแม้แต่น้อยเช่นกัน
 
สามารถรับสัญญาณดาวเทียมของระบบจีพีเอสได้ดี แม้จะอยู่ในตัวอาคารก็ตาม (ทดสอบขณะนั่งชิดกระจกข้างอาคาร)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ของ iPhone SE
 
 
 
 
 
 
 
 
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล ของ iPhone SE
 
ภาพด้านซ้ายคือภาพถ่ายแบบปกติ ส่วนภาพด้านขวาคือภาพที่ถ่ายพร้อมกับการเปิดใช้งาน Retina Flash
สรุปผลการทดสอบ พร้อมราคา และข้อมูลการวางจำหน่ายของ iPhone SE

โดยสรุปแล้ว iPhone SE รุ่นนี้ แม้จะเป็นไอโฟนรุ่นเล็กที่สุดในตระกูล แต่กลับเหมาะกับผู้ใช้งานแทบทุกระดับเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าผู้ใช้งานกลุ่มแรกที่เหมาะกับ iPhone SE ก็คือผู้ใช้งานไอโฟนระดับเริ่มต้นที่อาจมีงบประมาณไม่มากนัก แต่ยังชื่นชอบในความเป็น iOS รวมถึงต้องการประสิทธิภาพในการทำงานที่ดี พร้อมดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ และความสดใหม่ กลุ่มที่สองคือผู้ใช้งานที่ต้องการไอโฟนที่มีขนาดเล็กกะทัดรัดพกพาสะดวกคล่องตัวตามแบบฉบับของไอโฟนในยุคแรก สามารถถือใช้งานด้วยมือข้างเดียวได้ พร้อมกับคุณสมบัติที่ยังคงตอบโจทย์การใช้งานทุกรูปแบบได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งคนกลุ่มนี้ส่วนหนึ่งแท้จริงแล้วอาจเป็นคนที่มีงบประมาณไม่จำกัด หรือกำลังซื้อแบบไม่อั้น เพียงแต่ต้องการเลือกความคล่องตัวในการใช้งานเป็นสำคัญนั่นเอง
อย่างไรก็ดี iPhone SE ก็คงไม่เป็นที่ถูกใจสำหรับผู้ใช้งานที่ชอบสมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่ๆ เท่าใดนัก โดยเฉพาะผู้ที่เคยชินกับสมาร์ทโฟนยุคปัจจุบันที่นับวันจะมีจอแสดงผลที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เช่นผู้ที่เคยใช้งานสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอขนาด 5 นิ้วขึ้นไป หากได้ลองมาใช้งาน iPhone SE ที่มีขนาดหน้าจอเพียงแค่ 4 นิ้ว ก็คงจะรู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย เพราะพื้นที่ของการแสดงผล และส่วนติดต่อผู้ใช้ต่างๆ จะค่อนข้างจำกัด การใช้งานจากที่เคยใช้นิ้วสัมผัสแบบมั่นใจบนจอขนาดใหญ่ของสมาร์ทโฟนรุ่นอื่น ก็อาจจะต้องฝึกความแม่นยำเพิ่มขึ้นอีกนิดบนจอขนาดเล็กของ iPhone SE

และแน่นอนว่าสำหรับผู้ที่มีงบประมาณไม่อั้น และผู้ที่ต้องการความเป็นที่สุดของผลิตภัณฑ์ตระกูลไอโฟน โดยไม่คำนึงถึงเรื่องขนาด หรือการพกพา การเลือกไอโฟนรุ่นท็อปอย่าง iPhone 6s หรือ iPhone 6s Plus ก็ยังคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดอยู่เช่นเคย
สำหรับ iPhone SE รุ่นนี้ก็มีวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในบ้านเราแล้วตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ในราคาเริ่มต้นที่ 16,800 บาท สำหรับรุ่นความจุ 16GB และ 20,800 บาท สำหรับรุ่นความจุ 64GB โดยมี 4 สีมาตรฐานให้เลือก ได้แก่ สีเงิน (Silver), สีทอง (Gold), สีเทา (Space Gray) และสีทองกุหลาบ (Rose Gold) หากท่านใดสนใจก็สามารถเลือกซื้อได้จากหลายช่องทาง ตั้งแต่การสั่งซื้อออนไลน์บนเว็บไซต์ Apple Online Store โดยตรง, การสั่งซื้อจากตัวแทนจำหน่ายต่างๆ และการสั่งซื้อเครื่องราคาพิเศษ พร้อมโปรโมชั่นคุ้มๆ กับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ 3 รายใหญ่ในบ้านเราทั้ง AIS, dtac และ TrueMove H
สุดท้ายนี้ก่อนตัดสินใจซื้อ iPhone SE ก็อย่าลืมแวะไปลองเล่นลองสัมผัสกับตัวจริงกันก่อนเพื่อดูว่าไอโฟนรุ่นเล็กสเปคแรงรุ่นนี้จะเหมาะสมกับตัวท่านมากน้อยขนาดไหน และขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชม พบกันได้ใหม่ในรีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นต่อไป สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
จุดเด่นของ iPhone SE
- ตัวเครื่องผลิตจากอะลูมิเนียมแบบ Bead-Blasted ที่ให้สัมผัสเนียนลื่นแบบซาติน พร้อมขอบเครื่องลบมุมแบบผิวด้าน และโลโก้สแตนเลสสตีลที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ซึ่งโดยรวมแล้วดูสวยประณีตกว่า iPhone 5s รุ่นดั้งเดิม
- ตัวเครื่องมีขนาดเล็กกะทัดรัด สามารถพกพาได้สะดวก และจับถือใช้งานได้อย่างคล่องตัวเป็นพิเศษ
- จอแสดงผลแบบ Retina Display IPS LCD (LED-Backlit) Capacitive Touchscreen 16,700,000 สี ความละเอียด 1136x640 Pixels (กว้าง 4.0 นิ้ว : 326 ppi) พร้อมหน่วยประมวลผลภาพกราฟิกโดยเฉพาะ (GPU : Graphics Processing Unit) แบบ Hexa-Core PowerVR GT7600
- เทคโนโลยีการเคลือบกระจกแบบ Fingerprint-Resisrtant Oleophobic Coating ช่วยป้องกันรอยนิ้วมือบนหน้าจอ
- ประมวลผลการทำงานด้วยชิปเซ็ต Apple A9 (64-bit) (ซีพียู Dual-Core Twister ความเร็ว 1.85 GHz) พร้อมหน่วยประมวลผล M9 Motion Coprocessor สำหรับประมวลผลการเคลื่อนไหว
- ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ iOS 9.3
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 16 GB หรือ 64 GB
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Touch ID Sensor : Fingerprint Identity Sensor) บนปุ่ม Home สำหรับตรวจสอบสิทธิในการเข้าใช้งานเครื่อง หรือการสั่งซื้อสินค้า
- กล้องดิจิทัล iSight Camera ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ความละเอียดระดับ 12 ล้าน Pixels พร้อมรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/2.2, ไฟแฟลชแบบ True Tone, เทคโนโลยี Focus Pixels, ฟังก์ชัน Live Photos, โหมดถ่ายภาพในแนวกว้างความละเอียด 63 ล้านพิกเซล และรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD}
- กล้องดิจิทัล FaceTime HD Camera ที่ด้านหน้าของตัวเครื่อง ความละเอียดระดับ 1.2 ล้าน Pixels พร้อมรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/2.4 และฟังก์ชัน Retina Flash
- รองรับการใช้งานร่วมกับระบบเครือข่ายแบบ 4G LTE, 3G WCDMA, 2G GSM และ Wi-Fi
- รองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อข้อมูลไร้สายแบบ NFC และ Bluetooth
- ระบบ GPS ในตัว (Global Positioning System : ระบบดาวเทียมนำร่อง) พร้อมฟังก์ชัน A-GPS, รองรับการใช้งานร่วมกับระบบดาวเทียมของรัสเซีย (GLONASS) และระบบเข็มทิศดิจิทัล (Digital Compass)
- ฟังก์ชัน Siri สำหรับการสั่งงาน หรือโต้ตอบด้วยเสียงพูด
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ iPhone SE
- ด้วยจอแสดงผลที่มีขนาดเล็กเพียง 4 นิ้ว สำหรับผู้ที่มีฝ่ามือ หรือนิ้วขนาดใหญ่ อาจต้องเพิ่มความแม่นยำในการกด หรือสัมผัสให้มากขึ้นอีกเล็กน้อย
- ด้วยจอแสดงผลที่มีขนาดเล็กเพียง 4 นิ้ว อาจตอบโจทย์การใช้งานบางประเภทได้ไม่เต็มที่มากนัก เช่น การชมภาพยนตร์ หรือการเปิดดูเว็บไซต์
- กล้องดิจิทัลด้านหน้ามีความละเอียดเพียงแค่ 1.2 ล้านพิกเซล
- มีราคาสูงกว่าสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกันค่อนข้างมาก
- ไม่มีรุ่นหน่วยความจำขนาด 32GB ให้เลือก
- ไม่รองรับการใส่การ์ดหน่วยความจำเสริมแบบ microSD หรือแบบอื่นๆ
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางศูนย์ เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *
สรุปข้อมูล และคุณสมบัติของ iPhone SE
ท่านสามารถตรวจสอบข้อมูล, ข่าวคราวความเคลื่อนไหวอัปเดตล่าสุด พร้อมคุณสมบัติโดยละเอียดของ iPhone SE ได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้
สรุปข้อมูล และข่าวอัปเดตล่าสุดของ iPhone SE
สรุปคุณสมบัติโดยละเอียดของ iPhone SE

:: ไปหน้าแรกเว็บไซต์ Thaimobilecenter
| ไปหน้าแรก
Mobile Focus ::
|