ตอนนี้คุณอยู่ที่ >> หน้าแรก >> หน้ารวม รีวิวมือถือ mobile review >> รีวิวมือถือ Mobile Review
   
Date : 30/01/2025

พรีวิว Samsung Galaxy S25 Ultra ยอดเรือธง Galaxy AI อัปเกรดใหม่ ปรับโฉมดีไซน์ครั้งใหญ่ ใส่ชิป Snapdragon 8 Elite for Galaxy ในราคาเท่าเดิม
 

สำหรับ Galaxy S25 Ultra เครื่องนี้ ก็เป็นสมาร์ตโฟนเรือธงตัวท็อปแห่งปี 2025 จากแบรนด์ Samsung ที่พวกเราทีมงาน Thaimobilecenter ต่างก็รอคอยการเปิดตัวอย่างใจจดใจจ่อเช่นเดียวกันกับทุกท่าน และในที่สุดวันนี้เราก็มีโอกาสได้นำเอา Galaxy S25 Ultra ตัวจริงเสียงจริงมาลองใช้งานเป็นครั้งแรกแล้ว ซึ่งในรอบนี้มีการปรับดีไซน์ครั้งใหญ่ และพัฒนาฟีเจอร์ Galaxy AI ให้นำหน้าคู่แข่งไปอีกขั้น เรียกว่ามาในเส้นทางของ AI Phone อย่างเต็มตัว รวมทั้งมีการปรับปรุงในจุดต่าง ๆ ให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ทั้งเรื่องการแสดงผล, การประมวลผล, การระบายความร้อน, กล้องถ่ายภาพ, กล้องวิดีโอ และอีกหลายอย่าง ดังนั้นเดี่ยวเราจะพรีวิวให้ชมกันในเบื้องต้นว่า Galaxy S25 Ultra นั้นพกทีเด็ดอะไรมานำเสนอบ้าง ไปติตดามกันได้เลยครับ

 

ดีไซน์ปรับครั้งใหญ่ ขอบจอบางเฉียบได้อีก พร้อมอัปเกรดความแข็งแกร่ง

ในปีที่แล้วหากเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงด้านดีไซน์ภายนอกจาก Galaxy S23 Ultra มาเป็น Galaxy S24 Ultra ก็ต้องบอกว่ายังดูไม่ชัดเจนเท่าไหร่ แต่สำหรับการเปลี่ยนแปลงจาก Galaxy S24 Ultra มาเป็น Galaxy S25 Ultra นั้นเห็นได้ชัดเจนกว่ามาก ไม่ว่าจะเป็น

 

วงแหวนครอบเลนส์กล้องด้านหลังที่ขยายใหญ่ขึ้น พร้อมการรมสีดำแบบเต็ม ๆ แนวเดียวกับ Galaxy Z Fold6 ซึ่งช่วยให้มอดูลกล้องมีภาพลักษณ์ที่ดูโปรดูจริงจังมากขึ้น

 

ขอบจอที่บางเฉียบกว่าเดิมราว 15% ทำให้แม้ตัวเครื่องจะกว้างน้อยลงเหลือ 77.6 มิลลิเมตร (เดิม 79 มิลลิเมตร) แต่พื้นที่หน้าจอกลับใหญ่ขึ้นเป็น 6.9 นิ้ว (เดิม 6.8 นิ้ว)

 

กระจกด้านหน้า-ด้านหลังที่อัปเกรดมาเป็น Corning Gorilla Armor 2 (เดิมใช้ Corning Gorilla Armor) ที่ทนทานกว่าเดิมราว 29%

 

มุมตัวเครื่องทั้ง 4 มุมที่ปรับจากแบบเหลี่ยม มาเป็นแบบโค้งมน ซึ่งช่วยให้เข้ากับอุ้งมือเวลาจับถือได้ดีขึ้น

 

กรอบด้านข้างตัวเครื่องที่เปลี่ยนมาเป็นแบบแบนเรียบสนิท ซึ่งสอดรับได้ลงตัวกับมอดูลกล้องที่ดูบึกบึนขึ้น และช่วยให้ตัวเครื่องโดยรวมมีภาพลักษณ์ที่ทันสมัยมากขึ้น เรียกว่าสวยดูดีขึ้นก็คงไม่ผิดนัก พร้อมให้ความรู้สึกในการจับถือที่แน่นกระชับมือมากกว่า Galaxy S24 Ultra ที่กรอบด้านข้างยังคงมีความโค้งมนอยู่

 

มีน้ำหนักที่เบาลงเหลือ 218 กรัม (เดิม 232 กรัม) จึงช่วยให้ถือได้เบาสบายมือมากขึ้น รวมทั้งตัวเครื่องบางเฉียบลงอีกเหลือ 8.2 มิลลิเมตร (เดิม 8.6 มิลลิเมตร) จึงช่วยลดการใช้พื้นที่ในกระเป๋าไปได้อีกนิด

 

ช่องลำโพงเสียงตัวหลักที่ด้านล่างที่ยาวขึ้นเล็กน้อย

 

ไมโครโฟน 2 ตัวที่ด้านบนตัวเครื่อง ที่ถูกขยับให้เข้ามาชิดกันมากขึ้น

 

โดย Galaxy S25 Ultra จะมี 4 สีมาตรฐานให้เลือก ได้แก่สี Titanium Silverblue (สีเดียวกับตัวเครื่องในพรีวิวนี้), Titanium Black, Titanium Whitesilver และ Titanium Gray ซึ่งเป็นชุดสีที่ดูเป็นงานเป็นการ ไม่เน้นความฉูดฉาด

 

แต่ถ้าหากต้องการสีตัวเครื่องที่ดูโดดเด่นขึ้นอีกนิด ก็จะมี 3 สีพิเศษให้เลือกเพิ่มเติม เฉพาะการสั่งซื้อแบบออนไลน์ ได้แก่สี Titanium Jetblack, Titanium Jadegreen และ Titanium Pinkgold

 

จริงอยู่ว่าการจัดวางตำแหน่งขององค์ประกอบต่าง ๆ โดยรวมจะยังคงยึดตามเลย์เอาต์เดิม แต่จากข้อมูลข้างต้นก็จะเห็นว่าหากเราเจาะลึกลงไปในรายละเอียดของส่วนต่าง ๆ แล้ว ก็นับว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าที่หลายคนจะนึกถึงเลยทีเดียว และการปรับดีไซน์ในรอบนี้ก็ช่วยให้ Galaxy S25 Ultra นั้นดูมีหน้าตาที่กลมกลืนกับพี่น้องที่คลอดตามกันมาอย่าง Galaxy S25 กับ Galaxy S25+ มากกว่าปีที่ผ่าน ๆ มาด้วย

 

จอใหญ่ขึ้นอีกนิด พร้อมนวัตกรรมกระจกเซรามิกที่สู้แสงได้ดีกว่าเดิม

ด้านจอแสดงผลของ Galaxy S25 Ultra ยังคงเลือกใช้เทคโนโลยีหน้าจอแบบ Dynamic AMOLED 2X LTPO เช่นเดิม เพียงแต่คราวนี้ที่กระจกด้านหน้าจะแบนเรียบสนิทแบบ 100% ในขณะที่รุ่นเดิมอย่าง Galaxy S24 Ultra ยังหลงเหลือส่วนโค้งอยู่เล็กน้อย และด้วยขอบหน้าจอที่บางเฉียบลงราว 15% จึงช่วยให้ได้พื้นที่หน้าจอมากขึ้นอีกเล็กน้อยเป็น 6.9 นิ้ว ในขณะที่ความกว้างของตัวเครื่องกลับน้อยกว่าเดิม

 

ต่อมาค่าความสว่างสูงสุดก็ยังคงเท่าเดิมที่ 2600 nits เพียงแต่คราวนี้กระจกหน้าจอนั้นถูกปรับปรุงใหม่ โดยนอกจากจะอัปเกรดมาเป็น Corning Gorilla Armor 2 แล้ว ก็ยังมาพร้อมกับนวัตกรรม Anti-Reflective Glass Ceramic (กระจกเซรามิก) ซึ่งปรับปรุงประสิทธิภาพของการลดแสงสะท้อน จึงช่วยให้การแสดงผลในที่กลางแจ้ง หรือในที่ที่มีแสงจ้ามีรายละเอียดที่ชัดเจนสวยงามมากขึ้นอีกพอสมควร

 

รวมทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ ProScaler ที่อาศัยการประมวลผลขั้นสูงของ AI Image Processing ซึ่งช่วยให้ประสิทธิภาพด้านการเพิ่มความละเอียดคมชัดมีคุณภาพมากขึ้นอีก 40% โดยที่เราไม่ต้องไปปรับตั้งค่าการแสดงผลแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีการผสมผสานเทคโนโลยี Digital Natural Image Engine (mDNIe) ที่ฝังอยู่ในหน่วยประมวลผล เข้ากับการใช้ Galaxy IP (Galaxy Image Processing) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานของจอแสดงผล

 

อีกฟีเจอร์ใหม่ที่ถูกใส่เพิ่มเข้ามาก็คือ Now Bar กับ Now Brief ที่มาพร้อมกับ One UI 7 โดย Now Bar ก็คือแถบแคปซูลด้านล่างของหน้าจอ Lock Screen ที่จะคอยแสดงข้อมูลล่าสุดของบางแอปพลิเคชันที่เราใช้งานอยู่ได้ เช่น Now Brief, เพลง, นาฬิกาจับเวลา, การบันทึกเสียง, กิจวัตรด้านสุขภาพ และอื่น ๆ นอกจากนี้ Now Bar ก็ยังสามารถแสดงการแจ้งเตือนสด (Live Notifications) ได้ด้วย เช่นนาฬิกาที่ตั้งไว้เหลือเวลาอีกเท่าไหร่ หรือบันทึกเสียงไปแล้วนานแค่ไหน รวมทั้งสามารถปัดขึ้นเพื่อเลือก Now Bar ที่ต้องการ กับแตะที่แถบ Now Bar ค้างไว้เพื่อแสดงตัวเลือกเพิ่มเติมได้ด้วย

 

โดยฟีเจอร์ไฮไลต์อย่าง Now Brief ก็เป็นเหมือนการ์ดสรุปเนื้อหาที่น่าสนใจของผู้ใช้แต่ละคนไว้ภายในหน้าเดียว ที่จะคอยอัปเดตตลอดทั้งวัน และแต่ละช่วงเวลาก็จะมีการสรุปข้อมูลที่แตกต่างกันไป โดยประเภทของเนื้อหาก็มีทั้งเรื่องสุขภาพ, การเดินทาง, กิจกรรม, งานที่ต้องทำ, กิจวัตร, เพลงแนะนำ, ข้อมูลการจราจร, ข่าวสาร, การติดต่อสื่อสาร, ช่วงเวลาสำคัญ, แกลเลอรี, ผลการแข่งขันกีฬา, สุขภาวะดิจิทัล และอื่น ๆ

 

นอกจากนี้ Now Bar กับการแจ้งเตือนสด (Live Notifications) ก็ไม่ได้มีอยู่ในเฉพาะหน้าจอ Lock Screen เท่านั้น แต่ในหน้าจอปกติ เราก็ยังสามารถเข้าถึง Now Bar จากแถบสถานะด้านบน หรือแผงการแจ้งเตือนได้เช่นกัน

 

อีกฟีเจอร์ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกได้ก็คือ Edge Panel ด้านข้างหน้าจอ ที่จะรวมทางลัดสำหรับการเข้าถึงฟีเจอร์สำคัญ ๆ เอาไว้ให้เราเข้าถึงได้แบบด่วน ๆ เช่น AI Select, Now Brief, Drawing Assist, Interpreter และอื่น ๆ ซึ่งรายการของทางลัดตรงนี้เราสามารถปรับแต่งเองได้ตามต้องการ

 

ยังคงมาพร้อมปากกา S Pen แต่ตัดการควบคุมแบบไร้สายออกไป

สำหรับปากกา S Pen ก็ยังคงติดมาให้ใช้งานกันเช่นเคยใน Galaxy S25 Ultra โดยลักษณะของปลายด้ามปากกาก็มีลักษณะเป็นวงรีเช่นเดิม แต่ก็ดูผอมเพรียวลงเล็กน้อย

 

อย่างไรก็ดีสิ่งที่น่าเสียดายอย่างหนึ่งก็คือในรอบนี้ปากกา S Pen นั้นดูเหมือนจะถูกลดความสำคัญลง โดยทาง Samsung เลือกที่จะตัดการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth กับแบตเตอรี่ในตัวออกไป ดังนั้นจึงไม่รองรับการควบคุมแบบไร้สายเหมือนกับหลาย ๆ รุ่นที่ผ่านมา ซึ่งเหตุผลเท่าที่ทราบก็คือทาง Samsung นั้นได้ทำการเก็บสถิติแล้วพบว่าผู้ใช้งานแทบไม่ได้ใช้ฟีเจอร์ควบคุมไร้สายด้วยปากกา S Pen จึงได้ตัดสินใจตัดความสามารถนี้ออกไป แล้วเอาไปเสริมความสามารถในด้านอื่นแทน

 

Galaxy AI อัปเกรดใหม่ ดั่งได้ผู้ช่วยคนใหม่ พร้อมใช้งานที่สุดในวงการ

จุดขายที่สำคัญที่สุดในการมาของ Galaxy S25 Ultra ในรอบนี้จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกเสียจากเรื่องความสามารถของ AI หรือ Galaxy AI ซึ่งแต่เดิมเรื่อง AI นี้ก็พูดได้อย่างเต็มปากว่ายืนหนึ่งในวงการ และได้ถูกอัปเกรดความสามารถให้ครบเครื่องยิ่งขึ้นไปอีกขั้นใน Galaxy S25 Ultra โดยเน้นความสามารถของการเป็น Galaxy AI Assist หรือเป็นผู้ช่วยส่วนตัว

 

สิ่งที่น่าสนใจอย่างแรกก็คือการนำ Gemini Advanced ผู้ช่วยอัจฉริยะรุ่นพิเศษ ที่อัปเกรดความสามารถให้ฉลาดขึ้นกว่า Gemini รุ่นพื้นฐานมาใส่ไว้ให้เราได้ใช้งานกันแบบฟรี ๆ ถึง 6 เดือน โดยการเรียกใช้งาน Gemini ก็ง่าย ๆ เพียงแค่กดปุ่ม Power ที่ด้านข้างตัวเครื่องค้างเอาไว้ Gemini ก็พร้อมช่วยเหลือแล้ว และที่สำคัญคือรองรับภาษาไทยได้ตั้งแต่แกะกล่อง รองรับทั้งการพูด และการพิมพ์ รวมแล้วรองรับได้ถึง 45 ภาษาทั่วโลก ส่วนภาษาที่สามารถแปลสดด้วยฟีเจอร์ Call Assist ระหว่างการโทรนั้นจะรองรับเพิ่มเป็น 20 ภาษา จากเดิมที่ 16 ภาษา

 

ซึ่งความโดดเด่นของการใช้งาน Gemini บน Galaxy S25 ที่แตกต่างจากคู่แข่งก็คือสามารถใช้งานข้ามแอปพลิเคชัน (Cross App) กับแอปพลิเคชันของ Samsung (Samsung Native App) ได้แบบไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชัน Samsung Reminder, Samsung Calendar, Samsung Notes และแอปพลิเคชันอื่น ๆ รวมทั้งแอปพลิเคชัน 3rd Party อีกหลายตัว

 

ตัวอย่างเช่นหากเราไม่มีเวลาดูคลิปวิดีโอยาวเป็นชั่วโมงบน YouTube แต่อยากรู้ใจความสำคัญในภาพรวม เราก็สามารถสั่งให้ Gemini ทำการสรุปข้อมูลให้ได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังสั่งให้บันทึกข้อมูลที่สรุปไว้ใน Samsung Notes ได้ทันที

 

หรือเราสามารถสั่งให้ Gemini เปิดเพลงที่เราต้องการฟัง โดยส่งงานต่อไปที่แอปพลิเคชัน Spotify ได้ รวมทั้งถ้าอยากรู้ตารางทัวร์คอนเสิร์ตในปีนี้ของศิลปินคนที่เราฟังอยู่ เราก็สามารถให้ Gemini ช่วยสรุปออกมาได้อย่างรวดเร็ว และสามารถสั่งให้บันทึกกำหนดการในวันต่าง ๆ ลงใน Samsung Calendar ต่อได้อีกต่างหาก

 

ความสามารถใหม่อีกอย่างที่เพิ่มเข้ามาของ Gemini ก็คือเราสามารถค้นหาข้อมูลของเพลงที่ชอบได้ด้วยเสียง ทั้งการเล่นเพลงนั้นให้ฟัง, การร้องเพลงนั้นให้ฟัง หรือแม้กระทั่งแค่การฮัมเพลงง่าย ๆ ให้เป็นทำนองก็ยังได้

 

มีฟีเจอร์ Gemini Live ที่เป็นราวกับเพื่อนที่คุยกับเราแบบสด ๆ ได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าเราจะแค่อยากหาเพื่อนคุยคลายเหงา หรืออยากจะถามข้อมูลอะไรก็ได้ทั้งนั้น

 

ฟีเจอร์ Circle to Search นอกจากจะรองรับการลากเส้นล้อมรอบสิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอที่เราต้องการค้นหาข้อมูลได้เช่นเดิมแล้ว ก็ยังรองรับการค้นหาเพลง และค้นหาสิ่งอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ด้วย

 

โดยจริง ๆ แล้ว สำหรับ Gemini Advanced นั้นเป็นฟีเจอร์ที่ปกติเราต้องเสียค่าบริการเดือนละ 750 บาท แต่ Galaxy S25 นั้นมีให้ใช้งานฟรีถึง 6 เดือน แถมยังมาพร้อมกับพื้นที่เก็บข้อมูลบน Cloud อีกถึง 2TB ซึ่งหากคำนวณราคาแล้วก็รวมเป็น 4,500 บาท เลยทีเดียว เพียงแต่เราต้องสมัครใช้งานภายในวันที่ 31 มกราคม 2569 ผ่านทางแอปพลิเคชัน Gemini โดยจะนับเวลาตั้งแต่วันที่เริ่มใช้งาน Gemini Advanced วันแรก ส่วนใครที่เคยสมัครไว้แล้วก่อนหน้านี้ ก็สามารถสมัครรับสิทธิ์ได้อีกเช่นกัน ส่วน Galaxy AI ของทาง Samsung เอง เช่น Photo Assist ที่ใช้สำหรับการปรับแต่งรูป, Interpreter ที่ใช้สำหรับช่วยแปลภาษา และฟีเจอร์อื่น ๆ จะสามารถใช้งานได้ฟรีถึงสิ้นปีนี้ (31 ธันวาคม 2568)

 

ฟีเจอร์ใหม่ของ Galaxy AI ที่น่าสนใจเป็นพิเศษอย่างหนึ่งก็คือ Audio Eraser ซึ่งเป็นเหมือนสตูดิโอปรับแต่งเสียงเคลื่อนที่ เพราะ AI สามารถวิเคราะห์ พร้อมจำแนกเสียงประเภทต่าง ๆ ภายในคลิปวิดีโอได้อย่างชาญฉลาด จนเราสามารถเลือกลบ หรือลดระดับเสียงรบกวนที่ไม่ต้องการในวิดีโอได้ง่าย และให้ผลลัพธ์ที่ดีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูด, เสียงเพลง, เสียงลม, เสียงธรรมชาติ, เสียงฝูงชน และเสียงรบกวนอื่น ๆ อีกทั้งยังไม่จำกัดว่าต้องเป็นคลิปวิดีโอที่บันทึกจากกล้องของ Galaxy S25 Ultra แต่อย่างใด

 

อีกฟีเจอร์ทีเด็ดก็คือ Best Face ที่เหมาะสำหรับการถ่ายรูปหมู่ ซึ่งมักจะมีปัญหาเรื่องใบหน้าของใครบางคนไม่พร้อม อาจหลับตาบ้าง, มองไปทางอื่นบ้าง หรือหน้ายังไม่เป๊ะบ้าง ซึ่งแต่เดิมพลาดแล้วก็คือพลาดเลย แต่ด้วยฟีเจอร์ Best Face แม้จังหวะที่กดชัตเตอร์จะพลาดไป แต่ก็มีโอกาสกลับมาแก้ไขใหม่ได้ ด้วยการเลือกใบหน้าที่ดีที่สุดของแต่ละคนในภายหลัง เพียงแต่ตอนที่กดถ่ายเราต้องเปิดใช้งานฟังก์ชัน Motion Photo เอาไว้ด้วย

 

มีฟีเจอร์ Drawing Assist ที่ช่วยให้ทุกคนสามารถสร้างภาพวาดสวย ๆ ในสไตล์ต่าง ๆ ได้แบบง่าย ๆ ด้วย AI โดยอาศัยทักษะการวาดรูปเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น เรียกว่าแค่วาดลายเส้นง่าย ๆ แบบเด็กน้อย AI ก็รู้แล้วว่าเราต้องการภาพอะไร และนำไปประมวลผลสร้างภาพสวย ๆ ต่อได้แล้ว

 

มีฟีเจอร์ Writing Assist ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยแต่งประโยค หรือบทสนทนาให้เราในสไตล์ต่าง ๆ, ช่วยปรับความถูกต้องสมบูรณ์ให้กับประโยค และแปลเป็นภาษาอื่น ๆ ตามที่เราต้องการ

 

สามารถให้ AI ช่วยสรุปเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้ด้วยฟีเจอร์ Browsing Assist รวมทั้งสามารถให้ AI ช่วยแปล หรือช่วยอ่านออกเสียงเนื้อหาให้เราฟังได้ด้วย โดยรองรับการใช้งานเฉพาะกับ Samsung Internet เท่านั้น

 

อัปเกรดกล้อง Ultra Wide พร้อมการบันทึกวิดีโอแบบ 10-bit HDR และ Galaxy Log

หนึ่งในสิ่งที่หลายคนคาดหวังอยากให้อัปเกรดมาใน Galaxy S25 Ultra มากเป็นพิเศษก็คือกล้อง เช่นอยากให้เพิ่มขนาดของเซนเซอร์กล้องหลักเป็นขนาด 1 นิ้ว หรือเพิ่มความละเอียดของกล้อง Telephoto ให้พอฟัดพอเหวี่ยงกับเรือธงตัวท็อปแบรนด์อื่น ๆ บ้าง แต่สุดท้ายแล้วทาง Samsung ก็ยังคงเลือกใช้เซนเซอร์กล้องหลัก กับกล้อง Telephoto ตัวเดิม แล้วเลือกที่จะอัปเกรดกล้อง Ultra Wide แทน โดยให้เหตุผลว่ากล้อง Ultra Wide นั้นเป็นกล้องที่ใช้งานบ่อยรองจากกล้องหลัก จึงให้ความสำคัญกับส่วนนี้ก่อน

 

โดยกล้อง Ultra Wide บน Galaxy S25 Ultra นั้นได้ถูกอัปเกรดมาใช้เซนเซอร์ความละเอียด 50 ล้านพิกเซลแทน (เดิม 12 ล้านพิกเซล) พร้อมรูรับแสงที่กว้างขึ้นเป็นขนาด f1.9 (เดิม f2.2) ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากการอัปเกรดครั้งนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว เพราะคุณภาพของภาพ หรือวิดีโอที่ได้จากกล้อง Ultra Wide เมื่อเปรียบเทียบกับ Galaxy S24 Ultra นั้นถือว่าดีขึ้นมาก ทั้งรายละเอียด, แสง, สีสัน หรือมิติของภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเทียบกันในที่แสงน้อย หรือในตอนกลางคืนด้วยแล้ว ก็จะเห็นพัฒนาการที่ชัดเจนยิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยให้การถ่ายภาพ Macro มีคุณภาพที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน

 

นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี Spatio-Temporal Filter ที่จะนำ AI มาช่วยจัดการกับ Noise ช่วยให้เราสามารถบันทึกวิดีโอตอนกลางคืน หรือในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น จุดรบกวนน้อยลง เบลอน้อยลง รวมทั้งระหว่างที่เราซูมเข้า-ซูมออกเพื่อเปลี่ยนระยะขณะบันทึกวิดีโอ ก็จะมีความลื่นไหลต่อเนื่องมากขึ้นเนื่องจากตัว AI จะช่วยเพิ่มเฟรมเข้าไประหว่างเปลี่ยนระยะเลนส์

 

ไม่เพียงเท่านั้น กล้องวิดีโอของ Galaxy S25 Ultra ก็นับว่าเหมาะสำหรับการนำไปใช้งานในระดับมืออาชีพมากขึ้น ด้วยการรองรับการบันทึกวิดีโอแบบ Galaxy Log หรือแบบไฟล์ Log อย่างที่เราคุ้นเคยกัน ซึ่งไฟล์ประเภทนี้สามารถเก็บรายละเอียดได้มากกว่าปกติ และเหมาะสำหรับการนำไปเกรดสีในภายหลังสำหรับงานที่จริงจัง

 

รวมทั้งยังเปลี่ยนค่าเริ่มต้นของการบันทึกวิดีโอมาเป็นแบบ 10-bit HDR จากเดิมที่เป็นแบบ 8-bit HDR ดังนั้นจึงช่วยให้วิดีโอที่ถ่ายออกมาดูมีไดนามิกที่ดีขึ้น, ดูสวยขึ้น และมีสีสันที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน

 

อีกเรื่องที่หลายคนอยากทราบก็คือการซูมดีขึ้นบ้างหรือไม่ ในเมื่อกล้อง Telephoto ทั้ง 2 กล้องยังคงใช้ฮาร์ดแวร์ตัวเดิม โดยเท่าที่มีโอกาสได้ทดสอบการซูม แม้จะซูมได้สูงสุดที่ระยะ 100x (100 เท่า) เช่นเดิม แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นดูมีความคมชัดมากขึ้น ซึ่งก็น่าจะเป็นผลมาจากการประมวลผลของ Galaxy AI ที่ฉลาดขึ้น และชิปเซ็ตใหม่ที่สามารถประมวลผล AI ได้ดีขึ้นนั่นเอง ดังตัวอย่างที่ด้านล่างนี้

ตัวอย่างภาพถ่ายจากการทดสอบการซูม ณ เวลาประมาณ 18.00 น. (พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน) ที่ระยะการซูม 0.6x, 1x, 2x, 3x, 5x, 10x, 30x, 50x และ 100x ตามลำดับ

 

มีฟีเจอร์ Virtual Aperture ที่เราสามารถปรับค่ารูรับแสงได้เองตั้งแต่ f1.4-f16 ด้วยการนำซอฟต์แวร์มาช่วยประมวลผล จึงช่วยให้เราเลือกได้ว่าจะถ่ายภาพแบบชัดตื้น หรือแบบชัดลึก ตามความเหมาะสมของหน้างาน

 

สำหรับการถ่ายภาพบุคคล หรือภาพ Portrait ผลลัพธ์ที่ออกมาเท่าที่ดูก็ถือว่าได้ผิวหน้าที่ดูกระจ่างสดใสมากขึ้น จากเดิมที่อาจจะดูหม่น ๆ อยู่บ้าง ซึ่งก็น่าจะตอบโจทย์สายพอร์ตเทรตได้ดีกว่าเดิม

ตัวอย่างภาพพอร์ตเทรตในตอนกลางคืน

 

ส่วนกล้องด้านหน้าก็ยังคงเลือกใช้ฮาร์ดแวร์ตัวเดิม นั่นคือเป็นกล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/3.2 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f2.2 และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel PDAF ซึ่งเราก็มีตัวอย่างภาพเซลฟี่ในตอนกลางคืนมาให้ชมกันเล็กน้อย

ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่จากกล้องหน้า ด้วยการปิดฟังก์ชัน Beauty, ใช้ฟังก์ชัน Beauty ระดับกลาง และใช้ฟังก์ชัน Beauty ระดับสูงสุด ตามลำดับ

 

ตัวอย่างภาพถ่ายอื่น ๆ จากกล้องหลังของ Galaxy S25 Ultra

 

เร็วแรงขั้นสุดด้วยชิปเซ็ต Snapdragon 8 Elite ที่ถูกปรับแต่งมาโดยเฉพาะ

อีกสิ่งที่น่าจะถูกใจคนชอบของแรงก็คือ Galaxy S25 Ultra นั้นมาพร้อมกับชิปเซ็ตที่เร็วแรงที่สุดในฝั่งแอนดรอยด์ ณ ชั่วโมงนี้ นั่นคือ Snapdragon 8 Elite for Galaxy ที่ถูกปรับแต่งมาให้แรงขึ้นกว่า Snapdragon 8 Elite เวอร์ชันปกติอีกเล็กน้อย โดยหากเทียบกับชิปเซ็ตรุ่นเดิมอย่าง Snapdragon 8 Gen 3 ใน Galaxy S24 Ultra ก็จะมีประสิทธิภาพของ CPU ที่ดีขึ้น 37%, GPU ดีขึ้น 30% และ NPU ดีขึ้น 40% เรียกว่าทั้งเร็วแรงขึ้น และประมวลผลการทำงานด้าน AI ได้ดีขึ้นด้วย

 

ระบบระบายความร้อนใหญ่กว่าเดิม รับงานหนักสบายหายห่วง

ถึงชิปเซ็ตจะแรง แต่เครื่องไม่ร้อน เพราะ Galaxy S25 Ultra นั้นได้ทำการอัปเกรดระบบระบายความร้อนให้ดีกว่าเดิม ด้วยพื้นที่ของ Vapor Chamber ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 40% หรือ 1.4 เท่า ซึ่งเท่าที่ได้ทดสอบการใช้งานที่ต้องอาศัยการประมวลผลหนัก ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่นเปิดกล้องนาน ๆ หรือเล่นเกมกราฟิกระดับสูง จับหลังเครื่องดูอย่างมากก็จะรู้สึกอุ่น ๆ เรียกว่าจัดการกับความร้อนได้ดีกว่าเดิม

 

รองรับมาตรฐาน Qi2 Ready ชาร์จแบตเตอรี่ไร้สายสะดวกขึ้น

เกี่ยวกับแบตเตอรี่ก็มีการอัปเกรดให้เล็กน้อย ด้วยการรองรับมาตรฐาน Qi2 Ready (Qi 2.1) ซึ่งก็น่าเสียดายที่ไม่ได้เป็นมาตรฐาน Qi2 แบบเต็มตัว เพราะไม่ได้มีแม่เหล็กฝังอยู่ด้านในตัวเครื่อง แต่ต้องอาศัยอุปกรณ์เสริมอย่างเคสที่มีวงแหวนแม่เหล็กแทน เช่นเคส Clear Magnet Case ของ Samsung เอง หรือไม่ก็ต้องเป็นเคสจากแบรนด์ 3rd Party หลาย ๆ รุ่นที่ผลิตมารองรับกับ Galaxy S25 Ultra จึงจะสามารถใช้งานกับแท่นชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi2 ได้ อย่างไรก็ดี ความเร็วสูงสุดของการชาร์จแบบไร้สายก็ยังคงอยู่ที่ 15W เช่นเดิม รวมทั้งคุณสมบัติในด้านอื่น ๆ เกี่ยวกับแบตเตอรี่ก็ยังคงเดิม ทั้งขนาดของแบตเตอรี่ที่ 5000mAh, ความเร็วของการชาร์จผ่านสายสูงสุดที่ 45W และความเร็วของการแชร์พลังงานแบบไร้สายให้กับอุปกรณ์อื่นสูงสุดที่ 4.5W

 

ลำโพงเสียงดีขึ้น มิติเสียงดีขึ้น มีพลังขึ้น

อีกหนึ่งการปรับปรุงที่สัมผัสได้ก็คือคุณภาพเสียงที่ออกมาจากลำโพงภายนอก แน่นอนว่าเป็นลำโพงเสียงแบบคู่ (Stereo Speakers) เหมือนเดิม แต่เท่าที่ได้ลองฟังดูก็พบว่าคุณภาพเสียงโดยรวมนั้นดีขึ้นอย่างสังเกตได้ ทั้งรายละเอียดของเสียง มิติเสียง และพลังเสียง ซึ่งคาดว่าทาง Samsung ก็น่าจะพอทราบข้อมูลว่าลำโพงก่อนหน้านี้ให้เสียงค่อนข้างแบน จึงได้ทำการปรับปรุง หรือปรับจูนมาใหม่ให้ลงตัวมากขึ้น

 

รับประกันการอัปเดตยาวนานสูงสุด 7 ปี

นอกจาก Galaxy S25 Ultra จะมาพร้อมกับซอฟต์แวร์ใหม่ล่าสุดอย่าง One UI 7 ที่ครอบทับอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 15 ตั้งแต่แกะกล่อง อีกหนึ่งไพ่เด็ดของเรือธงรุ่นนี้ก็คือทาง Samsung นั้นรับประกันการอัปเกรดระบบปฏิบัติการให้มากถึง 7 รุ่น รวมทั้งจะมีการอัปเดตระบบความปลอดภัยให้นานถึง 7 ปี เรียกว่าเหมาะกับการถือใช้งานแบบยาว ๆ หลายปี โดยที่ซอฟต์แวร์ยังคงสดใหม่อยู่ตลอด ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาวก็ว่าได้

 

ได้รุ่นใหม่ ในราคาเท่ารุ่นเดิม

ข่าวดีอีกอย่างหลังจากการประกาศราคาของ Galaxy S25 Ultra อย่างเป็นทางการในประเทศไทยก็คือ ราคาค่าตัวของทุกรุ่นย่อยยังคงเท่าเดิมเมื่อเทียบกับ Galaxy S24 Ultra ไม่ปรับเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ดังนี้

- Galaxy S25 Ultra รุ่น RAM 12GB+ROM 256GB ราคา 46,900 บาท
- Galaxy S25 Ultra รุ่น RAM 12GB+ROM 512GB ราคา 52,900 บาท
- Galaxy S25 Ultra รุ่น RAM 12GB+ROM 1TB ราคา 62,900 บาท

 

พร้อมโปรโมชันสั่งซื้อล่วงหน้า อัปเกรดความจุ 2 เท่าทันที กับสิทธิพิเศษ มูลค่ารวมสูงสุด 23,882 บาท ดังนี้

- อัปเกรดความจุ 2 เท่ามูลค่าสูงสุด 10,000 บาท
- ส่วนลดลูกค้าใหม่สูงสุด 3,500 บาท เมื่อสั่งซื้อครั้งแรกผ่านแอป Samsung Shop หรือส่วนลด 3,000 บาท เมื่อสั่งซื้อผ่าน samsung.com
- รับส่วนลด Galaxy Watch | Buds 30% จากราคาเต็ม เมื่อแลกซื้อพร้อมกับสมาร์ตโฟน และส่วนลดเคสสมาร์ตโฟนทันที 25%
- รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 8% เมื่อผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ
- ลดเพิ่มสูงสุด 5,000 บาท
- รับ Samsung Rewards เพิ่ม 3,000 คะแนน พร้อมคะแนนสะสมสูงสุด 5% ในทุกยอดการสั่งซื้อ | ใช้คะแนนแลกได้ส่วนลดเพิ่ม 2 เท่า
- ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30,000 บาท กับโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม - 28 กุมภาพันธ์ 2025
- รับ Samsung Care+ ฟรี 1 ปี เมื่อกรอกโค้ดลงทะเบียนแสดงความสนใจพร้อมส่งตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2025
- Samsung Care+ ปีที่ 2 ลด 55% (เหลือ 3,490 บาท จากปกติ 7,690 บาท)

ท่านใดสนใจสามารถแวะไปสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Samsung Experience Store, ร้านค้าที่ร่วมรายการ และ Samsung.com

 

สรุปประสบการณ์หลังใช้งาน Galaxy S25 Ultra ในเบื้องต้นผล

 

และทั้งหมดนี้ก็คือสิ่งที่น่าสนใจหลัก ๆ ของ Galaxy S25 Ultra ที่เราได้พรีวิวให้ได้ทราบกันในเบื้องต้น ซึ่งโดยรวมแล้ว Galaxy S25 Ultra นั้นก็ยังคงเป็นสมาร์ตโฟน AI ที่ดีที่สุดในวงการอยู่เช่นเดิม และดีกว่าที่เคยเป็นมา ส่วนดีไซน์นั้นก็เปลี่ยนไปพอสมควรจนสังเกตได้ไม่ยาก ดูทันสมัยมากขึ้น เพียงแต่ด้วยมุมเหลี่ยมที่หายไป ก็อาจจะทำให้บางคนรู้สึกแปลกตาไปบ้าง

จุดอื่น ๆ ที่น่าประทับใจก็มีอีกไม่น้อยไม่ว่าจะเป็นจอที่แสดงผลได้คมชัดขึ้นในที่กลางแจ้ง, ได้ชิปเซ็ตที่แรงที่สุดในฝั่งแอนดรอยด์, เครื่องร้อนน้อยลงเมื่อต้องใช้งานหนัก ๆ, กล้อง Ultra Wide ถ่ายได้ดีขึ้นชัดเจน ทั้งภาพนิ่ง และวิดีโอ โดยเฉพาะในที่แสงน้อย, โหมดพอร์ตเทรตถ่ายผิวหน้าคนออกมาดูสดใสกว่าเดิม, การซูมของกล้องวิดีโอลื่นไหลต่อเนื่องขึ้น รวมทั้งรองรับ Galaxy Log กับ 10-bit HDR, ลำโพงเสียงดีขึ้น และในด้านของซอฟต์แวร์ กับ UX/UI ก็ถือว่าลงตัว และใช้งานได้ดีที่สุดในกลุ่มแอนดรอยด์เช่นเดิม อีกทั้งทาง Samsung ยังรับประกันการอัปเดตซอฟต์แวร์ให้นานถึง 7 ปี เรียกว่าถือใช้งานได้ยาว ๆ

นอกจากจุดที่ประทับใจแล้ว แน่นอนว่าก็ยังมีจุดที่รู้สึกว่ายังขาดหายไปอยู่บ้าง เช่นความคมชัดของภาพจากการซูมระยะไกล ๆ ซึ่งอาจจะยังเป็นรองเรือธงซูมเทพคู่แข่งบางรุ่นอยู่, ขนาดเซนเซอร์กล้องหลักที่ยังคงไปไม่ถึงระดับ 1 นิ้ว, ปากกา S Pen ที่โดนหั่นการควบคุมแบบไร้สายออกไป ไม่เน้นเหมือนรุ่นที่ผ่าน ๆ มา, ความเร็วของการชาร์จที่ยังไม่เพิ่มไปตามยุคสมัย และการชาร์จกับแท่นชาร์จมาตรฐาน Qi2 ยังคงเป็นเพียงแบบ Qi Ready (Qi 2.1) ซึ่งต้องอาศัยเคสแม่เหล็กเสริมเพื่อใช้งาน

สรุปแล้ว Galaxy S25 Ultra ก็ยังคงเป็นเรือธงฝั่งแอนดรอยด์ที่ใช้งานได้ดีเยี่ยมในภาพรวม และ AI ใช้ได้จริงที่สุด ใครที่ไม่เน้นว่ากล้องต้องถ่ายภาพได้ดีที่สุด หรือไม่เน้นว่าต้องชาร์จเร็วที่สุด และมีงบประมาณค่อนข้างสูง เน้นความคุ้มค่าในระยะยาว ไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องบ่อย เรือธงรุ่นนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน ส่วนรีวิวฉบับเต็มรอติดตามได้ในเร็ว ๆ นี้ครับ

 

สรุปคุณสมบัติของ Samsung Galaxy S25 Series

ท่านสามารถตรวจสอบคุณสมบัติโดยละเอียด (สเปก) และราคา ของ Samsung Galaxy S25 Series ทุกรุ่นได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้

สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ Samsung Galaxy S25 Ultra

สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ Samsung Galaxy S25+

สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ Samsung Galaxy S25

 

วันที่ : 30/01/2025

Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy