ตอนนี้คุณอยู่ที่ >> หน้าแรก >> หน้ารวม รีวิวมือถือ mobile review >> รีวิวมือถือ Mobile Review
   
Date : 13/10/2023

รีวิว Samsung Galaxy S23 FE สมาร์ตโฟนสเปกเรือธง ในราคาจับต้องได้ ด้วยชิปตัวท็อป จอลื่น 120Hz กล้อง 3x Optical Zoom และฟีเจอร์ไฮเอนด์จัดเต็ม บนบอดี้กระจก 6 สีใหม่ที่ไม่กลัวน้ำ
 

ห่างหายจากการเปิดตัวสมาร์ตโฟนเวอร์ชันพิเศษอย่างรุ่น FE หรือ Fan Edition ไปนาน หลังจากรุ่น Galaxy S21 FE เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ล่าสุดทางซัมซุง ก็ได้เปิดตัว Samsung Galaxy S23 FE สมาชิกใหม่ของ Galaxy S23 Series อย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นสมาร์ตโฟนไฮเอนด์รุ่นคุ้มค่าที่จัดมาเอาใจแฟน ๆ ซัมซุงโดยเฉพาะ ด้วยดีไซน์ และสเปกเทียบชั้นรุ่นเรือธง แต่จ่ายในราคาที่ประหยัดกว่า

เช่นเดียวกับสมาร์ตโฟนซัมซุงรุ่นใหม่หลาย ๆ รุ่นที่เปิดตัวในปีนี้ ที่จะใช้การออกแบบที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้ดีไซน์ของ Galaxy S23 FE นั้นดูคล้ายกับ Galaxy S23 รวมทั้ง Galaxy A Series ตั้งแต่ตำแหน่งการวางกล้องด้านหลัง, พอร์ตต่าง ๆ และอื่น ๆ ซึ่งเมื่อเทียบกับ Galaxy S21 FE รุ่นก่อนหน้า ถือว่ามีการอัปเกรดหลาย ๆ อย่างให้ดีขึ้น เริ่มตั้งแต่ฝาด้านหลังของ Galaxy S23 FE ที่เปลี่ยนมาเป็นแบบกระจก โดยนำเอากระจก Gorilla Glass 5 มาครอบทับไว้ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง อีกทั้งยังมีคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นในระดับ IP68 พร้อมหน้าจอแบบ Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.4 นิ้ว ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าหน้าจอของ Galaxy S23 (6.1 นิ้ว) เสียอีก รวมทั้งยังมีอัตราการรีเฟรชสูงสุดที่ 120Hz เช่นเดียวกัน

 

ด้านการประมวลผล Galaxy S23 FE เลือกใช้ชิปเซ็ต Exynos 2200 ที่เป็นชิปเซ็ตเรือธงตัวท็อปของซัมซุงเอง ซึ่งผลิตบนสถาปัตยกรรมขนาด 4 นาโนเมตร ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ด้านการเล่นเกมโดยเฉพาะ โดยทำงานร่วมกับหน่วยประมวลผลกราฟิก Xclipse 920 ที่รองรับ Ray Tracing ทำให้ภาพกราฟิกในเกมมีความสมจริงมากขึ้น พร้อมทคโนโลยี Variable Rate Shading ที่ช่วยปรับการทำงานของ GPU ให้เหมาะสม จึงให้เฟรมเรตที่เสถียร นอกจากนี้ ยังมี Vapor Chamber แผ่นระบายความร้อนขนาดใหญ่ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า Galaxy S23+ ถึง 1.5 เท่า จึงหมดกังวลเรื่องการระบายความร้อน

สำหรับกล้องถ่ายรูป เรียกได้ว่ามีคุณสมบัติอยู่ในระดับน้อง ๆ Galaxy S23 เลยก็ว่าได้ โดยมากับกล้องหลัก (Wide) ที่ด้านหลังความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมรองรับการถ่ายภาพมุมกว้างพิเศษผ่านกล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และซูมแบบ Optical ได้สูงสุด 3 เท่า ด้วยกล้อง Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล นอกจากนี้ ยังรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดถึงระดับ 8K เป็นรุ่นแรกของตระกูล FE อีกด้วย

นอกจากนี้เทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ก็ยังจัดเต็มไม่แพ้รุ่นเรือธง ทั้งแบบผ่านสาย และไร้สาย ไม่ว่าจะเป็น 25W Super Fast Charging, Fast Wireless Charging และ Wireless PowerShare

ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมจะเป็นอย่างไร ฟีเจอร์อื่น ๆ ที่ใส่มาให้จะน่าสนใจขนาดไหน และคุ้มค่าสมคำร่ำลือหรือไม่ มารับชมไปพร้อม ๆ กันได้ใน รีวิว Samsung Galaxy S23 FE โดยทีมงาน Thaimobilecenter ครับ

 

ดีไซน์เรียบหรู ตามแบบฉบับของ Galaxy S Series

สำหรับสมาร์ตโฟนแบรนด์ Samsung รุ่นใหม่ที่เปิดตัวในปี 2023 มีการนำดีไซน์ของรุ่นเรือธงอย่าง Galaxy S23 Series มาใช้ ซึ่ง Galaxy S23 FE ก็เช่นกัน ที่เลือกใช้ดีไซน์ตัวเครื่องแบบเดียวกับ Galaxy S23 ไม่ว่าจะเป็น การจัดวางตำแหน่งของกล้องด้านหลัง รวมถึงพอร์ต และปุ่มกดต่าง ๆ อีกทั้งยังมีความแบนเรียบทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ดังนั้นใครที่ชอบใช้หน้าจอแบบแบน ก็น่าจะถูกใจกับ Galaxy S23 FE เครื่องนี้

 

กรอบด้านข้างตัวเครื่องของ Galaxy S23 FE จะเป็นอะลูมิเนียมผิวสัมผัสด้าน โดยจะมีความหนามากกว่า Galaxy S23 รุ่นปกติอยู่พอสมควร (8.2 มิลลิเมตร เทียบกับ 7.6 มิลลิเมตร) ส่วนที่ด้านขวาของตัวเครื่อง จะมีปุ่มพาวเวอร์ กับปุ่มปรับระดับเสียง

 

ด้านบนตัวเครื่อง จะเป็นไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน และช่องเก็บถาดใส่ซิมการ์ด ซึ่งรุ่นนี้รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด แต่ไม่สามารถใส่หน่วยการ์ดความจำเสริมแบบ microSD หรือแบบอื่น ๆ ได้ ดังนั้นหากใครคิดว่าต้องใช้พื้นที่ในการเก็บบันทึกไฟล์ต่าง ๆ เยอะ แนะนำให้เพิ่มงบอีกนิด แล้วเลือกรุ่นความจุ 256GB ไปเลยก็น่าจะเหมาะสมกว่า

 

ด้านล่างตัวเครื่องจะมีลำโพงเสียงตัวหลัก, ไมโครโฟน และพอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB-C ซึ่งลำโพงเสียงของ Galaxy S23 FE นั้นจะเป็นลำโพงแบบคู่ (Dual Speakers) ด้วยการทำงานร่วมกันของลำโพงตัวหลักที่ด้านล่าง กับลำโพงตัวที่สองที่ด้านบนบริเวณเดียวกับลำโพงหูฟัง นอกจากนี้ Galaxy S23 FE ยังถูกออกแบบมาให้ทนน้ำ-ทนฝุ่นที่ระดับ IP68 นั่นคือสามารถอยู่ในน้ำสะอาดลึกไม่เกิน 1.5 เมตร ต่อเนื่องได้นาน 30 นาที แต่ก็ไม่แนะนำให้นำไปใช้งานใต้น้ำ ซึ่งคุณสมบัตินี้ก็จะเหมือนกับ Galaxy S23 Series นั่นเอง

 

สำหรับสีสันของตัวเครื่อง จะมีให้เลือกถึง 6 สีด้วยกัน ได้แก่ 4 สีมาตรฐานได้แก่ Mint, Graphite, Cream และ Purple กับอีก 2 สีพิเศษ นั่นก็คือ สีฟ้าเข้ม Indigo และสีส้ม Tangerin สำหรับผู้ที่สั่งซื้อออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ samsung.com เท่านั้น โดยเครื่องที่นำมารีวิวนี้ คือสีฟ้าเข้ม Indigo

 

หน้าจอ Dynamic AMOLED 2X สวยคมชัด พร้อมรองรับ Refresh Rate สูงสุด 120Hz

Galaxy S23 FE มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผล Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2340x1080 พิกเซล) ซึ่งหน้าจอมีขนาดใหญ่กว่า Galaxy S23 (6.1 นิ้ว) แต่เล็กกว่า Galaxy S23+ (6.6 นิ้ว) พร้อมรองรับอัตราการรีเฟรชแบบ Adaptive Refresh Rate ระหว่าง 60Hz -120Hz ขึ้นอยู่กับคอนเทนต์ที่กำลังใช้งาน ทำให้การแสดงผลมีความลื่นไหล และสบายตามากขึ้น รวมทั้งมีความสว่างสูงสุดที่ระดับ 1450 nits ทำให้สามารถสู้แสงในที่กลางแจ้งได้ดี

 

นอกจากนี้ Galaxy S23 FE ยังรองรับฟีเจอร์ Always-On Display อีกด้วย แต่การเปิดใช้ฟีเจอร์นี้อาจไม่ประหยัดแบตเตอรี่มากนักเมื่อเทียบกับ Galaxy S23 รุ่นพี่ เนื่องจากอัตราการรีเฟรชของรุ่นนี้ต่ำสุดที่ 60Hz เท่านั้น โดยแบตเตอรี่ของ Galaxy S23 FE นั้นมีความจุอยู่ที่ 4500 mAh พร้อมระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 25W Super Fast Charging กับ Fast Wireless Charging 2.0 ซึ่งหากเป็นการใช้งานทั่วไป ไม่ได้หยิบมาเล่นเกม หรือถ่ายรูปมากนัก ก็สามารถอยู่ได้ถึงกลางคืนโดยไม่ต้องชาร์จระหว่างวัน

 

กล้องหลังความละเอียดสูง 50MP พร้อมซูมไกล 30 เท่า

หนึ่งในไฮไลท์ของ Galaxy S23 FE รุ่นนี้ ก็คือกล้องด้านหลัง ซึ่งจัดชุดมาให้ใกล้เคียงกับ Galaxy S23 เลยทีเดียว โดยเป็นชุดกล้อง 3 ตัว (Triple Camera) ซึ่งประกอบไปด้วยกล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยี Adaptive Pixel ที่รวม 4 พิกเซล ให้เป็น 1 พิกเซล เพื่อให้พิกเซลมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น จึงเก็บรายละเอียดของภาพ และเก็บแสงได้ดีขึ้นกว่าเดิม ส่วนกล้อง Ultra Wide มีความละเอียดอยู่ที่ 12 ล้านพิกเซล และกล้อง Telephoto มีความละเอียดอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซล พร้อมรองรับการซูมแบบ 3x Optical Zoom เรียกว่าสามารถถ่ายภาพได้ครบทุกระยะในรุ่นเดียว ซึ่งกล้องทั้ง 3 ตัวจะมีรายละเอียดดังนี้

- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2 และมุมรับภาพ 123°
- กล้อง Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f1.8, ทางยาวโฟกัส 24 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 84°), เทคโนโลยี Adaptive Pixel, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, ระบบซูมแบบ 3x Optical Zoom, ทางยาวโฟกัส 75 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 32°) และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF

 

ความน่าสนใจของกล้อง Telephoto บน Galaxy S23 FE ก็คือ นอกจากจะรองรับการซูมแบบ Optical ได้ 3 เท่าแล้ว ยังซูมแบบ Digital ได้สูงสุดถึง 30 เท่า ดังนั้นใครชอบใช้สมาร์ตโฟนถ่ายรูปแบบระยะไกล เช่นในงานคอนเสิร์ต Galaxy S23 FE ถือว่าตอบโจทย์มากเลยทีเดียว

 

โหมดถ่ายภาพของ Galaxy S23 FE มีให้เลือกหลายโหมดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ภาพบุคคล, รูปถ่าย, วิดีโอ, โปร, Pro Video, กลางคืน, อาหาร, พาโนรามา และอื่น ๆ

 

นอกจากนี้ Galaxy S23 FE ยังรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงถึงระดับ 8K (24fps) หรือหากต้องการเฟรมเรตที่สูงขึ้น ก็สามารถเลือกบันทึกที่ความละเอียด 4K (60fps) ได้เช่นกัน

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ Galaxy S23 FE

ตัวอย่างภาพถ่ายที่ระยะ 0.6x (Ultra Wide)

 

ตัวอย่างภาพถ่ายที่ระยะ 1x (Wide)

 

ตัวอย่างภาพถ่ายที่ระยะ 3x

 

ตัวอย่างภาพถ่ายที่ระยะ 10x

 

ตัวอย่างภาพถ่ายที่ระยะ 20x

 

ตัวอย่างภาพถ่ายที่ระยะ 30x

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดต่าง ๆ

 

ถ่ายเซลฟี่เพลิน ๆ ด้วยกล้องหน้าความละเอียด 10MP

สำหรับกล้องด้านหน้าของ Galaxy S23 FE มีความละเอียดอยู่ที่ 10 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 ซึ่งรองรับการถ่ายภาพเซลฟี่ทั้งโหมดถ่ายภาพปกติ และโหมดถ่ายภาพบุคคล (Portrait) โดยสามารถซูมได้ 2 ระยะคือ ระยะปกติสำหรับถ่ายเซลฟี่คนเดียว และแบบมุมกว้างสำหรับถ่ายภาพเซลฟี่เป็นกลุ่ม

 

 

ความจุเริ่มต้น 128GB ไม่ต้องกลัวเต็ม

Galaxy S23 FE มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลภายในตัวเครื่องมาให้เริ่มต้นที่ 128GB ซึ่งสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน เก็บรูปถ่าย รวมถึงคลิปวิดีโอได้พอสมควร แต่หากต้องการพื้นที่มากขึ้น ก็มีรุ่นความจุ 256GB ให้เลือกด้วยเช่นกัน ซึ่งอุ่นใจกว่าสำหรับคนที่มีไฟล์ต้องเก็บเยอะ อย่างไรก็ดีจุดหนึ่งที่น่าเสียดายของรุ่นนี้ก็คือไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริมด้วยการ์ดแบบ microSD หรือแบบอื่น ๆ ได้

 

ชิปเซ็ต Exynos 2200 ตัวเรือธงแรงสุดของค่าย

สำหรับ Galaxy S23 Series รุ่นพี่ ที่เปิดตัวไปก่อนหน้า มาพร้อมกับชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 2 แต่ Galaxy S23 FE จะเลือกใช้ชิปเซ็ต Exynos 2200 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตตัวเรือธงของซัมซุงเอง ที่ผลิตบนสถาปัตยกรรมระดับ 4 นาโนเมตร พร้อมหน่วยประมวลผลกราฟิกรุ่นใหม่อย่าง Xclipse 920 ซึ่งผลิตบนสถาปัตยกรรม AMD RDNA 2 ที่รองรับ Ray Tracing ทำให้กราฟิกในเกมมีความสมจริงมากขึ้น อีกทั้งยังรองรับเทคโนโลยี Variable Rate Shading (VRS) ที่ช่วยปรับการทำงานของ GPU ให้เหมาะสม และให้เฟรมเรตมีความเสถียรมากขึ้นด้วย

นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังมาพร้อมกับ Vapor Chamber แผ่นระบายความร้อนขนาดใหญ่ ซึ่งใหญ่กว่า Galaxy S23+ ถึง 1.5 เท่า ทำให้เล่นเกมได้นานขึ้นโดยที่ตัวเครื่องไม่ร้อนจัด เรียกได้ว่าเป็นสมาร์ตโฟนที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์เกมเมอร์โดยเฉพาะ

 

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยประมวลผลด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench 6 พบว่า Galaxy S23 FE สามารถทำคะแนนการประมวลผลแบบ Single-Core ได้ที่ 1,512 คะแนน และทำคะแนนการประมวลผลแบบ Multi-Core ได้ที่ 3,856 คะแนน ส่วนการทดสอบประสิทธิภาพของหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ได้คะแนนรวมที่ 8,667 คะแนน

 

ด้วยประสิทธิภาพของชิปประมวลผลที่มี จึงรองรับการเล่นเกมได้ทุกเกม และเล่นได้อย่างลื่นไหล แต่บางเกมอาจจะยังไม่ได้มีการ Optimize ให้รองรับกับชิปเซ็ต Exynos 2200 ได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากในบางกรณี หรือบางเกมยังไม่สามารถเลือกใช้กราฟิก หรือเฟรมเรตในระดับสูงสุดได้ เช่นเกม ROV สามารถเลือกตั้งค่าภาพ HD ได้ที่ระดับสูงสุด ยกเว้นการแสดงผลที่เลือกได้เฉพาะระดับสูงเท่านั้น ในขณะที่เกม PUBG MOBILE ไม่สามารถเลือกใช้กราฟิกที่สูงกว่าระดับ HDR HD ได้

 

รองรับฟีเจอร์ RAM Plus เพิ่มหน่วยความจำเสมือนได้สูงสุด 8GB

Galaxy S23 FE มาพร้อมกับหน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB รวมทั้งรองรับฟีเจอร์ RAM Plus ที่สามารถนำเอา ROM มาทำเป็น Virtual RAM เพิ่มได้สูงสุด 8GB รวมเป็น 16GB จึงรองรับการทำงานได้อย่างไหลลื่น รวมถึงรองรับการเปิดแอปพลิเคชันแบบเบื้องหลังได้มากขึ้นด้วย

 

รองรับ Samsung DeX เชื่อมต่อกับจอมอนิเตอร์ หรือทีวี ได้ทั้งแบบผ่านสาย และไร้สาย

ความสะดวกสบายในการใช้งานอีกอย่างก็คือ สามารถเชื่อมต่อ Galaxy S23 FE แบบไร้สายกับหน้าจอมอนิเตอร์ หรือทีวีรุ่นที่รองรับได้ แต่ในกรณีที่จอมอนิเตอร์ หรือทีวีไม่รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สาย ก็สามารถเชื่อมต่อผ่านทางพอร์ต USB-C ได้เช่นกัน

 

ระบบความปลอดภัยครบครัน ทั้งสแกนนิ้วบนหน้าจอ และสแกนใบหน้า

Galaxy S23 FE มาพร้อมฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยอย่างเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบ Optical Fingerprint Sensor แต่หากอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สะดวกในการสแกนนิ้ว ก็ยังมีระบบจดจำใบหน้า (Face Recognition) ให้ใช้ปลดล็อกตัวเครื่องแทนได้เช่นกัน

 

ราคา และโปรโมชันของ Samsung Galaxy S23 FE

Samsung Galaxy S23 FE มีให้เลือกทั้งหมด 4 สีมาตรฐาน ได้แก่ Mint, Graphite, Cream และ Purple นอกจากนี้ยังมีอีก 2 สีพิเศษ นั่นคือ สีส้ม Tangerin และสีฟ้าเข้ม Indigo สำหรับผู้ที่สั่งซื้อออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ samsung.com เท่านั้น

โดย Galaxy S23 FE ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย จะมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย 2 ราคาดังนี้คือ

- รุ่น RAM 8GB+ROM 128GB ราคา 22,900 บาท
- รุ่น RAM 8GB+ROM 256GB ราคา 25,900 บาท

 

และในช่วงเปิดตัว ทาง Samsung ก็มีโปรโมชันที่ช่วยเพิ่มความคุ้มค่าให้อีก นั่นคือ

- อัปเกรดความจุเป็น 2 เท่าฟรี มูลค่า 3,000 บาท โดยสามารถซื้อรุ่น RAM 8GB+ROM 256GB ได้ในราคาเพียง 22,900 บาท (ราคาเท่ากับรุ่น 8+128GB)
- รับส่วนลดสูงสุด 30% เมื่อแลกซื้อ Galaxy Watch6 Series หรือ Galaxy Buds FE
- รับฟรี Samsung Soundbar HW-C400 มูลค่า 2,690 บาท เมื่อซื้อสีพิเศษ และชำระผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ

Samsung Galaxy S23 FE จะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ตุลาคม 2566 นี้ ผู้ที่สนใจสามารถทดลองใช้งานกันก่อนได้ที่ Samsung Experience Store และร้านค้าที่ร่วมรายการทั่วประเทศ

 

สรุปประสบการณ์หลังใช้งาน Samsung Galaxy S23 FE

หลังจากที่ได้มีโอกาสใช้งาน Galaxy S23 FE มาพักใหญ่ ก็พอจะสรุปได้ว่า นี่ยังคงเป็นสมาร์ตโฟนที่คงคอนเซ็ปต์ของการเป็น Fan Edition (FE) ไว้อย่างครบถ้วน ด้วยการนำฟีเจอร์เด่น ๆ ของสมาร์ตโฟนระดับเรือธงอย่าง Galaxy S23 Series มาใส่ในรุ่นนี้หลายอย่าง ในราคาที่คุ้มค่าจับต้องได้ง่ายกว่า เริ่มกันตั้งแต่ดีไซน์ตัวเครื่องที่เรียบหรูดูดี ที่ถอดแบบมาจาก Galaxy S23 รวมทั้งมีวัสดุที่แข็งแรงทนทาน กับชิ้นงานที่ประณีต ด้วยกรอบตัวเครื่องอะลูมิเนียม และฝาด้านหลังที่เปลี่ยนมาเป็นกระจก Gorilla Glass 5 รวมถึงมีคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นในระดับ IP68

ต่อมาคือมีหน้าจอแสดงผลแบบ Dynamic AMOLED 2X Infinity-O Display ขนาด 6.4 นิ้ว ที่รองรับอัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz พร้อมสู้แสงในที่กลางแจ้งได้ดีด้วยความสว่างสูงสุดที่ระดับ 1450 nits ซึ่งเมื่อทำงานร่วมกับลำโพงเสียงแบบคู่ ก็จะกลายเป็นอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงเคลื่อนที่ดี ๆ เครื่องหนึ่งนี่เอง

 

สำหรับกล้องถ่ายรูปของ Galaxy S23 FE นั้นมีคุณสมบัติโดยรวมที่ใกล้เคียงกับ Galaxy S23 รุ่นพี่ ซึ่งมาพร้อมกับกล้องครบทุกระยะการถ่ายภาพ ไม่ว่าจะเป็นกล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล, กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และกล้อง Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ที่สามารถซูมได้ไกลสูงสุด 30 เท่า (3x Optical Zoom) นอกจากนี้ ยังเป็นสมาร์ตโฟนตระกูล FE รุ่นแรกที่รองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดถึงระดับ 8K อีกด้วย

ด้านการประมวลผล แม้ว่ารุ่นนี้จะไม่ได้ใช้ชิปเซ็ตตระกูล Snapdragon 8 Gen 2 เหมือนกับ Galaxy S23 รุ่นพี่ แต่ชิปเซ็ตเรือธงของค่ายอย่าง Exynos 2200 ก็ถือว่าเร็วแรงไม่แพ้กัน และภายในได้มีการพัฒนาเรื่องการระบายความร้อน ด้วยการเพิ่มขนาดของ Vapor Chamber ซึ่งเป็นแผ่นระบายความร้อนที่มีขนาดใหญ่กว่า Galaxy S23+ ถึง 1.5 เท่า โดยจากการทดสอบใช้งาน ทั้งการเปิดแอปใช้งานกล้อง และการเล่นเกมต่าง ๆ พบว่า ถ้าหากใช้งานในห้องแอร์ ตัวเครื่องยังคงอุ่น ๆ อยู่บ้าง แต่ถ้าใช้งานในที่กลางแจ้งที่มีแสงแดดจัด ตัวเครื่องจะค่อนข้างร้อน ทั้งนี้การใช้งานโดยรวมยังคงปกติ ไม่มีอาการหน่วง หรือกระตุกให้เห็น

ส่วนการใช้พลังงาน หากเป็นการใช้งานทั่ว ๆ ไป ไม่ได้เน้นใช้ฟีเจอร์ที่บริโภคพลังงานมากเช่นกล้องถ่ายภาพ หรือเล่นเกม ด้วยแบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh ก็สามารถอยู่ได้ตลอดทั้งวัน ตั้งแต่ออกจากบ้านตอนเช้า ไปจนถึงกลับบ้านในตอนกลางคืน โดยไม่ต้องชาร์จระหว่างวัน และมีฟีเจอร์ที่ครบเครื่องไม่แพ้เรือธง ไม่ว่าจะเป็นการรองรับการชาร์จเร็วทั้งแบบผ่านสาย (25W Super Fast Charging) กับแบบไร้สาย (Fast Wireless Charging 2.0) รวมทั้งสามารถแชร์พลังงานให้กับอุปกรณ์อื่นได้ด้วยฟังก์ชัน Wireless PowerShare

โดยรวมแล้ว ถือว่า Galaxy S23 FE ตอบโจทย์ได้ดีเยี่ยมในทุกการใช้งาน ให้ประสบการณ์โดยรวมที่แทบไม่ต่างจากรุ่นเรือธง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการอัปเกรดจากสมาร์ตโฟนระดับกลาง มาเป็นสมาร์ตโฟนระดับเรือธงในราคาที่ย่อมเยากว่า นอกจากนี้ยังการันตีการอัปเดตระบบปฏิบัติการไปอีกอย่างน้อย 4 ปี เรียกว่าซื้อไปแล้วใช้งานได้คุ้มค่าแบบยาว ๆ สุดท้ายนี้ก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชม พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ

 

สรุปคุณสมบัติเด่นของ Samsung Galaxy S23 FE

- จอแสดงผลแบบ Dynamic AMOLED 2X Infinity-O Display ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2340x1080 พิกเซล : 403 PPI)
- อัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุดที่ 120Hz (Adaptive Refresh Rate : 60-120Hz)
- ความสว่างสูงสุด 1450 nits
- ฟีเจอร์ Eye Comfort Shield และ Vision Booster
- รองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบ HDR10+
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint Sensor) พร้อมระบบจดจำใบหน้า (Face Recognition)
- ครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 5

-----------------------------------

- ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต Exynos 2200
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Samsung Xclipse 920
- ฮาร์ดแวร์ถอดรหัส AV1
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB
- ฟีเจอร์ RAM Plus สำหรับช่วยเพิ่มขนาดหน่วยความจำ RAM เสมือน (Virtual RAM) ได้สูงสุด 8 GB
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล (ROM) ขนาด 128GB หรือ 256GB
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 13 พร้อมครอบทับด้วย One UI 5.1
- รองรับการอัปเดตระบบปฏิบัติการ 4 ปี

-----------------------------------

- แบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh
- ระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 25W Super Fast Charging
- ชาร์จแบตเตอรี่ได้ 50% ภายในเวลา 30 นาที
- ระบบชาร์จแบตเตอรี่ไร้สายความเร็วสูงแบบ Fast Wireless Charging 2.0
- ฟังก์ชัน Wireless PowerShare สำหรับแชร์พลังงานให้กับอุปกรณ์อื่นแบบไร้สาย

-----------------------------------

กล้องตัวหลักด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ประกอบด้วย

- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2 และมุมรับภาพ 123°
- กล้อง Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f1.8, ทางยาวโฟกัส 24 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 84°), เทคโนโลยี Adaptive Pixel, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, ระบบซูมแบบ 3x Optical Zoom, ทางยาวโฟกัส 75 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 32°) และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF

พร้อมฟีเจอร์ Photo Remaster, ฟีเจอร์ Nightography และรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 8K UHD (24fps)

กล้องด้านหน้าความละเอียด 10 ล้านพิกเซล

พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 และรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD (60fps)

-----------------------------------

- ด้านหลังตัวเครื่องครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 5
- กรอบตัวเครื่องผลิตจากโลหะอะลูมินัม
- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการทนน้ำ และทนฝุ่น ตามมาตรฐาน IP68 (ทนน้ำได้ลึกสูงสุด 1.5 เมตร นานต่อเนื่องสูงสุด 30 นาที)
- ระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber
- ลำโพงเสียงแบบคู่ (Dual Speakers) พร้อมระบบเสียงแบบ Dolby Atmos
- เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ Wi-Fi 6E, 5G, 4G LTE, 3G WCDMA และ 2G EDGE/GPRS
- รองรับการใช้งานระบบซิมคู่ (Dual SIM : Nano SIM + Nano SIM)
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.3 และ NFC
- ระบุตำแหน่ง และนำทางผ่านระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, Glonass, BeiDou, Galileo และ QZSS
- พอร์ต USB Type-C (USB 3.2 Gen 1)
- รองรับการใช้งาน Samsung DeX ทั้งแบบผ่านสาย และไร้สาย

สรุปคุณสมบัติโดยละเอียด (สเปก) และราคา ของ Samsung Galaxy S23 FE

 

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Samsung Galaxy S23 FE

- ขอบสีดำรอบหน้าจอค่อนข้างหนา
- ตัวเครื่องหนา และหนักกว่า Galaxy S23 กับ Galaxy S23+
- ชุดกล้องด้านหลังไม่มีกรอบสี่เหลี่ยมมาป้องกันเหมือนกับรุ่นที่แล้ว ในขณะที่เลนส์กล้องมีลักษณะนูนขึ้นมา จึงต้องระวังเป็นพิเศษเมื่อต้องวางเครื่องบนโต๊ะ
- การบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดระดับ 8K รองรับเฟรมเรตสูงสุดที่ 24 fps ถ้าหากต้องการบันทึกวิดีโอให้ดูลื่นไหล แนะนำให้บันทึกที่ความละเอียด 4K (60fps) แทน
- ไม่รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมแบบ microSD หรือแบบอื่น ๆ
- ไม่มีพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร

 

วันที่ : 13/10/2023

Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy