รีวิว Samsung Galaxy S24 Ultra หลังใช้ 1 เดือน ยอดเรือธง Galaxy AI ยุคใหม่ พร้อมการอัปเกรดกล้อง ดีไซน์ และฟีเจอร์ภายในให้ลงตัวกว่าเดิม
สำหรับ Samsung Galaxy S24 Ultra เรียกว่าเป็นสมาร์ตโฟนเรือธงตัวท็อปใหม่ล่าสุดแห่งตระกูล Galaxy S-Series ที่ปูทางมาด้วยคอนเซ็ปต์ของ Galaxy AI อย่างเต็มตัว ด้วยฟีเจอร์ยุคใหม่ของระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) มากมายที่อัดแน่นอยู่ภายใน ซึ่งหลังจากที่เรามีโอกาสได้ใช้งานมาร่วมเดือน บ่อยครั้งก็รู้สึกได้ว่าเหมือนกับมีพลังพิเศษอยู่ในมือ แต่ก็ไม่เพียงแค่ Galaxy AI เท่านั้น เพราะ Galaxy S24 Ultra ยังมีการอัปเกรดอีกหลายอย่างให้ลงตัว และตอบโจทย์ได้ดีกว่าเดิม ตั้งแต่การปรับปรุงรายละเอียดของดีไซน์ภายนอก, การเปลี่ยนวัสดุมาเป็นไทเทเนียม, การเปลี่ยนมาใช้จอแบน, การอัปเกรดกล้อง Periscope ชุดใหม่, การอัปเกรดพลังของการประมวลผล และที่สำคัญคือการันตีการอัปเดตซอฟต์แวร์ยาวนานถึง 7 ปี เรียกว่าเป็นแรงจูงใจอย่างดีสำหรับใครก็ตามที่อยากหาสมาร์ตโฟนเรือธงสักเครื่องมาใช้งานในระยะยาว ดังนั้นในรีวิวนี้เราจะมาสรุปให้ดูกันว่า Galaxy S24 Ultra นั้นมีความน่าสนใจตรงไหน, มีอะไรใหม่, คุ้มค่าหรือไม่ และเหมาะกับใคร ไปติดตามกันได้เลยครับ
ปรับดีไซน์ใหม่ในเลย์เอาท์เดิม พร้อมอัปเกรดความแกร่งด้วยวัสดุไทเทเนียม
เรื่องดีไซน์ภายนอก ถ้าไม่นับเรื่องชุดสีตัวเครื่องที่เปลี่ยนไป หากมองแบบผ่าน ๆ ก็ต้องยอมรับว่าแยกออกได้ยากว่ารุ่นไหนคือ Galaxy S24 Ultra หรือ Galaxy S23 Ultra เพราะเลย์เอาท์โดยรวมเหมือนกันแทบทุกอย่าง แต่เมื่อได้จับถือ และมองกันใกล้ ๆ ก็ต้องบอกว่าต่างกันค่อนข้างชัดเจนเลยทีเดียว ปัจจัยสำคัญอย่างแรกก็คือการเปลี่ยนมาใช้จอแบบแบนแทน แต่ก็ไม่ถึงกับแบนราบ 100% เนื่องจากทาง Samsung ต้องการให้จับถือได้ถนัดมือด้วย
รวมทั้งด้านหลังตัวเครื่องก็ถูกปรับให้แบนราบด้วยเช่นกัน ซึ่งส่งผลให้ความโค้งของกรอบด้านข้างนั้นลดลงไปมาก ตลอดจนทำให้ตัวเครื่องบางลงเหลือ 8.6 มิลลิเมตร จากเดิมที่ 8.9 มิลลิเมตร ส่วนกรอบด้านบนกับด้านล่างของตัวเครื่องนั้นก็ยังคงแบนสนิทเช่นเดิม ดังนั้นโดยรวมเวลาจับถือจะรู้สึกได้ทันทีว่าตัวเครื่องมีความเหลี่ยมมากขึ้นไปอีก เพราะจากเดิมก็ถือว่ามีความเหลี่ยมมากอยู่แล้ว
สิ่งต่อมาที่แตกต่างอย่างชัดเจนก็คือกรอบด้านข้างที่เปลี่ยนมาใช้โลหะไทเทเนียม โดยเป็นไทเทเนียมเกรด 2 ที่มีความบริสุทธิ์สูงเกือบ 100% ซึ่งนอกจากจะแข็งแรงทนทานกว่าวัสดุเดิมอย่างโลหะ Armor Aluminum แล้ว ก็ยังมีพื้นผิวที่กลายมาเป็นแบบด้าน ไม่ได้มันวาวเหมือนเดิม ดังนั้นจึงให้สัมผัสที่ต่างออกไป และมีข้อดีคือเกิดรอยนิ้วมือ หรือคราบเปื้อนได้ยากกว่า
ส่วนเรื่องน้ำหนักตัว จริง ๆ แล้วเมื่อเปลี่ยนมาเป็นไทเทเนียม ก็ควรจะเบาลงพอสมควร แต่ทาง Samsung ต้องการเน้นความทนทานมากกว่าน้ำหนัก ผลที่ออกมาจึงเบาลงเพียงแค่ 2 กรัม เหลือ 232 กรัม จากเดิมที่ 234 กรัม หรือแทบจะหนักเท่าเดิมเลยนั่นเอง
และด้วยการที่กรอบด้านข้างมีความแบนกว่าเดิม จึงทำให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นหากสังเกตกันดี ๆ ปุ่มกดที่ด้านข้าง ทั้งปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่มพาวเวอร์นั้นจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าเดิม ช่วยให้กดได้ง่ายกว่าเดิม
นอกจากนี้ลำโพงเสียงตัวหลักที่ด้านล่างของตัวเครื่องก็ถูกเปลี่ยนดีไซน์จากแบบ 6 รู ให้กลายมาเป็นรูแนวยาวเพียงรูเดียว ซึ่งเท่าที่ได้ลองฟังดู เสียงจะมีระดับความดังที่มากกว่าเดิม ในขณะที่เสียงทุ้ม หรือเสียงเบสจะน้อยลง แต่คุณภาพเสียงโดยรวมนั้นก็ยังคงดีเยี่ยมในระดับหัวแถว และอีกอย่างที่ถูกปรับเปลี่ยนไปก็คือไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวน จากเดิมใน Galaxy S23 Ultra นั้นถูกจับแยกอยู่ที่ด้านล่าง 1 ตัว กับด้านบน 1 ตัว แต่คราวนี้ถูกย้ายเอาไปไว้รวมกันทั้ง 2 ตัวที่ด้านบนแทน ซึ่งทาง Samsung ก็คงทดสอบมาแล้วว่าให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
ด้านชุดสีของตัวเครื่อง รอบนี้ก็ถูกปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด โดยมีให้เลือกรวมทั้งหมด 7 สีด้วยกัน แบ่งออกเป็น 4 สีมาตรฐาน ได้แก่ Titanium Gray, Titanium Black, Titanium Violet และ Titanium Yellow กับอีก 3 สีพิเศษ ได้แก่ Titanium Blue, Titanium Green และ Titanium Orange เรียกว่าอยากได้อารมณ์แบบไหนก็มีให้เลือกครบ ส่วนคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นก็ยังคงมั่นใจได้ในมาตรฐานเดิมคือ IP68 ทั้งตัวเครื่อง และ ปากกา S Pen
S Pen ยังใส่มาเหมือนเดิม เพิ่มเติมด้วยการปรับดีไซน์ใหม่ให้เข้ากับตัวเครื่อง
สำหรับปากกา S Pen แน่นอนว่ายังคงมีอยู่เช่นเดิม พร้อมช่องเก็บ S Pen ในตัว แต่มีการปรับดีไซน์ใหม่เล็กน้อยที่ปลายด้ามปากกา โดยจากเดิมใน Galaxy S23 Ultra จะมีลักษณะกลมมน แต่พอมาใน Galaxy S24 Ultra นั้นถูกเปลี่ยนให้มีลักษณะแบนราบแทน ทั้งนี้ก็เพื่อให้เข้ากับตัวเครื่องด้านล่างที่แบนราบนั่นเอง อย่างไรก็ดี ปลายปากกา S Pen นั้นก็ไม่ได้แบนเป็นระนาบเดียวกับกรอบตัวเครื่องเสียทีเดียว เพราะถูกดีไซน์ให้นูนออกมาเล็กน้อยเพื่อให้สะดวกต่อการใช้นิ้วกดให้ปากกาเด้งออกมาเมื่อต้องการใช้งานนั่นเอง
ส่วนสีของตัวปากกา S Pen นั้นจะมีอยู่ 3 สี 3 สไตล์ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นตัวเครื่องสีใด เพื่อให้อยู่ในโทนเดียวกันมากที่สุด อย่างเครื่อง Galaxy S24 Ultra สี Titanium Gray ที่เรานำมารีวิวนี้ จะได้ปากกา S Pen ด้ามสีเทา-ปลายสีเงิน รวมทั้งมากับตัวเครื่องสี Titanium Violet กับ Titanium Orange ด้วยเช่นกัน ส่วนปากกา S Pen ด้ามสีดำ-ปลายสีดำ จะมากับตัวเครื่องสี Titanium Black, Titanium Blue กับ Titanium Green และสุดท้ายปากกา S Pen ด้ามสีดำ-ปลายสีทอง จะมากับตัวเครื่องสี Titanium Yellow
ด้านคุณสมบัติพื้นฐานของตัวปากกา S Pen นั้นยังคงเดิม ไม่ได้มีการอัปเกรดเพิ่มเติมแต่อย่างใด ทั้งขนาดที่ 104.6x5.8x4.35 มิลลิเมตร, น้ำหนัก 3.04 กรัม, หัวปากกาขนาด 0.7 มิลลิเมตร, ค่า Latency ที่ 2.8 ms, ตรวจจับแรงกดได้ 4096 ระดับ, รองรับการสั่งงานแบบไร้สายผ่าน Bluetooth และมีฟีเจอร์ให้ใช้งานร่วมกับ S Pen มากมายเช่นเดิม อย่างไรก็ดีในเชิงฮาร์ดแวร์แม้ตัว S Pen จะไม่ได้ถูกอัปเกรดโดยตรง แต่ในเชิงซอฟต์แวร์ทาง Samsung ก็ได้ผสานการใช้งาน S Pen เข้ากับฟีเจอร์ของ Galaxy AI ไว้ให้ด้วย เช่นฟีเจอร์ Circle to Search หรือในแอปพลิเคชัน Samsung Notes ซึ่งเราจะกล่าวถึงกันในลำดับต่อไป
จอแบนที่มาพร้อมความสว่างมากขึ้น และปกป้องได้มั่นใจกว่าเดิม
อย่างที่ได้ทราบกันไปแล้วว่าการเปลี่ยนแปลงสำคัญอย่างหนึ่ง Galaxy S24 Ultra ก็คือการเปลี่ยนมาใช้งานจอแสดงผลแบบแบนแทนจอขอบโค้ง ซึ่งแม้ในเชิงรูปลักษณ์อาจจะดูสวยหรูพรีเมียมเป็นรองจอขอบโค้งอยู่บ้าง แต่ก็ได้ความสะดวกในการใช้งานมาแทน เช่นไม่เกิดอาการจอลั่นโดยไม่ตั้งใจจากการสัมผัสบริเวณขอบโค้ง, สามารถติดตั้งกระจกกันรอย หรือฟิล์มกันรอยได้ง่ายกว่า, ใช้ปากกาเขียนแล้วไม่ตกขอบ และใช้ประโยชน์จากพื้นที่หน้าจอได้เต็มที่กว่า
นอกจากจะเปลี่ยนมาเป็นจอแบนแล้ว ตัวกระจกที่นำมาครอบทับนั้นก็มีความแข็งแกร่งทนทานมากขึ้น ด้วยการอัปเกรดเป็นกระจกนิรภัยรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Corning Gorilla Armor ที่ทนต่อการขีดข่วนได้ดีขึ้น 4 เท่า, ทนต่อแรงกระแทกได้ดีขึ้น 3 เท่า และลดแสงสะท้อนบนหน้าจอได้ดีขึ้นถึง 75%
อย่างไรก็ดี กระจกที่ครอบทับด้านหลังตัวเครื่องก็ยังคงเป็นกระจก Corning Gorilla Glass Victus 2 เช่นเดิม แต่ก็ถือว่ามีความแข็งแกร่งทนทานเหลือเฟือแล้ว
จุดต่อมาที่ถูกอัปเกรดให้ดีขึ้นก็คือความสว่างของหน้าจอ ซึ่งคราวนี้มีระดับความสว่างสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 2600 nits จากเดิมที่ 1750 nits พร้อมเทคโนโลยี Vision Booster ซึ่งเมื่อรวมกับข้อดีของตัวกระจก Gorilla Armor เองที่สามารถลดแสงสะท้อนได้ดีขึ้น 75% เวลาที่เราเอาไปใช้งานกลางแจ้ง หรือในสถานที่ที่มีแหล่งกำเนิดแสงเยอะ ๆ ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องเงาสะท้อนที่มาบดบังรายละเอียดต่าง ๆ บนหน้าจออีกต่อไป
ด้านคุณสมบัติของหน้าจอแสดงผลก็ยังคงเป็นจอแสดงผลแบบ Dynamic AMOLED 2X LTPO ขนาด 6.8 นิ้ว ที่มีความละเอียดระดับ QHD+ พร้อมรองรับคอนเทนต์แบบ HDR10+ เช่นเดิม เพียงแต่อัตราส่วนการแสดงผลจะเปลี่ยนเป็น 19.5:9 แทน จากเดิมที่เป็น 19.3:9 ดังนั้นจอจะสูงขึ้นเล็กน้อย พร้อมพิกเซลด้านสูงที่เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยเป็น 3120 พิกเซล จากเดิมที่ 3088 พิกเซล และด้วยการที่เป็นจอแบน รวมทั้งขอบสีดำถูกทำให้บางเฉียบลง การแสดงผลจึงดูใหญ่เต็มตามากขึ้น ไม่มีส่วนใดที่หลบอยู่ในขอบโค้ง ส่วนอัตราการรีเฟรชจะเป็นแบบ Super Smooth ที่ปรับได้ตามการใช้งานตั้งแต่ 1-120Hz ซึ่งทำให้ได้ทั้งความลื่นไหล และประหยัดพลังงาน แต่เรื่องของสีสันของการแสดงผลดูจะยังไม่จัดจ้านเท่ารุ่นก่อน อย่างไรก็ดีภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ทาง Samsung จะปล่อยซอฟต์แวร์เวอร์ชันใหม่มาแก้ไขในจุดนี้ให้ โดยจะเพิ่มทางเลือกให้ผู้ใช้สามารถกำหนดค่าความสดใสของสีสัน (Vividness) ได้ตามต้องการ
อีกฟีเจอร์ดี ๆ ที่มีให้เฉพาะ Galaxy S24 Series เท่านั้นก็คือ Always On Display (AOD) แบบเต็มจอใหม่ที่เราสามารถใส่ภาพพื้นหลังไว้ได้ด้วย ดังนั้นการแสดงผล AOD เวลาล็อกหน้าจอจึงดูมีความสวยงามน่าสนใจมากขึ้น
ครั้งแรกของ Galaxy AI นำเทรนด์สมาร์ตโฟนยุคใหม่ที่ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น
และแล้วก็ถึงเวลาที่จะมาเล่าถึงไฮไลต์ที่แท้จริงของ Galaxy S24 Ultra กันบ้าง นั่นก็คือความฉลาดของ Galaxy AI ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าทาง Samsung พยายามฉีกหนีจากกรอบเดิม ๆ พร้อมยกระดับให้เหนือกว่าสมาร์ตโฟนทั่วไปที่มักจะเน้นนำเสนอจุดขายในทางเดียวกันอย่างกล้องถ่ายภาพ, ชิปเซ็ต, ดีไซน์, การพับจอ, แบตเตอรี่ หรือนวัตกรรมอื่น ๆ และเป็นผู้นำเทรนด์ของสมาร์ตโฟนยุคใหม่ที่น่าจะต้องมี AI มาเกี่ยวข้องมากขึ้น เพื่อให้ชีวิตผู้ใช้งานง่ายขึ้นกว่าเดิม
โดยการทำงานของ Galaxy AI บน Galaxy S24 Ultra นั้นมีเบื้องหลังอยู่ 2 ส่วนหลัก ๆ ด้วยกัน ส่วนแรกคือ On-Device AI ซึ่งอาศัยการประมวลผลบนตัวสมาร์ตโฟนเอง ด้วยโมเดล Generative AI นามว่า Gauss ที่ Samsung พัฒนาขึ้นมาเอง กับ Gemini Nano จาก Google ที่ฝังอยู่ภายใน และส่วนที่สองคือ Cloud-Based AI ซึ่งอาศัยการประมวลผลจากฐานข้อมูลบน Cloud ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ด้วยการทำงานผ่าน Gemini Pro กับ Imagen 2 ที่อยู่บน Vertex AI โดยเกิดจากความร่วมมือกับทาง Google Cloud สุดท้ายแล้วจึงเกิดเป็นฟีเจอร์อันเป็นประโยชน์รวมกว่า 4 กลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นการค้นหา, การสื่อสาร, การจัดการเนื้อหา และการตกแต่งภาพ/สร้างภาพ ซึ่งเราก็มีโอกาสได้ลองใช้งานมาพอสมควร และขอสรุปมาให้ชมกันดังนี้
Circle to Search
สำหรับฟังก์ชัน Circle to Search นั้นมาตอบโจทย์ผู้ใช้อย่างเรา ๆ ที่เวลาท่องไปตามโซเชียลมีเดีย หรือเว็บไซต์ ก็มักจะเจอกับภาพของสิ่งที่สนใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร, มีชื่อว่าอะไร หรือมีรายละเอียดอย่างไร แต่ด้วยฟังก์ชัน Circle to Search ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นมาก เพราะหากเราอยากรู้อะไรก็แค่กดปุ่มโฮมค้างเอาไว้ แล้วใช้ปากกา หรือนิ้ววงล้อมรอบสิ่งนั้นโดยไม่ต้องคิดคีย์เวิร์ดให้เสียเวลา จากนั้นผลการค้นหาบน Google ก็จะปรากฏขึ้นมาทันทีโดยที่ไม่ต้องสลับออกจากหน้าแอปพลิเคชันที่เราใช้งานอยู่ ซึ่งเป็นจุดที่แตกต่างจากการใช้งาน Google Lens
นอกจากนี้ยังสามารถใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชัน YouTube รวมทั้งข้อความ หรือตัวเลขที่ปรากฏอยู่บนรูปภาพได้ด้วย
Live Translate
สำหรับฟีเจอร์ Live Translate ก็นับว่ามีประโยชน์ในชีวิตจริงมากเช่นกัน เพราะหลายคนคงมีปัญหาในการสนทนาโทรศัพท์กับคนต่างชาติ ไม่ว่าจะฟังไม่ออก หรือไม่รู้ว่าจะพูดตอบว่าอย่างไร แต่ด้วยฟังก์ชัน Call Assist ในฟีเจอร์ Live Translate นั้นสามารถช่วยแปลงภาษาระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์ได้แบบ Realtime ที่สำคัญคือรองรับทั้งภาษาไทย และแทบทุกภาษาหลักทั่วโลก เช่นเมื่อเราพูดภาษาไทยออกไป เครื่องจะแปลงเสียงภาษาไทยของเราให้กลายเป็นเสียงพูดในภาษาของฝั่งคู่สนทนาให้ทันที โดยคู่สนทนาของเราไม่จำเป็นต้องใช้สมาร์ตโฟน Samsung แต่อย่างใด พร้อมแสดงข้อความบนหน้าจอไปพร้อม ๆ กัน อีกทั้งเรายังสามารถดาวน์โหลดไฟล์ภาษาต่าง ๆ เก็บไว้ใช้งานแบบออฟไลน์ได้
หรือแม้กระทั่งหากเราอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สะดวกที่จะพูดออกเสียง เราก็สามารถใช้ฟังก์ชัน Text Call เพื่อพิมพ์เป็นข้อความ หรือเลือกข้อความสำเร็จรูปเพื่อตอบกลับในสไตล์ต่าง ๆ แล้วแปลงเป็นเสียงพูดให้เราได้เช่นกัน อย่างไรก็ดีฟังก์ชัน Call Assist ในขณะนี้รองรับเพียงแค่แอปพลิเคชันโทรศัพท์ของ Samsung เองเท่านั้น ส่วนการโทรผ่านแอปพลิเคชัน 3rd Party อื่น ๆ เช่น Messenger Call (Facebook) หรือ LINE Call นั้นยังไม่รองรับ
Chat Assist
นอกจากฟังก์ชัน Call Assist ที่ใช้สำหรับการสนทนาผ่านโทรศัพท์แล้ว Galaxy AI ก็ยังสามารถใช้งานร่วมกับการสนทนาผ่านทางข้อความ หรือการพิมพ์แชทได้ด้วยฟังก์ชัน Chat Assist ได้ผ่านทางแอปพลิเคชัน 3rd Party ยอดนิยมต่าง ๆ เช่น LINE, Instagram Direct Messenger, WhatsApp หรือ KakaoTalk โดยทำงานร่วมกับ Samsung Keyboard ที่ชาญฉลาด ซึ่งสามารถเลือกตอบกลับข้อความสนทนาด้วยรูปประโยคในสไตล์ต่าง ๆ ให้เป็นแบบทางการ, แบบเพื่อน หรือแบบเก๋ ๆ มี Hashtag กับ Emoticon สไตล์โซเชียลก็ได้ตามความเหมาะสม รวมทั้งสามารถตรวจสอบคำผิดให้เราได้ด้วย
Interpreter
แน่นอนว่าการสนทนากับชาวต่างชาติคงไม่ได้มีแค่คุยกันผ่านโทรศัพท์เพียงอย่างเดียว เพราะในบางครั้งเราก็ต้องเจอกับสถานการณ์ที่ต้องคุยแบบต่อหน้าด้วย ซึ่งในกรณีนี้แอปพลิเคชัน Interpreter สามารถเข้ามาช่วยได้โดยตรง เช่นหากเราเดินไปเจอนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีที่เข้ามาถามทาง เราก็เพียงเลือกภาษาของคู่สนทนาเป็นภาษาเกาหลี แล้วถือเครื่อง Galaxy S24 Ultra ไว้ตรงกลางระหว่างคน 2 คน โดยแอปพลิเคชัน Interpreter จะแบ่งหน้าจอออกเป็น 2 ส่วนที่เลือกมุมมองแบบกลับด้านได้ เพื่อให้คู่สนทนาทั้ง 2 ฝั่งได้เห็นภาษาของตนเอง รวมทั้งสามารถให้เครื่องอ่านออกเสียงให้ฟังได้ อีกทั้งเรายังสามารถดาวน์โหลดชุดภาษามาเก็บไว้ใช้แบบออฟไลน์ได้ด้วย อย่างในกรณีที่เราเพิ่งลงเครื่องที่สนามบินต่างประเทศแล้วยังไม่มีซิมการ์ด เราก็ยังสามารถใช้ Interpreter เป็นล่ามช่วยคุยกับเจ้าหน้าที่ของประเทศนั้น ๆ ได้แบบสบาย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีอินเทอร์เน็ต เรียกว่าพกเครื่องเดียวเที่ยวมั่นใจได้ทั่วโลก
Note Assist
บ่อยครั้งการเขียน หรือการจดบันทึกสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ตรงหน้าก็ต้องอาศัยความรวดเร็วเป็นหลัก เพื่อให้สามารถเก็บประเด็นต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วนมากที่สุด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือข้อมูลมีความกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ การเอากลับมาอ่านอีกครั้งก็คงจะเกิดอาการสับสนอยู่ไม่น้อย แต่ฟีเจอร์ Note Assist สามารถช่วยเราสรุปใจความสำคัญ (Summarise) หรือจัดเรียงเนื้อหาใหม่ให้เป็นระเบียบ (Auto Format) ด้วย AI ได้ง่ายเพียงแค่ปลายนิ้ว รวมทั้งสามารถช่วยตรวจเช็กคำที่สะกดผิด (Correct Spelling) และแปลงเป็นภาษาอื่น ๆ (Translate) ให้เราได้ อย่างไรก็ดีในขณะนี้ฟีเจอร์ Note Assist สามารถใช้งานได้เฉพาะกับแอปพลิเคชัน Samsung Notes เท่านั้น
Summarise and Translate Webpages
นอกจากจะสามารถสรุปใจความสำคัญจากการจดบันทึกได้แล้ว เราก็ยังสามารถสรุปเนื้อหาจากหน้าเว็บเพจที่เราสนใจได้ด้วยฟังก์ชัน Summarise รวมทั้งแปลงให้เป็นเนื้อหาในภาษาที่เราต้องการได้เช่นกัน ด้วยฟังก์ชัน Translate อย่างไรก็ดีฟีเจอร์นี้ยังจำกัดการใช้งานเฉพาะในแอปพลิเคชัน Samsung Internet เท่านั้น
Transcript
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจมากก็คือ Transcipt ซึ่งใช้ AI ในการถอดเสียงสนทนาในการประชุมที่บันทึกไว้ด้วยแอปพลิเคชัน Voice Recorder ให้กลายมาเป็นตัวหนังสือ พร้อมรองรับการแปลงเป็นภาษาอื่น และการสรุปเนื้อหา ที่พิเศษก็คือสามารถจำแนกเสียงของผู้เข้าร่วมสนทนาได้ถึง 10 คน อีกทั้งยังรองรับการถอดเสียงภาษาไทยได้เลย แต่ด้วยการที่ยังเป็นเวอร์ชันแรก ๆ ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะยังไม่แม่นยำกับภาษาอังกฤษ ซึ่งก็ต้องให้เวลา AI ในการเรียนรู้ และพัฒนาตัวเองอีกสักพัก
Photo Assist
ฟีเจอร์ที่ชวนให้ตื่นเต้นที่สุดอย่างหนึ่งของ Galaxy AI ก็คือ Photo Assist ที่สามารถใช้ AI มาช่วยในการตกแต่งแก้ไขรูปภาพได้ ทั้งการปรับองศาภาพ, การเติมภาพ, การปรับขนาดวัตถุ, การหมุนวัตถุ, การย้ายวัตถุ และการลบวัตถุ
เคสแรกที่ลองมาให้ชมกันก็คือมีภาพถ่ายภาพหนึ่งที่เราถ่ายมาเอียง แต่ต้องการปรับองศาให้ตรง ซึ่งโดยปกติแล้วการทำแบบนี้จะทำให้รายละเอียดบริเวณขอบหายไป จึงต้องยอม Crop ขอบส่วนเกินทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย แต่สำหรับ Galaxy S24 Ultra เครื่อง เพียงแค่เราแตะไปที่ปุ่ม Generative Edit (ปุ่มรูปดาว) แล้วหมุนภาพให้อยู่ในองศาที่ต้องการ จากนั้นให้กดปุ่ม Generate แล้วรอสักครู่ AI ก็จะประมวลผล และช่วยเติมรายละเอียดของภาพบริเวณส่วนที่ขาดหายไปให้อย่างแนบเนียน
เคสต่อมาก็คือการลบวัตถุที่ไม่ต้องการออกจากรูปภาพ อย่างกรณีนี้เราอยากให้ขวดน้ำในมือของเด็กผู้หญิงหายไป เราก็เพียงแค่แตะค้างที่ขวดน้ำเพื่อเลือก จากนั้นก็ให้แตะที่ปุ่มยางลบแล้วกดปุ่ม Generate ขวดน้ำก็จะหายไป พร้อมกับมีการเติมภาพในส่วนของนิ้วมือที่ซ่อนอยู่หลังขวดให้เองอย่างชาญฉลาด
ตัวอย่างภาพก่อน และหลังการลบวัตถุด้วยฟีเจอร์ Generative Edit
ซึ่งการประมวลผลภาพที่เกิดขึ้นในเบื้องหลัง หลัก ๆ แล้วก็จะมีอยู่ 4 ขั้นตอนได้แก่ Filling in the image, Adding the missing pieces, Sculpting new scenery และ Painting in the pixels
ตัวอย่างภาพก่อน และหลังลบวัตถุด้วยฟีเจอร์ Generative Edit
อีกเคสตัวอย่างก็คือการย้ายวัตถุ เช่นหากเราต้องการย้ายเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้มายืนอยู่ที่ด้านซ้ายแทน เราก็แตะค้างที่ตัวเจ้าหน้าที่ แล้วลากย้ายไปไว้ยังตำแหน่งที่ต้องการได้ทันที หรือแม้แต่จะย่อตัวให้เล็กลง-ใหญ่ขึ้นก็สามารถทำได้ง่าย ๆ
ซึ่งผลลัพธ์โดยรวมที่ได้ก็ถือว่าเนียนใช้ได้เลยทีเดียว อย่างไรก็ดีด้วยการที่ยังเป็นซอฟต์แวร์เวอร์ชันแรก ๆ สิ่งที่อยู่ในภาพมีความซับซ้อน รายละเอียดบางอย่างที่เกิดจากการเติมภาพอาจจะยังดูไม่เป็นธรรมชาติมากนัก เช่นสัดส่วนของนิ้วมือ, แสงเงา หรือพื้นผิวต่าง ๆ แต่หาก AI ได้เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ และมีการปล่อยซอฟต์แวร์เวอร์ชันใหม่ออกมาอัปเดตอีกในอนาคต ผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าจะดีขึ้นตามลำดับ
Remaster
สำหรับใครที่มีไฟล์รูปในเครื่องที่ดูแล้วไม่สวย, ความละเอียดต่ำ, ภาพเสีย หรือหลุดโฟกัสก็สามารถใช้ AI ใน Galaxy S24 Ultra ช่วยทำกลับมาให้สวยกว่าเดิมได้ด้วยฟีเจอร์อัจฉริยะที่มีชื่อว่า Remaster ซึ่งสามารถเอาภาพเสียมาทำให้กลายเป็นภาพสวยได้ง่าย ๆ เพียงแค่ปลายนิ้ว ทั้งการอัปสเกลเพิ่มความคมชัด, ลด Noise, ปรับแสง และปรับสี
โดยเราสามารถดูการเปรียบเทียบภาพก่อน (Before) และหลัง (After) การปรับปรุงด้วยฟีเจอร์ Remaster ได้ ซึ่งเมื่อพอใจกับผลลัพธ์ที่สวยขึ้นแล้วก็สามารถกดบันทึกภาพไว้ในเครื่องได้ทันที
Generative Wallpaper
อีกหนึ่งฟีเจอร์เด็ดที่ทำเอาคนชอบโหลดวอลเปเปอร์ต้องร้องว้าวก็คือ Generative Wallpaper ที่เปิดโอกาสให้เราสร้างภาพพื้นหลัง หรือภาพวอลเปเปอร์ในสไตล์ของตัวเองที่ไม่ซ้ำใครด้วย AI วิธีทำก็ง่าย ๆ เพียงแค่เราแตะค้างไปที่หน้าจอหลักแล้วเลือกไปที่ Wallpaper and style จากนั้นก็เลือกไปที่หมวด Generative โดยภายในก็จะประกอบไปด้วยหมวดย่อยกว่า 9 หมวด และเมื่อเลือกไปในหมวดใดหมวดหนึ่งก็จะพบกับคีย์เวิร์ดที่เรากำหนดได้เอง ซึ่งหากเรากำหนดคีย์เวิร์ดที่ต้องการได้แล้ว ก็ให้แตะที่ปุ่ม Generate เพื่อให้ AI เริ่มสร้างภาพวอลเปเปอร์ใหม่ขึ้นมา
กล้อง Periscope ตัวใหม่ ละเอียดกว่าเดิม รับแสงได้มากกว่า พร้อม AI Zoom
สำหรับกล้องถ่ายภาพ เกือบทั้งหมดยังคงเป็นฮาร์ดแวร์กล้องชุดเดิม รวมทั้งมีดีไซน์ภายนอกที่ไม่ต่างกัน แต่ก็มีกล้อง Periscope Teletphoto ที่ถูกอัปเกรดมาใช้ตัวใหม่ ด้วยเซนเซอร์รับภาพใหม่ที่ละเอียดคมชัดขึ้นเป็น 50 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงที่กว้างขึ้น และมีพิกเซลที่ใหญ่ขึ้น 1.6 เท่า ซึ่งแม้ระยะซูมแบบ Optical Zoom จะลดลงมาเหลือที่ 5 เท่า (5x Optical Zoom) แต่ก็มีข้อดีด้านอื่นมาทดแทน นั่นคือสามารถซูมในที่มืด หรือในตอนกลางคืนได้ดีกว่า, มีระบบ Quad Tele Zoom, มี ISP Block มาช่วยประมวลผลภาพโดยเฉพาะ และมีเทคโนโลยี ProVisual Engine, AI Zoom และ AI Super HDR มาช่วยเพิ่มรายละเอียด, แสงเงา และสีสันของรูปภาพ ส่วนข้อดีอีกแง่ก็คือระยะ 5x อาจจะเป็นระยะที่มีโอกาสได้ใช้งานจริงมากกว่าสำหรับบางคน ซึ่งกล้องด้านหลังแต่ละตัวประกอบไปด้วย
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2.55 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.4 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, ทางยาวโฟกัส 13 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 120°) และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel PDAF
- กล้อง Wide ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.3 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.6 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.7, ทางยาวโฟกัส 24 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 85°), ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Multi-Directional PDAF+Laser AF
- กล้อง Periscope Telephoto ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2.52 นิ้ว, ระบบซูม 5x Optical Zoom, รูรับแสงขนาด f3.4, ทางยาวโฟกัส 111 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 22°), ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF
- กล้อง Telephoto ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/3.52 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, ระบบซูม 3x Optical Zoom, รูรับแสงขนาด f2.4, ทางยาวโฟกัส 67 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 36°), ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel PDAF
แม้ฮาร์ดแวร์กล้องส่วนใหญ่จะเหมือนเดิม แต่โทนภาพที่ได้นั้นจะแตกต่างจากเดิมค่อนข้างชัดเจน นั่นคือมีโทนภาพที่ออกไปทางสมจริงดูเป็นธรรมชาติมากกว่า เน้นการเก็บ Dynamic Range ให้ทั่วถึง ลดความจัดจ้านของสีสันลงจากรุ่นเดิม ซึ่งข้อดีของไฟล์ภาพลักษณะนี้ก็คือเหมาะกับการนำไปปรับแต่งเองในภายหลังตามสไตล์ที่เราชอบ
ด้วยการนำกล้อง Periscope Telephoto ตัวใหม่มาทำงานร่วมกับกล้องหลัก 200 ล้านพิกเซล กับกล้อง Telephoto 10 ล้านพิกเซล ก็ส่งผลให้ระยะการซูมนั้นครอบคลุมมากกว่าเดิมกลายเป็นระบบ Quad Tele Zoom (2x, 3x, 5x และ 10x) ซึ่งประกอบไปด้วยการซูมแบบ Optical Zoom ในระยะ 3x กับ 5x และการซูมแบบ High Quality Optical Zoom ในระยะ 2x กับ 10x ดังนั้นโดยรวมกล้องของ Galaxy S24 Ultra นั้นจะทำผลงานได้โดดเด่นมากสำหรับการซูมในระยะเริ่มต้น-ระยะกลาง หรือตั้งแต่ 2x-10x ด้วยเซนเซอร์กล้อง Periscope Telephoto ที่ใหญ่ขึ้นละเอียดขึ้น พร้อมรูรับแสงที่กว้างขึ้นจนทำให้เก็บแสงได้มากขึ้นกว่า 60% เลยทีเดียว
สำหรับระยะการซูมสูงสุดก็ยังคงไปได้ไกลถึง 100x เช่นเดิม (100x Space Zoom) ซึ่งแน่นอนว่าเป็นซูมแบบดิจิทัล แต่ด้วยการประมวลผลของ ProVisual Engine กับ AI Zoom ก็จะช่วยปรับปรุงให้ภาพถ่ายในระยะไกลมีรายละเอียด กับความคมชัดที่ดีขึ้น อย่างไรก็ดี ถ้าเทียบกับกล้องของ Galaxy S23 Ultra ในระยะ 100x เท่ากันแล้วก็ต้องยอมรับว่าภาพที่ได้จาก Galaxy S23 Ultra นั้นมีรายละเอียดที่คมชัดกว่า ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะกล้อง Periscope Telephoto ของ Galaxy S23 Ultra นั้นมีระยะซูมแบบ Optical ที่ไกลกว่าเท่าตัว (10x Optical Zoom) แต่ Galaxy S24 Ultra เลือกที่จะใช้ประโยชน์จากเซนเซอร์ความละเอียดสูง 50 ล้านพิกเซลแทน (5x Optical Zoom) ซึ่งในซอฟต์แวร์เวอร์ชันแรก ๆ ก็อาจจะยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์นัก แต่หากมีการอัปเดต และตัว AI ได้มีเวลาเรียนรู้มากกว่านี้ ก็น่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
ส่วนกล้องด้านหน้ายังคงใช้ฮาร์ดแวร์เดิม นั่นคือใช้เซนเซอร์รับภาพความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel PDAF และฟีเจอร์ Auto HDR แต่ถึงแม้จะเป็นกล้องตัวเดิม แต่ภาพถ่ายที่ได้กลับมีสไตล์ที่แตกต่างจากเดิม โดยดูมีความเป็นธรรมชาติสมจริงมากกว่า รวมทั้งพยายามเก็บรายละเอียดของผิวหน้าเดิม ๆ เอาไว้มากกว่า แต่หากต้องการให้ผิวเนียนสวยมากขึ้นก็ยังคงสามารถปรับตั้งค่าเพิ่มเติมได้
เพิ่มทางเลือกการถ่ายภาพ Portrait ด้วยการอัปเกรดเป็น 4 ระยะ พร้อม AI Super HDR
จะว่าไปแล้วการที่ Galaxy S24 Ultra เปลี่ยนกล้อง Periscope Telephoto ใหม่ ให้มีระยะซูมแบบ 5x Optical Zoom แทนนั้นดูจะได้ประโยชน์กับการถ่ายภาพบุคคล หรือโหมด Portrait เป็นพิเศษ เพราะระยะ 5x ยังเป็นระยะที่ไม่ไกลจนเกินไปสำหรับการถ่ายภาพ Portrait ซึ่งส่งผลให้มีระยะซูมให้เลือกครบมากขึ้นเป็น 4 ระยะ นั่นคือ 1x/2x/3x และ 5x รวมทั้งด้วยเซนเซอร์รับภาพใหม่ที่ใหญ่กว่า กับรูรับแสงที่ใหญ่กว่า ภาพที่ได้ก็จะมีรายละเอียดที่สวยคมชัดมากขึ้น และถ่ายในที่มืดได้ดีขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนี้ก็ยังมีการทำงานร่วมกับระบบ AI Super HDR ที่เราสามารถเห็นผลลัพธ์ของภาพ HDR ก่อนกดถ่ายได้ทันที เรียกว่าเห็นในกล้องอย่างไร ภาพก็จะออกมาแบบนั้น แต่เรื่องของโทนภาพ โดยรวมแล้วก็จะให้อารมณ์เหมือนกับโหมดอื่น ๆ นั่นคือเน้นความเป็นธรรมชาติ ไม่ได้เน้นสีสันที่จัดจ้านเหมือนเคย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะภาพในลักษณะนี้สามารถนำมาปรับแต่งในภายหลังได้ยืดหยุ่นกว่า และในเครื่องก็มีฟังก์ชันให้ปรับแต่งอยู่มากมายตามใจชอบ
บันทึกวิดีโอ 8K ได้ทั้งระยะใกล้ไกล พร้อมบันทึกวิดีโอ 4K แบบ 120fps
นอกจากเรื่องการถ่ายภาพนิ่งที่อัปเกรดขึ้นแล้ว ความสามารถด้านการบันทึกวิดีโอก็ถูกอัปเกรดขึ้นด้วยเช่นกัน การอัปเกรดอย่างแรกก็คือสามารถบันทึกวิดีโอแบบ 8K/30fps ได้ทั้งกล้องหลัก (1x) และกล้อง Periscope Telephoto (5x) ดังนั้นการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงพิเศษระดับ 8K นี้จึงนำไปใช้งานได้อย่างจริงจังครบระยะมากขึ้น และในกรณีที่เราต้องการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงให้ครบทุกระยะมากกว่านี้ ก็ยังสามารถปรับลดความละเอียดลงมาที่ระดับ 4K/60fps ได้ ซึ่งรองรับทุกระยะตั้งแต่ 0.6x ไปจนถึง 20x เลยทีเดียว อีกทั้งยังสามารถสลับกล้องระหว่างถ่ายได้ด้วย
การอัปเกรดต่อมาก็คือในโหมด Pro Video สามารถรองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงระดับ 4K ได้ที่เฟรมเรต 120fps ซึ่งน่าจะถูกใจสายวิดีโอคอนเทนต์ เพราะสามารถนำมาดึงให้กลายเป็นวิดีโอแบบ Slow Motion ได้แบบเนียน ๆ แถมยังมีความคมชัดสูงอีกต่างหาก
ชิปเซ็ตตัวท็อปรุ่นพิเศษ Snapdragon 8 Gen 3 for Galaxy พร้อม Vapor Chamber ใหญ่ขึ้น 1.9 เท่า
อีกสิ่งที่มีการอัปเกรดมาอย่างต่อเนื่องทุกปีก็คงหนีไม่พ้นหน่วยประมวลผลนั่นเอง โดยในรอบนี้มาพร้อมกับพลังการประมวลผลที่เร็วแรงขึ้นจากชิปเซ็ตตัวท็อปใหม่ล่าสุดที่ถูกปรับแต่งเพื่อนำมาใช้กับ Galaxy S24 Ultra โดยเฉพาะนั่นก็คือ Snapdragon 8 Gen 3 for Galaxy ที่มีสัญญาณนาฬิกาเร็วกว่ารุ่นปกติที่ 3.39GHz และเกิดมาเพื่อ Galaxy AI อย่างแท้จริง ซึ่งโดยรวมแล้วมี Haxagon NPU ที่เร็วขึ้น 41% ดังนั้นการประมวลผลด้าน AI จึงมีประสิทธิภาพมากขึ้น, มี CPU ที่เร็วขึ้น 20% พร้อมทั้งประหยัดพลังงานมากขึ้น และมี GPU ที่เร็วขึ้น 30% ดังนั้นประสิทธิภาพของการประมวลผลกราฟิกจึงดีกว่าเดิม
นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Ray Tracing แบบฮาร์ดแวร์ ที่ช่วยในการสร้างเอฟเฟกต์กราฟิกแบบ Realtime รวมทั้งช่วยให้แสงเงา กับแสงสะท้อนในเกมดีขึ้นกว่า 40% เรียกว่าสวยสมจริงยิ่งกว่าที่เคยได้เห็นกันมา
ด้านเทคโนโลยีของหน่วยความจำภายในที่ใส่มาให้ก็ยังคงเป็นตัวท็อปเช่นเดิมทั้งหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR5X ขนาด 12GB ซึ่งมาพร้อมกับฟีเจอร์ RAM Plus ที่สามารถขยายขนาดของหน่วยความจำ RAM ด้วย Virtual RAM ได้สูงสุด 8GB
และหน่วยความจำ ROM แบบ UFS 4.0 ขนาดสูงสุด 1TB ที่โอนถ่ายข้อมูลได้รวดเร็ว จึงทำงานร่วมกับชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 3 for Galaxy นี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
อีกหนึ่งการอัปเกรดที่มีผลกับการใช้งานโดยตรงก็คือมีการเพิ่มขนาดพื้นที่ระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเกือบเท่าตัว (1.9 เท่า) ดังนั้นเราจึงสามารถใช้ Galaxy S24 Ultra เครื่องนี้เล่นเกม, ถ่ายรูป หรือใช้งานที่มีการประมวลผลหนัก ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง และลื่นไหล โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความร้อน
เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานด้วยรวมด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ก็พบว่าสามารถทำคะแนนรวมได้ที่ 1,780,250 คะแนน
เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของการประมวลผลด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench ก็พบว่าสามารถทำคะแนนการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ได้ที่ 2,235 คะแนน และทำคะแนนการประมวลผลแบบหลายแกน (Multi-Core) ได้ที่ 6,763 คะแนน
เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของหน่วยประมวลผลกราฟิกด้วยแอปพลิเคชัน 3DMark ก็พบว่าสามารถทำคะแนนรวมในฉาก Wild Life Extreme ได้ 4,445 คะแนน
แบตเตอรี่สเปกเดิม ชาร์จไวเท่าเดิม แต่ใช้งานได้เหลือเฟือ
แม้ Galaxy S24 Ultra จะมีคุณสมบัติหลายอย่างที่ถูกอัปเกรดให้ดีขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ได้อัปเกรดจาก Galaxy S23 Ultra ก็คือเรื่องของแบตเตอรี่ นั่นคือยังคงมีความจุเท่าเดิมที่ 5000 mAh, ระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 45W Super Fast Charging, ระบบชาร์จแบตเตอรี่ไร้สายความเร็วสูงแบบ 15W Fast Wireless Charging 2.0 และระบบชาร์จแบตเตอรี่ไร้สายย้อนกลับแบบ 4.5W Wireless PowerShare
อย่างไรก็ดีเดิมทีแบตเตอรี่ของ Galaxy S23 Ultra ก็ถือว่าค่อนข้างอึดอยู่แล้ว สามารถใช้งานได้ยาวนานโดยไม่ต้องชาร์จระหว่างวัน ซึ่งเท่าที่ได้ใช้งาน Galaxy S24 Ultra มาก็พบว่าทำได้ดีใกล้เคียงกัน ส่วนความเร็วในการชาร์จที่ระดับ 45W หากแค่ดูจากตัวเลขก็อาจจะไม่มากนักหากเทียบกับสมาร์ตโฟนในยุคนี้ แต่ในการใช้งานจริงกลับไม่ได้รู้สึกว่าช้าแต่อย่างใด เรียกว่ามีความเร็วในระดับที่เพียงพอในชีวิตประจำวัน อีกทั้งหากใครมีอะแดปเตอร์ 45W เดิมอยู่แล้ว ก็สามารถนำมาใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องซื้อใหม่ อีกทั้งยังรองรับการชาร์จด่วนแบบไร้สาย และแชร์พลังงานแบบไร้สายให้กับเครื่องอื่น
การันตีการอัปเดตยาวนานถึง 7 ปี ซื้อทีเดียวใช้จนคุ้ม
สำหรับระบบปฏิบัติการที่อยู่เบื้องหลังการทำงาน และระบบ Galaxy AI ก็คือ One UI 6.1 ที่พัฒนาครอบทับอยู่บน Android 14 ซึ่งแน่นอนว่าสดใหม่ และมีฟีเจอร์ที่สมบูรณ์จัดเต็มที่สุดของ Samsung ในขณะนี้ แต่สิ่งที่การันตีความคุ้มค่าการลงทุนได้มากกว่าสมาร์ตโฟนรุ่นใดก็คือทาง Samsung รับประกันการอัปเดตซอฟต์แวร์ให้ยาวนานพิเศษถึง 7 ปี ทั้งตัวระบบปฏิบัติการเอง, ระบบความปลอดภัย และซอฟต์แวร์ระบบอื่น ๆ เรียกว่าจ่ายเงินซื้อทีเดียวก็เหมือนมีเรือธงตัวท็อปเครื่องใหม่ใช้งานไปยาว ๆ อีกหลายปี หรือแม้กระทั่งจะขายเครื่องต่อให้ใคร ก็สามารถเอาสิ่งนี้มาเป็นจุดขายได้
เตรียมอัปเดตซอฟต์แวร์เวอร์ชันใหม่ ปรับปรุงเรื่องจอภาพ, กล้อง และ AI ให้ดีขึ้น
เป็นเรื่องปกติของสมาร์ตโฟนแทบทุกรุ่นที่ซอฟต์แวร์เวอร์ชันแรก ๆ ที่ออกมาพร้อมการเปิดตัวนั้นอาจจะยังมีบางจุดที่รอการปรับปรุงแก้ไขให้ทำงานได้ดีขึ้น หรือมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามา ซึ่งก็รวมถึง Galaxy S24 Ultra ด้วยเช่นกัน และล่าสุดทาง Samsung ก็ได้ประกาศออกมาแล้วว่าภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้จะมีการปล่อยซอฟต์แวร์เวอร์ชันใหม่มาให้อัปเดตกัน อย่างแรกคือเปิดโอกาสให้ปรับแต่งความสดของสี (Vividness) ได้เองตามต้องการ เพราะฉะนั้นสำหรับใครที่คิดว่าหน้าจอตอนนี้สียังไม่ค่อยสด ก็จะสามารถปรับให้สดขึ้นได้แล้ว อย่างที่สองคือจะมีการปรับปรุงการใช้งานกล้อง ด้วยการอัปเกรดการทำงานบางส่วนให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซูม, โหมดถ่ายภาพบุคคล (Portrait), การถ่ายภาพกลางคืน (Nightography), การบันทึกวิดีโอด้วยกล้องหลัง และอื่น ๆ อย่างที่สามคือจะมีการปรับปรุง AI ให้มีประสิทธิภาพในการทำงานด้านภาษา หรือด้านการสื่อสารที่ดีขึ้น ซึ่งนี่ก็เป็นสัญญาณเริ่มต้นที่ดีของการอัปเดตยาว ๆ 7 ปีนั่นเอง
ฟีเจอร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจของ Galaxy S24 Ultra
สรุปประสบการณ์หลังใช้งาน Samsung Galaxy S24 Ultra
หลังจากที่มีโอกาสได้ใช้งาน Samsung Galaxy S24 Ultra เครื่องนี้มาร่วมเดือนก็เรียกว่าได้รู้จักมักคุ้นกับสมาร์ตโฟนเรือธงเครื่องนี้มากพอสมควร เรื่องความรู้สึกที่ได้เห็นตัวจริงครั้งแรกก็ต้องยอมรับว่ามีความคิดในใจอยู่อย่างหนึ่งคือดูมีรูปลักษณ์ภายนอกที่แทบจะไม่ต่างจากรุ่นที่แล้วอย่าง Galaxy S23 Ultra แต่พอได้สัมผัสจริง ๆ และพิจารณาถึงรายละเอียดในแต่ละจุดก็พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนมาใช้วัสดุที่แข็งแรงทนทานกว่าเดิม อย่างโลหะไทเทเนียม กับกระจก Gorilla Armor, การเปลี่ยนหน้าจอมาเป็นแบบแบน จนทำให้สัมผัสโดยรวมแตกต่างไป, การเพิ่มขนาดของ Vapor Chamber ให้ใหญ่ขึ้นเกือบ 2 เท่า, การปรับปรุงปุ่มกด กับองค์ประกอบด้านข้างตัวเครื่องให้ใช้งานได้ดีขึ้น และการปรับปรุงปลายด้ามปากกา S Pen ให้แบนราบเข้ากับขอบตัวเครื่องมากขึ้น กล่าวคือดีไซน์ภายนอกแม้จะยังคงคอนเซ็ปต์เดิม แต่จริง ๆ แล้วไม่เหมือนเดิม
อย่างไรก็ดี ไฮไลต์ใหม่ป้ายแดงที่แท้จริงของ Galaxy S24 Ultra ก็คือการใส่ความสามารถของ Galaxy AI ไว้ในสมาร์ตโฟนเป็นครั้งแรก เรียกว่าเลือกฉีกแนวจากคู่แข่งที่มักจะไปเน้นจุดขายในด้านอื่น เพราะเทรนด์ของนวัตกรรมในปีนี้ เรื่อง AI นั้นนำโด่งมาเลยทีเดียว ซึ่งด้วยฟีเจอร์ของ Galaxy AI ที่ใส่มาให้ก็นับว่าจัดเต็มพอสมควรสำหรับก้าวแรกที่จริงจังนี้ โดยสามารถช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้นได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ด้วยการที่ Samsung นั้นพยายามเชื่อมความฉลาดของ AI เข้ากับการใช้งานทุกอย่างที่เราใช้กันบ่อย ๆ ทั้งการค้นหาข้อมูล, การตกแต่งแก้ไขรูปภาพ, การสร้างรูปภาพ, การใช้งานเชิงธุรกิจ, การใช้งานด้านภาษา หรือแม้กระทั่งการถ่ายภาพ
สำหรับกล้องถ่ายภาพ การเปลี่ยนแปลงในเชิงฮาร์ดแวร์จะมีเพียงแค่กล้อง Periscope Telephoto ที่ถูกอัปเกรดใหม่มาใช้เซนเซอร์ที่มีความละเอียดมากขึ้น, มีพิกเซลที่ใหญ่ขึ้น, รับแสงได้ดีขึ้น และมีระยะซูมให้เลือกใช้มากขึ้น พร้อมการประมวลผลร่วมกับ AI Zoom แต่ก็แลกมาด้วยระยะของ Optical Zoom ที่ลดลงมาอยู่ที่ 5 เท่า ซึ่งแน่นอนว่าการซูมในระยะไกลมาก ๆ เช่นในระยะ 100x ตอนนี้ยังคมสู้ระบบ 10x Optical Zoom เดิมของ Galaxy S23 Ultra ไม่ได้ แต่ตัว AI Zoom น่าจะถูกอัปเดตให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นตามลำดับ ส่วนโทนภาพถ่ายโดยรวมที่ได้จะไม่ได้เน้นสีสันมากเหมือนที่ผ่านมา แต่จะมีโทนภาพแบบกลาง ๆ ดูเป็นธรรมชาติ เพื่อให้เหมาะกับการนำไปปรับแต่งต่อมากกว่า
ในด้านอื่น ๆ แม้โดยรวมอาจจะไม่ได้แตกต่างจากเดิมมากนัก แต่ก็มีการเติมเต็มบางจุดให้ตอบโจทย์การใช้งานได้ดียิ่งขึ้น เช่นจอแสดงผลที่สว่างมากขึ้น รวมทั้งมีแสงสะท้อนที่น้อยลง และด้วยการที่เปลี่ยนมาเป็นจอแบนจึงทำให้อาการจอลั่น หรืออาการต่าง ๆ เวลาสัมผัสกับขอบโค้งนั้นหมดไป นอกจากนี้ชิปเซ็ตที่อัปเกรดมาเป็น Snapdragon 8 Gen 3 for Galaxy ก็ช่วยให้การประมวลผลเร็วแรงยิ่งกว่าเดิม และสิ่งที่น่าจะช่วยให้ผู้ที่ต้องการการลงทุนที่คุ้มค่าตัดสินใจได้ง่ายขึ้นก็คือ Galaxy S24 Ultra จะได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์ยาวนานถึง 7 ปี เรียกว่านานกว่าสมาร์ตโฟนทั่วไป ดังนั้นระบบจึงมีความสดใหม่ และฟีเจอร์ต่าง ๆ จะมีความทันสมัยอยู่เสมอ
สำหรับท่านใดที่สนใจจับจองเป็นเจ้าของ Galaxy S24 Ultra ขณะนี้ก็มีวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้วในราคาเริ่มต้นที่ 46,900 บาท มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย (รายละเอียดที่ด้านล่าง) สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชม พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ
ราคา และโปรโมชันของ Samsung Galaxy S24 Ultra
Samsung Galaxy S24 Ultra ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย มีทั้งหมด 3 รุ่นย่อย 3 ราคา ดังนี้
- รุ่น RAM 12GB+ROM 256GB ราคา 46,900 บาท
- รุ่น RAM 12GB+ROM 512GB ราคา 52,900 บาท
- รุ่น RAM 12GB+ROM 1TB ราคา 62,900 บาท
พร้อมโปรโมชันระหว่างวันที่ 31 มกราคม - 3 มีนาคม 2024 ได้แก่ รับส่วนลดเก่าแลกใหม่เพิ่ม 5,000 บาท, รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 10%, รับเครดิตเงินคืนเพิ่ม 2% สำหรับสีพิเศษ, สิทธิ์แลกซื้อ Samsung Care+ ในราคา 50%, ส่วนลดสูงสุด 30% แลกซื้อ Galaxy Watch | Buds และลดเพิ่ม 1,000 บาท เมื่อกรอกโค้ด NEWMEM สำหรับการสั่งซื้อครั้งแรกบนแอป Samsung Shop
สรุปคุณสมบัติเด่นของ Samsung Galaxy S24 Ultra
- ฝาครอบด้านหลัง และกรอบด้านข้างผลิตจากวัสดุไทเทเนียม
- ดีไซน์หน้าจอแบบแบนราบ
- หน้าจอแสดงผลครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Armor
- ด้านหลังตัวเครื่องครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass Victus 2
- ระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber ขนาดใหญ่ (ใหญ่กว่า Galaxy S23 Ultra ประมาณ 1.9 เท่า)
- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการทนน้ำ และทนฝุ่น ตามมาตรฐาน IP68 (ทนน้ำได้ลึกสูงสุด 1.5 เมตร นานต่อเนื่องสูงสุด 30 นาที)
- มี 4 สีมาตรฐานให้เลือก ได้แก่ Titanium Gray, Titanium Black, Titanium Violet และ Titanium Yellow
- มี 3 สีพิเศษ (เฉพาะที่ samsung.com) ให้เลือก ได้แก่ Titanium Blue, Titanium Green และ Titanium Orange
---------------------------
- จอแสดงผลแบบ Dynamic AMOLED 2X LTPO Display ขนาด 6.8 นิ้ว ความละเอียดระดับ QHD+ (3120x1440 พิกเซล : 505 PPI)
- อัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุดที่ 120Hz (Super Smooth 120Hz Refresh Rate : 1-120Hz)
- เทคโนโลยี Vision Booster
- รองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบ HDR10+
- ความสว่างสูงสุด 2600 nits
- ค่า Contrast Ratio 5,000,000:1
- รองรับการแสดงผลช่วงสีแบบ DCI-P3 ได้ 100%
- พื้นที่จอแสดงผลต่อตัวเครื่อง 88.5%
- อัตราส่วนการแสดงผลแบบ 19.5:9
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ (Ultrasonic In-Display Fingerprint Sensor)
---------------------------
- ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 8 Gen 3 for Galaxy (SM8550-AB)
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 750
- ฟีเจอร์ Ray Tracing
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5X ขนาด 12GB
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล (ROM) แบบ UFS 4.0 ขนาด 256GB, 512GB หรือ 1TB
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 14 พร้อมครอบทับด้วย One UI 6.1
---------------------------
- แบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh
- ระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 45W Super Fast Charging พร้อมรองรับมาตรฐาน PD3.0
- ระบบชาร์จแบตเตอรี่ไร้สายความเร็วสูงแบบ 15W (Fast Wireless Charging 2.0) พร้อมรองรับมาตรฐาน Qi และ PMA
- ระบบชาร์จแบตเตอรี่ไร้สายย้อนกลับแบบ 4.5W (Wireless PowerShare)
- ชาร์จแบตเตอรี่ได้ 65% ภายในเวลา 30 นาที (ด้วยอะแดปเตอร์ 45W และสาย 5A USB-C)
---------------------------
กล้องตัวหลักด้านหลัง 4 ตัว (Quad Camera) ประกอบด้วย
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2.55 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.4 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, ทางยาวโฟกัส 13 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 120°) และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel PDAF
- กล้อง Wide ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.3 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.6 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.7, ทางยาวโฟกัส 24 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 85°), ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Multi-Directional PDAF+Laser AF
- กล้อง Periscope Telephoto ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2.52 นิ้ว, ระบบซูม 5x Optical Zoom, รูรับแสงขนาด f3.4, ทางยาวโฟกัส 111 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 22°), ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF
- กล้อง Telephoto ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/3.52 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, ระบบซูม 3x Optical Zoom, รูรับแสงขนาด f2.4, ทางยาวโฟกัส 67 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 36°), ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel PDAF
รวมทั้งมีหน่วยประมวลผล NPU พร้อมเทคโนโลยี Galaxy AI, เทคโนโลยี ProVisual Engine, โหมดถ่ายภาพบุคคล (Portrait) พร้อมเทคโนโลยี AI Stereo Depth Map, ระบบ Quad Tele Zoom (2x, 3x, 5x และ 10x), ระบบป้องกันการสั่นแบบ Tele OIS, ระยะซูมสูงสุด 100 เท่า (100x Digital Zoom) พร้อมเทคโนโลยี AI ZOOM, เทคโนโลยี Super HDR พร้อมฟังก์ชัน Auto HDR, ฟีเจอร์ Generative Edit, รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 8K UHD (30 fps), เทคโนโลยี ISP Block, รองรับการบันทึกวิดีโอแบบ HDR10+ และรองรับการบันทึกเสียงวิดีโอแบบ Stereo
กล้องด้านหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2, ทางยาวโฟกัส 26 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 80°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel PDAF, รองรับการบันทึกวิดีโอแบบ HDR10+ และรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดระดับ 4K UHD (30/60 fps)
---------------------------
ปากกา S Pen พร้อมช่องเก็บปากกาในตัว
- ค่า Latency ที่ 2.8 ms
- รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายผ่าน Bluetooth
- ตรวจจับแรงกดได้ 4096 ระดับ
- รองรับการใช้งาน Air Actions, Air View, Live Message, Samsung Notes, Screen Off Memo, Smart Select, Screen Write, Translate, Bixby Vision, Glance, Magnify, PENUP, Coloring, AR Doodle และ Write on Calendar
---------------------------
ฟีเจอร์ปัญญาประดิษฐ์ (Galaxy AI)
- ฟีเจอร์ Circle to Search, Live Translate, Note Assist และ Photo Assist
- ฟังก์ชันตกแต่งรูปภาพด้วย AI (ปรับองศาภาพ, ปรับขนาด, เติมภาพ, ย้ายวัตถุ และลบวัตถุ)
---------------------------
- ลำโพงเสียงแบบคู่ (Stereo Speakers) พร้อมการปรับจูนเสียงโดย AKG
- เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ Wi-Fi 7 (802.11 a/b/g/n/ac/ax/be), 5G, 4G LTE, 3G UMTS และ 2G EDGE/GPRS
- รองรับการใช้งานระบบซิมคู่ (Dual SIM : Nano SIM+Nano SIM / Nano SIM+eSIM / eSIM+eSIM)
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.3, NFC และ UWB
- ระบุตำแหน่ง และนำทางผ่านระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, Glonass, BeiDou, Galileo และ QZSS
- พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C (USB 3.2 Gen 1) พร้อมรองรับ DisplayPort 1.2 และ USB OTG
- รองรับการใช้งาน Samsung DeX, Samsung Wireless DeX และ SmartThings
- ระบบความปลอดภัย Samsung Knox (Knox Vault และ Knox Matrix)
- ผู้ช่วยอัจฉริยะ Bixby
สรุปคุณสมบัติโดยละเอียด (สเปก) และราคา ของ Samsung Galaxy S24 Ultra
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Samsung Galaxy S24 Ultra
- ฮาร์ดแวร์กล้องถ่ายภาพมีเปลี่ยนแปลงไปเพียงตัวเดียวคือกล้อง Periscope Telephoto
- โทนของภาพถ่ายที่ได้จะออกแนวสมจริงเป็นธรรมชาติ มีสีสันที่จัดจ้านน้อยลง แต่ก็สามารถปรับแต่งเพิ่มเติมในภายหลังได้
- ระยะซูมแบบ Optical Zoom ลดลงเหลือสูงสุดที่ระดับ 5x โดยการซูมในระยะที่ไกลเป็นพิเศษ (เช่นระยะ 100x) ภาพที่ได้ยังคมชัดไม่เท่ารุ่นเดิมอย่าง Galaxy S23 Ultra (แต่การอัปเดตซอฟต์แวร์ในอนาคตน่าจะช่วยให้มีผลลัพธ์ที่ดีขึ้น)
- ฟีเจอร์ต่าง ๆ ของ Galaxy AI สามารถช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นได้จริง แต่อาจจะไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์ 100% ต้องอาศัยเวลาให้ AI ได้เรียนรู้เพิ่มเติม และการอัปเดตซอฟต์แวร์ในอนาคต เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
- แบตเตอรี่ยังคงชาร์จเร็วเท่าเดิมที่ 45W
- การเปลี่ยนจอแสดงผลเป็นแบบแบนทำให้เรื่องการใช้งานโดยรวมดีขึ้น แต่อาจดูพรีเมียมน้อยลงกว่าจอขอบโค้งแบบเดิม
- คุณสมบัติ และฟีเจอร์ของปากกา S Pen ยังคงเดิม
วันที่ : 26/02/2024