รีวิว (Review) iPhone 6s
สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นต่อยอดที่โลกรอคอย บนตัวเครื่อง Aluminium-7000 ที่แกร่งกว่าเดิม, ขุมพลังชิปเซ็ต Apple A9 รุ่นล่าสุด, RAM 2GB, กล้องดิจิทัล iSight 12 ล้านพิกเซล, Touch ID 2nd Gen และการมาครั้งแรกของฟังก์ชัน 3D Touch สุดล้ำ
Review
Date (11-พฤศจิกายน-2558)

หากพูดถึงชื่อ Apple คงไม่มีใครไม่รู้จักแบรนด์ระดับโลกแห่งนี้อย่างแน่นอน ด้วยผลิตภัณฑ์ยอดนิยมอย่าง iPad, iPod Touch หรือคอมพิวเตอร์อย่าง iMac และ Macbook ที่ครองใจผู้ใช้ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของผลิตภัณฑ์ด้านสมาร์ทโฟนที่เปิดตัวมาจนถึงซีรีส์ลำดับที่ 6 แล้วในชื่อรุ่นล่าสุดว่า iPhone 6s และ iPhone 6s Plus
iPhone 6s รุ่นล่าสุดนี้มาพร้อมกับสีสันใหม่ล่าสุดในสีทองกุหลาบ หรือสีชมพู (Rose Gold) บนดีไซน์ที่บางเฉียบ และเรียบหรูเช่นเคย แต่ในด้านวัสดุของตัวเครื่องนั้น Apple หันไปใช้วัสดุที่มีความแข็งแรงมากขึ้นอย่าง อะลูมิเนียมเกรด 7000 (Aluminium-7000) เพื่อแก้ปัญหาตัวเครื่องหักงอง่ายที่เคยเกิดขึ้นใน iPhone 6 โดยวัสดุชนิดนี้เป็นวัสดุที่นำไปใช้งานในการผลิตชิ้นส่วนของยานอวกาศด้วย จึงมั่นใจได้เลยว่า iPhone 6s จะไม่หักงอง่ายอีกต่อไปอย่างแน่นอน
ส่วนระบบประมวลผลใช้ชิปเซ็ต 64-bit Apple A9 ตัวใหม่ล่าสุด และหน่วยประมวลผลการเคลื่อนไหว M9 Motion Co-Processor ที่มีผลทดสอบแล้วว่ามีความเร็ว และแรงยิ่งกว่า iPhone 6 หลายเท่าตัว นอกจากนี้ iPhone 6s ยังได้รับการอัปเกรดหน่วยความจำแรม (RAM) เพิ่มเป็น 2GB หลังจากที่ใช้หน่วยความจำแรมเพียง 1GB มาโดยตลอด และมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 9 เวอร์ชันใหม่ล่าสุดที่คงความเสถียร และความลื่นไหลไว้ตามแบบฉบับของ Apple เช่นเคย

คุณสมบัติที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างก็คือ กล้องดิจิทัล iSight ด้านหลังที่พัฒนาความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 12 ล้านพิกเซล จากเดิม 8 ล้านพิกเซล ที่ช่วยให้เก็บภาพได้ครบทุกรายละเอียด และมีสีสันที่สมจริง รวมถึงรองรับการถ่ายวิดีโอด้วยความละเอียดระดับ 4K UHD อีกด้วย ขณะที่กล้องดิจิทัล FaceTime Camera ด้านหน้าก็อัปเกรดความละเอียดเพิ่มเป็น 5 ล้านพิกเซล จากเดิม 1.2 ล้านพิกเซล พร้อมฟังก์ชัน Retina Flash ที่ช่วยให้การถ่ายภาพเซลฟี่ของคุณมีความสวยงาม และดูนุ่มนวลด้วยการเปลี่ยนหน้าจอให้เป็นไฟแฟลช หมดปัญหาการถ่ายในที่มืดอีกต่อไป
สิ่งสุดท้ายที่เรียกได้ว่าเป็นการอัปเกรดระดับพระเอกของรุ่นนี้ก็คือฟังก์ชัน 3D Touch สุดล้ำที่สามารถแยกแยะน้ำหนักแรงกดของนิ้วมือแบบ กดหนัก-กดเบา บนหน้าจอแสดงผลได้ ซึ่งถือเป็นสุดยอดนวัตกรรมในการใช้งานสมาร์ทโฟนให้สามารถใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น จากเดิมที่ใช้งานได้เพียงแค่การแตะธรรมดาเท่านั้น และวันนี้ทีมงาน Thaimobilecenter จะพาทุกท่านไปสัมผัสในทุกแง่มุมของสมาร์ทโฟนสุดฮิตรุ่นนี้ในรีวิว (Review) iPhone 6s ติดตามชมไปพร้อมกันได้เลยครับ
แกะกล่องพร้อมชมรูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

บรรจุภัณฑ์ของ iPhone 6s จะแสดงรูปตัวเครื่องพร้อมภาพพื้นหลังรูปปลากัดไว้ที่ด้านหน้าของกล่อง ซึ่งรูปดังกล่าวจะมีความนูนขึ้นมาเล็กน้อย และมองเห็นสีของตัวเครื่องได้อย่างชัดเจน อีกทั้งภาพพื้นหลังรูปปลากัดนี้จะแตกต่างกันตาม iPhone 6s แต่ละสี โดย iPhone 6s ที่ทีมงานนำมารีวิวนี้เป็นสีทองกุหลาบ หรือสีชมพู Rose Gold


ด้านข้างของบรรจุภัณฑ์จะบอกชื่อรุ่น และมีโลโก้ของ Apple ประทับอยู่ ซึ่งสีของตัวหนังสือ และโลโก้ดังกล่าวจะแตกต่างกันตามสีของตัวเครื่องด้วย


เมื่อเปิดกล่องออกมาจะพบกับตัวเครื่อง iPhone 6s บนบอดี้ อะลูมิเนียมเกรด 7000 (Aluminium-7000) ที่แข็งแรง ทนทาน ไม่หักงอได้ง่าย และอุปกรณ์ที่มีมาในกล่อง คือ ชุดหูฟัง Apple Earpod, อะแดปเตอร์สำหรับชาร์จแบตเตอรี่, สายเชื่อมต่อ Lightning USB, เข็มเปิดถาดใส่ซิมการ์ด (SIM Door Key) และคู่มือการใช้งาน

iPhone 6s มาพร้อมจอแสดงผลขนาด 4.7 นิ้ว แบบ Retina HD IPS LCD (LED-Backlit) Capacitive Touchscreen 16,700,000 สี ความละเอียด 1334x750 พิกเซล ความละเอียดของเม็ดพิกเซล 326 ppi กระจกหน้าจอแบบ Ion-Strengthened Glass มีความโค้งมนที่บริเวณขอบ และเทคโนโลยี 3D Touch ที่รองรับการแยกแยะน้ำหนักในการสัมผัสหน้าจอ ส่วนขนาดของตัวเครื่องอยู่ที่ 138.3x67.1x7.1 มิลลิเมตร น้ำหนัก 143 กรัม

ด้านหน้าส่วนบนประกอบไปด้วย Proximity Sensor สำหรับการปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน และ Ambient Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอและแผงปุ่มกดให้เหมาะสม, ลำโพงสำหรับฟังเสียงในการสนทนา และกล้องดิจิทัล FaceTime Camera ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล (2592x1944 Pixels) ขนาดรูรับแสงกว้างสุดที่ f/2.2 พร้อมฟังก์ชัน Retina Flash และรองรับการถ่ายภาพวิดีโอ (HD 720p : 1280x720 Pixels : 30 fps)

ด้านหน้าส่วนล่าง : ประกอบด้วยปุ่มโฮม (Home) ที่ใช้กระจก Sapphire Crystal เพื่อป้องกันรอยขีดข่วน และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Touch ID Sensor : Fingerprint Identity Sensor) เวอร์ชันใหม่ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น

ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบไปด้วยช่องเชื่อมต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟนสำหรับการสนทนา หรือบันทึกเสียง, ช่องเชื่อมต่อแบบ Lightning สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ หรือการถ่ายโอนข้อมูล และลำโพงเสียงของตัวเครื่อง

ด้านขวาของตัวเครื่องประกอบไปด้วยปุ่ม เปิด-ปิด เครื่อง หรือล็อกหน้าจอ และถาดใส่ซิมการ์ดแบบ nanoSIM

ด้านซ้ายของตัวเครื่องประกอบไปด้วยปุ่ม เปิด-ปิด เสียง (หรือล็อกการหมุนของหน้าจอ) และปุ่ม เพิ่ม-ลด ระดับเสียง

ด้านหลังของตัวเครื่องประกอบไปด้วย กล้องดิจิทัล iSight ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสงกว้างสุดที่ f/2.2 พร้อมไฟแฟลชแบบคู่ Dual-LED True Tone Flash รองรับการถ่ายภาพวิดีโอความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD : 2160p : 3840x2160 Pixels : 30 fps, ไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับการตัดเสียงรบกวนภายนอก, โลโก้แบรนด์ Apple และชื่อรุ่นของ iPhone 6s ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกถึงความแตกต่างกับ iPhone 6 รุ่นเดิมได้ นอกเหนือไปจากสีทองกุหลาบ หรือสีชมพู Rose Gold

iPhone 6s สีทองกุหลาบ หรือสีชมพู Rose Gold เมื่ออยู่ในที่ร่ม หรือสถานที่ที่มีแสงไม่มากนัก ตัวเครื่องจะมีสีที่ค่อนข้างอ่อน และสว่าง แต่ถ้าหากตัวเครื่องอยู่ในที่กลางแจ้ง หรือกลางแดดแรงๆ สีของตัวเครื่องก็จะเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
iPhone 6s แตกต่างกับ iPhone 6 อย่างไรบ้าง?


อันดับแรกในส่วนของบรรจุภัณฑ์ iPhone 6s มาพร้อมกับด้านหน้ากล่องที่มีรูป และสีของตัวเครื่องประทับอยู่ โดยรูปตัวเครื่องจะมีความนูนขึ้นมาเล็กน้อย ขณะที่บรรจุภัณฑ์ของ iPhone 6 ด้านหน้าจะมีสีขาวล้วน และมีความนูนขึ้นมาเป็นรูปทรงของตัวเครื่องเท่านั้น

ด้านข้างของกล่องบรรจุ iPhone 6s จะมีชื่อรุ่นประทับอยู่ และสีของตัวอักษรจะแตกต่างกันตามสีของตัวเครื่อง ส่วนด้านข้างกล่องของ iPhone 6 จะมีโลโก้ Apple และชื่อผลิตภัณฑ์ iPhone ประทับอยู่เท่านั้น

ด้าน บน-ล่าง ของกล่อง iPhone 6s จะมีโลโก้ Apple ประทับอยู่ โดยมีสีเดียวกับตัวเครื่องด้านใน ส่วนกล่องของ iPhone 6 เป็นสีขาวล้วน ไม่มีลวดลายใดๆ ทั้งสิ้น

เมื่อแกะกล่องออกมา ก็จะพบกับตัวเครื่องวางอยู่ในลักษณะเดียวกัน




ในส่วนของการออกแบบดีไซน์ iPhone 6s ก็ยังคงใช้รูปแบบเดียวกับ iPhone 6 ซึ่งถือเป็นรุ่นหลัก เพราะตามนโยบายของ Apple แล้ว iPhone รุ่นที่มีชื่อท้ายตามด้วย "S" จะใช้ดีไซน์เดิมของรุ่นก่อนหน้า แต่อัปเกรด และพัฒนาฮาร์ดแวร์ด้านในอย่างเดียวเท่านั้น แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเมื่อสัมผัสตัวเครื่อง iPhone 6s ก็คือ น้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น จากเดิม iPhone 6 มีน้ำหนัก 129 กรัม แต่ iPhone 6s มีน้ำหนัก 143 กรัม และในส่วนของขนาดตัวเครื่องก็มีความหนาเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดย iPhone 6s มีขนาดตัวเครื่องที่ 138.3x67.1x7.1 มิลลิเมตร ส่วน iPhone 6 มีขนาดตัวเครื่องที่ 138.1x67x6.9 มิลลิเมตร

ความแตกต่างอีกสองอย่างที่นอกเหนือไปจากน้ำหนักของตัวเครื่อง ก็คือ สีทองกุหลาบ หรือสีชมพู Rose Gold ใหม่ล่าสุด ซึ่งมีเฉพาะ iPhone 6s เท่านั้น และตัวอักษร "S" บริเวณด้านหลังส่วนล่าง ที่เป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของสมาร์ทโฟนทั้งสองรุ่นนี้

ภาพเปรียบเทียบตัวเครื่องระหว่าง iPhone 5s, iPhone 6 และ iPhone 6s

แม้ว่า iPhone 6s และ iPhone 6 จะมีดีไซน์ตัวเครื่องที่เหมือนกัน แต่ในด้านฮาร์ดแวร์ภายในไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน ซึ่ง iPhone 6s จะมีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างไรบ้างนั้น ติดตามชมกันต่อได้ในหัวข้อถัดไป
เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ
 
เมื่อเปิดเครื่องใช้งานครั้งแรก จะมีหน้าจอการตั้งค่าต่างๆ ให้ผู้ใช้ใส่ข้อมูล เช่น Apple ID หรือการอนุญาตเข้าถึงข้อมูลบางอย่าง เมื่อตั้งค่าเสร็จสิ้นจะเข้าสู่หน้าจอเริ่มต้นการใข้งานอย่างเป็นทางการ โดย iPhone 6s ที่ทีมงานนำมารีวิวนี้ เป็นรุ่นหน่วยความจำ 64GB เหลือพื้นที่ใช้งานจริงประมาณ 54.8GB
 
iPhone 6s จะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 9.0 (ทีมงานนำมาอัปเดตภายหลัง) และอินเทอร์เฟซเรียบง่าย ที่สามารถใช้งานได้ไม่ยากนัก
 
เมื่อสไลด์นิ้วจากด้านบนลงด้านล่างจะพบกับแถบการแจ้งเตือนต่างๆ แบ่งออกเป็น 2 หมวด คือ Today - สำหรับการแจ้งเตือนสิ่งที่เกิดขึ้นภายในวันนี้ และ Notifications - สำหรับการแจ้งเตือนแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น LINE, Facebook หรือ Twitter และถ้าสไลด์นิ้วจากด้านล่างขึ้นด้านบนจะพบกับแผงควบคุม Control Center ที่เป็นคีย์ลัดในการ เปิด-ปิด ฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ
 
ถ้าแตะปุ่มโฮมติดกัน 2 ครั้ง (แตะเท่านั้น ไม่ต้องกด) จะเป็นการเลื่อนหน้าจอลงมาครึ่งหนึ่ง เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานมือเดียวได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
 
เมื่อกดปุ่มโฮมติดกัน 2 ครั้ง จะเป็นการเข้าสู่หน้าจอ App Switcher ที่จะแสดงรายชื่อแอปพลิเคชันที่เคยเปิดใช้งานมาแล้วทั้งหมด และสามารถบังคับปิดการทำงาน (Force Close) ของแอปพลิเคชันนั้นๆ ได้ด้วยการแตะที่หน้าต่างแอปพลิเคชันดังกล่าว แล้วสไลด์นิ้วขึ้นด้านบน
 
เมื่อปัดหน้าจอไปทางด้านซ้ายสุด จะเข้าสู่ฟังก์ชัน Spotlight Search ซึ่งสามารถค้นหาทุกสิ่งทุกอย่างในเครื่องได้เพียงแค่พิมพ์คำที่ต้องการลงไปเท่านั้น อีกทั้งยังสามารถค้นหาสิ่งที่ต้องการบนอินเทอร์เน็ตผ่านเบราว์เซอร์ Safari ได้ด้วยเช่นเดียวกัน

ขยับมาในส่วนของแอปพลิเคชันที่ติดตั้งมาในตัวเครื่องอย่างโทรศัพท์ก็มีหน้าตาที่เรียบง่าย มองเห็นตัวเลข และรายชื่อได้ชัดเจน ผนวกกับหน้าจอของ iPhone 6s ที่มีขนาด 4.7 นิ้ว ก็ยิ่งทำให้มองเห็นได้ถนัดมากยิ่งขึ้น
 
แอปพลิเคชัน Weather สามารถคาดคะเนสภาพอากาศล่วงหน้าได้ค่อนข้างแม่นยำ และสามารถตรวจเช็คสภาพอากาศได้ทุกภูมิภาคของโลก
 
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเดินทาง และต้องการผู้ช่วยส่วนตัวในการค้นหาเส้นทาง แอปพลิเคชัน Maps คือสิ่งที่ตอบโจทย์ในจุดนี้ได้เป็นอย่างดี ด้วยระบบ GPS ที่แม่นยำ และมีความคลาดเคลื่อนน้อยมาก อีกทั้งระบบ Navigator ที่มีเสียงคอยแจ้งเส้นทางตลอดเวลา จึงมั่นใจได้ว่าคุณจะไม่หลงทางอย่างแน่นอน

หากท่านใดเป็นเจ้าของ Apple Watch ก็มีแอปพลิเคชันสำหรับการเชื่อมต่อ Apple Watch เข้ากับ iPhone มาให้เพื่อใช้งานด้วยเช่นกัน
 
แอปพลิเคชันด้านสุขภาพอย่าง Health ก็ไม่ได้มีไว้สำหรับคนที่ชื่นชอบการออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว แต่ทุกคนสามารถใช้งานได้จริง เพราะแอปพลิเคชันนี้เปรียบเสมือนเครื่องตรวจเช็คสุขภาพชั้นดีที่สามารถแสดงผลได้ว่าตอนนี้ร่างกายคุณเป็นอย่างไรบ้าง อีกทั้งยังมีการเปิดให้ลงทะเบียน Medical ID ที่จะช่วยเก็บข้อมูลสำคัญของคุณ เช่น ประวัติการแพ้ยา หรือโรคประจำตัว ไว้บนเซิร์ฟเวอร์ และผู้ให้การรักษาพยาบาลก็สามารถเข้าถึงข้อมูลในส่วนนี้ได้ทันทีหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นกับผู้ใช้
 
แอปพลิเคชัน Wallet เปรียบเสมือนกระเป๋าบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่คุณสามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องพกบัตรจริงติดตัวมา โดยในขณะนี้ก็มีแอปพลิเคชันที่รองรับการใช้งานระบบ Wallet แล้ว ซึ่งสามารถกดเข้าไปดูได้ที่ Find Apps for Wallet
 
iTunes Store ศูนย์รวมความบันเทิงในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ หรือเพลงฮิตระดับโลกก็มีให้เลือกสรรกันอย่างมากมาย โดยทุกรายการเป็นของลิขสิทธิ์แท้ทั้งหมด และมีราคาไม่สูงมากนัก
 
App Store ศูนย์รวมแอปพลิเคชันเพื่อการใช้งานในทุกหมวดหมู่ ทั้งเกม, การถ่ายภาพ, การศึกษา, สุขภาพ และอื่นๆ อีกมากมาย โดยมีให้ดาวน์โหลดทั้งแบบฟรี และแบบเสียค่าใช้จ่าย
 
Game Center คือแอปพลิเคชันที่ทำหน้าที่คล้ายๆ สังคมออนไลน์ของผู้เล่นเกมบนระบบปฏิบัติการ iOS โดยสามารถเพิ่มเพื่อนที่รู้จักเพื่อร่วมทำภารกิจในเกมได้ และยังเป็นแหล่งรวบรวมเกมที่เราเคยดาวน์โหลดมาทั้งหมดบนระบบ iOS
 
แน่นอนว่าผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ในระบบ iOS ทุกคนจะได้รับสิทธิ์ในการใช้พื้นที่หน่วยความจำออนไลน์ของ Apple ในชื่อเรียกว่า iCloud ได้ฟรี 5GB เมื่อทำการลงทะเบียน Apple ID ในระบบ
 
แอปพลิเคชันที่ใช้ติดต่อกันแบบเห็นใบหน้าอย่าง FaceTime ก็ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น ด้วยกล้องดิจิทัล FaceTime ที่อัปเกรดความละเอียดให้เป็น 5 ล้านพิกเซล และสามารถใช้งานได้ทั้งการเชื่อมต่อแบบ Wi-Fi หรือ Cellular เช่นเคย (คุณภาพของเสียง และภาพ ขึ้นอยู่กับคุณภาพของสัญญาณการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในขณะนั้น)
 
Touch ID 2nd Generation ระบบเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเวอร์ชันใหม่ ที่สามารถสแกนได้รวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพียงแค่กดปุ่มโฮม และปล่อยนิ้วออกก็สามารถเข้าใช้งานตัวเครื่องได้แล้ว แต่ว่าด้วยความเร็วระดับนี้ อาจส่งผลต่อการตรวจสอบการแจ้งเตือนที่ปรากฏบนหน้าจอ เพราะเท่าที่ลองใช้งานพบว่า ไม่สามารถมองการแจ้งเตือนที่ปรากฏได้ทัน ต้องใช้วิธีการกดปุ่ม เปิด-ปิด เครื่อง หรือล็อกหน้าจอ เพื่อใช้งานในส่วนนี้
 
แป้นพิมพ์ (Keyboard) ก็ยังคงออกแบบให้ใช้งานง่าย และมีความสะอาดตา เพื่อให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นตัวอักษรได้ชัดเจน แต่ที่สำคัญคือทริคเล็กๆ ที่เพิ่มเข้ามานั่นก็คือ เมื่อผู้ใช้แตะแป้นพิมพ์ค้างไว้ แป้นพิมพ์จะเปลี่ยนการใช้งานไปเป็น Track Pad เพื่อเลื่อน Cursor บนหน้าจอได้อย่างอิสระ และแม่นยำมากกว่าเดิม
 
ฟีเจอร์อัจฉริยะอย่าง Siri ก็ได้รับการพัฒนาให้มีความชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น สามารถเปิดใช้งานฟังก์ชันนี้ได้โดยไปที่ Settings > General > Siri และเปิดการใช้งาน นอกจากนี้ใน iPhone 6s ยังสามารถใช้งานฟังก์ชัน "หวัดดี Siri" ได้ตลอดเวลาโดยไม่จำเป็นว่าตัวเครื่องต้องชาร์จแบตเตอรี่อยู่
 
 
ขั้นตอนการเปิดใช้งานก็จะมีการบันทึกเสียงพูดของผู้ใช้ในประโยคต่างๆ ที่ระบบกำหนดมาให้ เมื่อระบบบันทึกรูปแบบเสียงของผู้ใช้สำเร็จแล้วก็สามารถใช้งานฟังก์ชัน "หวัดดี Siri" ได้ทันที
 
ผู้ใช้สามารถพูดคุยโต้ตอบ หรือออกคำสั่งเสียงให้กับ Siri ได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการให้ตรวจสอบสภาพอากาศ, คำสั่งเปิดใช้งานแอปพลิเคชัน, การโทรศัพท์หาผู้อื่น หรือแม้กระทั่งการคุยเล่นกับ Siri ก็ทำได้เช่นกัน
 
มาถึงส่วนของคุณสมบัติตัวเครื่องกันบ้าง อย่างที่ทราบกันว่า iPhone 6s มาพร้อมกับการอัปเกรดขนานใหญ่ ส่งผลให้ iPhone 6s รุ่นนี้มาพร้อมกับหน่วยประมวลผลชิปเซ็ต Apple A9 รุ่นล่าสุด พร้อมด้วยชิป M9 Motion Co-Processor สำหรับตรวจจับการเคลื่อนไหว และหน่วยความจำแรม (RAM) เพิ่มขนาดเป็น 2GB เมื่อทำการทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน GeekBench 3 ก็ทำคะแนนได้ถึง 2,547 คะแนนในส่วนของการประมวลผลแบบ Single-Core และอีก 4,428 คะแนนในส่วนของ Multi-Core
 
สำหรับหน่วยความจำแรม (RAM) ที่พัฒนาขึ้นมาเป็น 2GB นั้น ส่งผลให้การประมวลผลของระบบมีความลื่นไหลมากกว่าที่เคย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการท่องเว็บผ่านเบราว์เซอร์ Safari ที่สามารถเปิดเว็บไซต์ได้เยอะขึ้นกว่าเดิม และแทบไม่พบกับอาการโหลดหน้าเว็บใหม่
 
เมื่อทดสอบการประมวลผลกราฟิกด้วยแอปพลิเคชัน 3DMark ก็ทำคะแนนไปได้ถึง 27,828 คะแนน และถ้าดูในส่วนของผลการจัดอันดับ จะเห็นได้ว่า iPhone 6s มีคุณภาพของการประมวลผลกราฟิกในระดับเดียวกับแท็บเล็ตรุ่นท็อปของแบรนด์อื่นๆ เลยทีเดียว





ด้วยประสิทธิภาพการประมวลผลที่เพิ่มขึ้นในทุกระดับ ทำให้ iPhone 6s สามารถเล่นเกมที่มีภาพกราฟิกระดับสูงได้อย่างไหลลื่น และไม่มีอาการกระตุกให้พบเห็นแม้แต่น้อย เรียกได้ว่า iPhone 6s มีประสิทธิภาพครอบคลุมในทุกๆ ด้านจริงๆ
ทดสอบการใช้งานฟีเจอร์ 3D Touch บน iPhone 6s
3D Touch คือฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดที่เพิ่มเข้ามาใน iPhone 6s ซึ่งฟีเจอร์ดังกล่าวสามารถตรวจจับน้ำหนักของแรงกดบนหน้าจอได้เพื่อแยกแยะคำสั่งในการใช้งานรูปแบบต่างๆ และยังมีระบบ Taptic Engine ที่ตอบสนองต่อแรงกดด้วยการสั่นเบาๆ เพื่อให้ผู้ใช้รู้ว่าขณะนี้กำลังกดด้วยน้ำหนักเท่าไหร่
 
การตั้งค่าการใช้งานระบบ 3D Touch สามารถเข้าไปตั้งค่าการใช้งานได้ โดยไปที่ Settings > General > Accessibility > 3D Touch โดยสามารถตั้งค่าการตรวจจับแรงกดได้ 3 ระดับ คือ Light, Medium และ Firm โดยระดับ Light จะใช้แรงกดเพียงเล็กน้อย ขณะที่ระดับสูงสุดอย่าง Firm ต้องใช้แรงกดที่เพิ่มมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่กดหน้าจอค่อนข้างหนัก


เมื่อผู้ใช้ตั้งค่าเรียบร้อยแล้ว จะมีรูปภาพด้านล่างเพื่อให้ทดสอบแรงกด โดยคำสั่งในการใช้งานจะมี 2 แบบ คือ Peek และ Pop โดยคำสั่ง Peek คือการเรียกดูตัวอย่างของเนื้อหานั้นๆ เช่น ต้องการดูตัวอย่างรูปภาพก็ให้กดด้วยน้ำหนักเบา ส่วนคำสั่ง Pop คือการเข้าไปดูเนื้อหานั้นๆ ในฉบับเต็ม เช่น เมื่อดูรูปภาพตัวอย่างแล้วต้องการดูภาพฉบับเต็ม ก็ให้เพิ่มแรงกดไปอีกหนึ่งระดับ ภาพฉบับเต็มก็จะปรากฏขึ้นมา


ฟีเจอร์ดังกล่าวยังสามารถใช้งานร่วมกับลิงก์เว็บไซต์ต่างๆ ได้ด้วยเช่นกัน กล่าวคือ เมื่อใช้คำสั่ง Peek ด้วยการกดน้ำหนักเบาก็จะเป็นการเรียกดูตัวอย่างเนื้อหาของลิงก์นั้นๆ ให้ปรากฏขึ้นมา และถ้าต้องการเข้าไปดูเนื้อหาฉบับเต็มก็สามารถใช้คำสั่ง Pop ด้วยการเพิ่มน้ำหนักอีกหนึ่งระดับ เพื่อเข้าสู่เนื้อหาฉบับเต็ม

นอกจากนี้ 3D Touch ยังสามารถใช้งานกับแอปพลิเคชันในตัวเครื่องได้เช่นเดียวกัน โดยการใช้งานกับแอปพลิเคชันจะมีความแตกต่างออกไปเล็กน้อย คือ เมื่อกดด้วยน้ำหนักเบาแบบคำสั่ง Pop จะเป็นการแสดงฟังก์ชันของแอปพลิเคชันนั้นๆ เช่น เมื่อกดไปที่แอปพลิเคชันกล้องถ่ายภาพ จะปรากฏฟีเจอร์กล้องถ่ายภาพขึ้นมา 4 รายการคือ Take Selfie, Record Video, Record Slo-Mo และ Take Photo


เช่นเดียวกับแอปพลิเคชันสุดฮิตอย่าง Facebook หรือ Instagram ที่รองรับการใช้งาน 3D Touch แล้ว และเมื่อกดไปที่ไอคอนของแอปพลิเคชันก็จะปรากฏรายชื่อฟังก์ชันการใช้งานที่เราต้องการขึ้นมา และสามารถใช้งานฟังก์ชันนั้นได้ทันที

หากกล่าวสรุปอย่างง่ายก็คือ ฟีเจอร์ 3D Touch เปรียบเสมือนทางลัดในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการเรียกดูตัวอย่างเนื้อหา เช่น ดูตัวอย่างรูปภาพโดยไม่ต้องเข้าไปดูภาพจริง หรือการเรียกดูตัวอย่างเว็บไซต์คร่าวๆ ซึ่งการเรียกดูตัวอย่างเนื้อหาทั้งหมดนี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถทราบถึงจุดประสงค์ของเนื้อหานั้นๆ ได้ด้วยความรวดเร็ว และการใช้งาน 3D Touch ร่วมกับแอปพลิเคชันก็เป็นทางลัดในการเข้าถึงฟังก์ชันการใช้งานรูปแบบต่างๆ ได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพราะไม่ต้องกดเข้าแอปพลิเคชันแล้วค่อยเลือกการใช้งานเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา ช่วยให้ประหยัดเวลาไปได้พอสมควรเลยทีเดียว และในอนาคตคาดว่าฟีเจอร์ 3D Touch นี้จะถูกนำมาปรับใช้กับการทำงานที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
กล้องดิจิทัล iSight การถ่ายภาพนิ่ง+Live Photo และภาพวิดีโอ
 
iPhone 6s ได้รับการพัฒนากล้องดิจิทัล iSight ให้มีความละเอียดเพิ่มมากขึ้นเป็น 12 ล้านพิกเซล จากเดิมเพียง 8 ล้านพิกเซลเท่านั้น และยังมีฟีเจอร์สุดล้ำอย่าง Live Photo ที่ทำให้รูปภาพมีชีวิตเพิ่มเข้ามาด้วย โดยอินเทอร์เฟซของเมนูกล้องถ่ายภาพยังคงมีรูปแบบที่ใช้งานง่าย และสะอาดตาเช่นเคย อีกทั้งยังฟิลเตอร์ตกแต่งภาพให้เลือกใช้กันถึง 9 แบบเลยทีเดียว
 
โหมดถ่ายภาพแบบ Square จะเป็นการถ่ายภาพแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัสในอัตราส่วน 1:1 และโหมดถ่ายภาพ Panorama ที่มีความคมชัดตลอดทั้งภาพ และเก็บรายละเอียดได้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ส่วนการถ่ายภาพวิดีโอสามารถรองรับความละเอียดสูงสุดที่ 4K UHD : 2160p : 3840x2160 Pixels : 30 fps
 
นอกจากนี้ยังมีโหมดการถ่ายวิดีโอแบบ Slow Motion 720p ในอัตราส่วน 240 fps และโหมดเร่งเวลา (Time Lapse) ให้เลือกใช้งานด้วย
 
หากผู้ใช้ต้องการใช้งานฟังก์ชัน Live Photo ให้สังเกตจุดตรงกลางในแถบเมนูด้านบน หากกดเปิดใช้งาน ไอคอนดังกล่าวจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองพร้อมกับมีคำว่า Live ปรากฏขึ้นในหน้าจอ แต่ถ้ากดปิดการใช้งาน ตัวไอคอนก็จะเปลี่ยนเป็นสีขาวพร้อมปรากฏคำว่า Live Off โดยภาพที่ถ่ายด้วยฟังก์ชันนี้จะเป็นการบันทึกช่วงเวลา ก่อน-หลัง การถ่ายภาพช่วงละ 1.5 วินาที เมื่อถ่ายเสร็จให้กดที่ภาพค้างไว้ ภาพถ่ายดังกล่าวจะเปลี่ยนเป็นคลิปสั้นๆ เพื่อแสดงช่วงเวลาขณะถ่ายภาพนั้นๆ
 
ในส่วนของกล้องดิจิทัล FaceTime ด้านหน้าก็ได้รับการอัปเกรดความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านพิกเซล จากเดิม 1.2 ล้านพิกเซล พร้อมฟังก์ชันใหม่ Retina Flash ที่เปลี่ยนหน้าจอ iPhone 6s ให้เป็นไฟแฟลชสำหรับการถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัล iSight ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ของ iPhone 6s






























ตัวอย่างภาพถ่ายในสภาวะต่างๆ ด้วยโหมดอัตโนมัติ


ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด HDR : ภาพบนถ่ายแบบปกติ ส่วนภาพล่างถ่ายด้วยโหมด HDR


ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Panorama
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัล FaceTime ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ของ iPhone 6s
 
ภาพซ้ายถ่ายแบบปกติ - ภาพขวาถ่ายแบบย้อนแสง
 
ภาพซ้ายถ่ายแบบปิดไฟแฟลช - ภาพขวาถ่ายโดยเปิด Retina Flash


ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่ในที่กลางแจ้ง
สรุปผลการทดสอบของ iPhone 6s

เรียกได้ว่า iPhone 6s รุ่นนี้มาพร้อมกับการพัฒนาต่อยอดให้ดียิ่งขึ้นจาก iPhone 6 รุ่นเดิมเกือบทุกด้าน จนอดคิดไม่ได้ว่า iPhone 6s อาจเปรียบเสมือน iPhone 7 รุ่นเล็ก และเป็นการชิมลางการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่อย่าง 3D Touch ว่าจะมีผลตอบรับจากผู้บริโภคอย่างไรบ้าง เพราะจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในซีรีส์ "S" ทุกรุ่นที่ผ่านมาจะมีการอัปเกรดฮาร์ดแวร์เพียงไม่กี่อย่างโดยใช้ดีไซน์ตัวเครื่องแบบเดียวกับรุ่นหลัก แต่ใน iPhone 6s เป็นรุ่นที่ค่อนข้างแตกต่างออกไป เนื่องจากมีการพัฒนาคุณสมบัติ และฟีเจอร์ใหม่ๆ ในหลายส่วนด้วยกัน อันดับแรกก็คือการแก้ปัญหาตัวเครื่องหักงอง่าย (Bendgate) ที่เคยเกิดขึ้นใน iPhone 6 รุ่นก่อนหน้าที่ผลิตด้วย Anodized Aluminium และ Stainless Steel ทาง Apple จึงแก้ปัญหาใน iPhone 6s โดยใช้ตัวเครื่องที่ผลิตจาก อะลูมิเนียม เกรด 7000 (Aluminium-7000) ซึ่งเป็นวัสดุเดียวกับที่ใช้ในการผลิตชิ้นส่วนของยานอวกาศ โดยจากการทดลองพกพา และจับถือในการใช้งานก็ให้ความรู้สึกที่แข็งแรงกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนชิปเซ็ต Apple A9 และชิป M9 Motion Co-Processor ก็มอบประสิทธิภาพของการประมวลผลมาให้อย่างดีเยี่ยม ผนวกกับการที่ iPhone 6s ได้รับการอัปเกรดหน่วยความจำแรม (RAM) เพิ่มเป็น 2GB ก็ยิ่งทำให้การใช้งานมีความลื่นไหล ไม่สะดุดแม้แต่น้อย สามารถท่องเว็บไซต์ และเปิดใช้งานได้หลายแอปพลิเคชันพร้อมกันโดยไม่พบอาการหน่วงแต่อย่างใด นอกจากนี้ iPhone 6s ยังเรียกได้ว่าถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งานระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดอย่าง iOS 9 ที่มีความเสถียรจึงเกิดความเข้ากันทั้งในด้านฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ ส่งผลให้ผู้ใช้สามารถรีดเค้นประสิทธิภาพของตัวเครื่องออกมาได้อย่างดีที่สุด
ด้านฟีเจอร์พระเอกอย่าง 3D Touch สุดล้ำที่สามารถแยกแยะแรงกดบนหน้าจอได้ ก็ช่วยให้ใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น เพราะฟังก์ชัน Peek & Pop สามารถเรียกดูตัวอย่างเนื้อหา และยังเป็นทางลัดในการใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ภายในแอปพลิเคชันได้อีกด้วย ซึ่งช่วยย่นระยะเวลาในการใช้งานไปได้มากทีเดียว โดยฟังก์ชัน Peek & Pop สามารถใช้งานได้หลากหลาย เช่น การดูเนื้อหาในอีเมล, การดูรูปภาพ หรือการดูเนื้อหาจากลิงก์เว็บไซต์ เป็นต้น ขณะที่การใช้งานแบบทางลัดเข้าสู่ฟังก์ชันของแต่ละแอปพลิเคชันนั้น ในขณะนี้ยังมีแอปพลิเคชันแบบ Third-Party ที่รองรับ 3D Touch ไม่มากนัก เพราะผู้ผลิตแอปพลิเคชันต้องทำการเขียนโปรแกรมให้ตอบสนองต่อระบบดังกล่าว ซึ่งอาจใช้เวลาสักระยะหนึ่ง
สำหรับกล้องดิจิทัล iSight ที่อัปเกรดความละเอียดเพิ่มมาเป็น 12 ล้านพิกเซล รับรองได้ว่าต้องถูกใจผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายรูปด้วยสมาร์ทโฟนอย่างแน่นอน เพราะภาพที่ได้มามีความคมชัดยิ่งกว่าเดิม ด้วยความละเอียดถึง 4032x3024 พิกเซล ด้วยความละเอียดสูงขนาดนี้สามารถนำภาพที่ถ่ายด้วย iPhone 6s ไปใช้งานจริงได้แทบจะในทันที เช่น การตัดต่อ หรือการอัดภาพ เป็นต้น อีกทั้งยังเก็บรายละเอียดของภาพ และสีสันต่างๆ ได้อย่างสมจริง ส่วนการถ่ายภาพกลางคืนก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน แม้ว่าจะอยู่ในสภาวะแสงน้อยแต่ก็ยังเก็บรายละเอียดไว้ได้ครบถ้วน และสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ Selfie ก็ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะกล้องดิจิทัล FaceTime ขยับความละเอียดเพิ่มขึ้นมาเป็น 5 ล้านพิกเซล ที่ช่วยให้ภาพมีความคมชัด แสดงสีผิวบนใบหน้าได้สมจริง และเก็บรายละเอียดไว้ได้ทุกส่วน นอกจากนี้ iPhone 6s ยังมาพร้อมกับฟังก์ชัน Retina Flash ที่เปลี่ยนหน้าจอมือถือให้เป็นไฟแฟลชสำหรับกล้องหน้า ช่วยให้ถ่ายภาพ Selfie ในสภาวะแสงน้อยได้อย่างง่ายดาย หมดปัญหาเรื่องภาพถ่ายมืดอีกต่อไป
นอกจากนี้ ความสามารถในด้านอื่นๆ ที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้วก็มีการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เช่น Touch ID 2nd Gen ที่มาพร้อมการสแกนลายนิ้วมือที่รวดเร็วกว่ารุ่นก่อนๆ เกือบเท่าตัว หรือฟังก์ชัน "หวัดดี Siri" ที่พัฒนาให้โต้ตอบ และประมวลผลคำสั่งได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น และยังมีฟังก์ชันอื่นๆ อีกมากมายที่พัฒนาประสิทธิภาพการทำงานเพื่อให้ผู้ใช้ได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่ดีที่สุดเช่นเคยบน iPhone 6s
สำหรับ iPhone 6s แบ่งออกเป็น 3 รุ่นด้วยกัน คือ รุ่นหน่วยความจำ 16GB, 64GB และ 128GB โดยมีมาให้เลือกถึง 4 สี คือ สีเทาสเปซเกรย์, สีเงิน, สีทอง และสีทองกุหลาบ หรือสีชมพู Rose Gold ซึ่งเป็นสีใหม่ล่าสุด และมีเฉพาะ iPhone 6s เท่านั้น ส่วนราคาวางจำหน่ายของ iPhone 6s อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ทาง Apple Online Store (ประเทศไทย) ได้ประกาศราคาออกมา ดังนี้
iPhone 6s ขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว
รุ่นความจุ 16GB ราคา 26,500 บาท
รุ่นความจุ 64GB ราคา 30,500 บาท
รุ่นความจุ 128GB ราคา 34,500 บาท
iPhone 6s Plus ขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้ว
รุ่นความจุ 16GB ราคา 30,500 บาท
รุ่นความจุ 64GB ราคา 34,500 บาท
รุ่นความจุ 128GB ราคา 38,500 บาท
สำหรับค่ายมือถือในบ้านเรา และตัวแทนจำหน่ายรายอื่นก็เริ่มจำหน่าย iPhone 6s และ iPhone 6s Plus อย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2558 ที่ผ่านมา หากท่านใดสนใจจับจองเป็นเจ้าของก็สามารถหาซื้อได้ที่ตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้านท่านนะครับ สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่ติดตามชมรีวิว (Review) iPhone 6s แล้วพบกันใหม่ในรีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นต่อไป สำหรับวันนี้ทีมงาน Thaimobilecenter ต้องขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
จุดเด่นของ iPhone 6s
- บอดี้ตัวเครื่องหล่อขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกัน พร้อมวัสดุแบบ Aluminium 7000 Series
- จอแสดงผลแบบ Retina HD IPS LCD (LED-Backlit) Capacitive Touchscreen 16,700,000 สี ความละเอียด 1334x750 Pixels (กว้าง 4.7 นิ้ว : 326 ppi)
- เทคโนโลยี 3D Touch รองรับการแยกแยะน้ำหนักของการสัมผัสหน้าจอ
- ประมวลผลการทำงานด้วยชิปเซ็ต Apple A9 (64-bit) พร้อมหน่วยประมวลผล M9 Motion Coprocessor สำหรับประมวลผลการเคลื่อนไหว
- ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ iOS 9
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Touch ID Sensor : Fingerprint Identity Sensor) บนปุ่ม Home สำหรับตรวจสอบสิทธิในการเข้าใช้งานเครื่องด้วยการสแกน และวิเคราะห์ลายนิ้วมือ พร้อมรองรับการสั่งซื้อออนไลน์ผ่านทางบริการ Apple Pay
- ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านระบบ WiFi, LTE Cat4, HSPA+, EDGE หรือ GPRS
- รองรับการเชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่าน NFC หรือ Bluetooth เวอร์ชัน 4.2
- รองรับการเชื่อมต่อแสดงผลผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์ (TV Out) ผ่านทางสาย Lightning Digital AV Adapter และ Lightning to VGA Adapter
- ระบบ GPS ในตัว พร้อมรองรับการใช้งานร่วมกับระบบดาวเทียม GLONASS ของรัสเซีย และเทคโนโลยี iBeacon Microlocation
- ฟังก์ชัน Siri สำหรับการสั่งงาน หรือโต้ตอบด้วยเสียงพูด
- กล้องดิจิทัล iSight Camera ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ความละเอียดระดับ 12 ล้าน Pixels พร้อมเลนส์ชั้นนอกแบบ Sapphire Crystal, โครงสร้างภายในแบบ 5 ชิ้นเลนส์, ไฟแฟลชในตัว (Dual-LED Flash : True Tone), ขนาดของรูรับแสง (Aperture) กว้างสูงสุดที่ F/2.2, รองรับการถ่ายภาพวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD (2160p : 3840x2160 Pixels : 30 fps) และฟังก์ชัน Live Photos
- กล้องดิจิทัล FaceTime Camera ที่ด้านหน้าของตัวเครื่อง ความละเอียดระดับ 5 ล้าน Pixels (2592x1944 Pixels) พร้อมเซ็นเซอร์รับภาพแบบ Backside-illuminated Sensor (BSI), ขนาดของรูรับแสง (Aperture) กว้างสูงสุดที่ F/2.2, ฟังก์ชัน Retina Flash สำหรับการใช้ไฟของหน้าจอช่วยให้ความสว่างขณะถ่ายภาพ และรองรับการถ่ายภาพวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ HD 720p (1280x720 Pixels : 30 fps)
- มี 4 สีมาตรฐานให้เลือก (Rose Gold, Silver, Gold และ Space Gray)
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ iPhone 6s
- ราคาวางจำหน่ายค่อนข้างสูง หากเทียบกับสมาร์ทโฟนในระดับเดียวกัน และมีราคาเปิดตัวสูงกว่า iPhone 6 รุ่นเดิม
- ความละเอียดของหน้าจอค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนเรือธงจากแบรนด์อื่นๆ
- ไม่สามารถถอดฝาหลัง เพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้
- ไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกได้
- ไม่มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS (Optical Image Stabilization) (มีเฉพาะใน iPhone 6s Plus)
- แบตเตอรี่มีความจุเพียง 1715 mAh ซึ่งอาจจะน้อยเกินไปสำหรับสมาร์ทโฟนระดับสูงเช่นนี้
- ยังคงมีดีไซน์ภายนอกที่เหมือนกับ iPhone 6 รุ่นเดิมแทบทุกประการ
โปรดทราบ
* เครื่อง iPhone 6s ที่นำมารีวิวนี้ เป็น iPhone 6s 64GB เครื่องนอก (เครื่องหิ้ว) จากประเทศญี่ปุ่น *
สรุปคุณสมบัติเครื่อง
ท่านสามารถตรวจสอบคุณสมบัติแบบสรุป (Specification) ของ iPhone 6s และ iPhone 6s Plus ได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้
iPhone 6s Specification
iPhone 6s Plus Specification

:: ไปหน้าแรกเว็บไซต์ Thaimobilecenter
| ไปหน้าแรก
Mobile Focus ::
|