รีวิว Redmi Note 13 Series สมาร์ตโฟน 3 รุ่นน้องใหม่จาก Redmi ถ่ายภาพโดดเด่นทุกช็อต ด้วยกล้องคมชัดสูงสุด 200MP พร้อมจอ AMOLED บางเฉียบ และรองรับชาร์จไว 120W บนดีไซน์สุดพรีเมียม ในราคาเริ่มต้นไม่ถึงหมื่น!
เพิ่งจะเข้าสู่ปี 2024 กันไปหมาด ๆ แต่ก็เริ่มมีสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่เปิดตัวออกมาเขย่าตลาดกันแล้ว โดยทาง Redmi เองก็ได้ปล่อย Redmi Note 13 Series ออกมาถึง 3 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ Redmi Note 13, Redmi Note 13 5G และ Redmi Note 13 Pro+ 5G ที่มาพร้อมกับสโลแกน "โดดเด่นในทุกช็อต" กับจุดขายในเรื่องของ กล้องด้านหลัง ความละเอียดสูงสุด 200 ล้านพิกเซล, หน้าจอแบบ AMOLED ที่รองรับ Refresh Rate สูงสุด 120Hz, ชิปเซ็ตแรงทรงพลัง พร้อมหน่วยความจำ RAM สูงสุด 12GB และแบตเตอรี่ขนาดใหญ่จุใจถึง 5,000 mAh พร้อมรองรับระบบชาร์จเร็วถึง 120W แบบ HyperCharge เรียกได้ว่า สเปกเทียบชั้นรุ่นเรือธง แต่เคาะราคาเริ่มต้นแบบเบา ๆ สบายกระเป๋าที่ 6,999 บาท เท่านั้น
สำหรับ Redmi Note 13 Series ทั้ง 3 รุ่น จะมีดีไซน์ที่ใกล้เคียงกันมาก ต่างกันที่โมดูลกล้องด้านหลัง ซึ่งทั้ง 3 รุ่นมาพร้อมกับหน้าจอแบบ AMOLED และรองรับอัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz มอบประสบการณ์การรับชมที่ลื่นไหล อีกทั้งหน้าจอแสดงผลยังได้รับการรับรองจาก TÜV Rheinland ในเรื่องแสงสีฟ้าต่ำ (Low Blue Light), การปราศจากการกระพริบ (Flicker Free), การเป็นมิตรทางชีวภาพตลอดทั้งวันกับผู้ใช้งาน (Circadian Friendly) รวมถึงฟีเจอร์ถนอมดวงตาอย่าง โหมดการอ่าน นอกจากนี้ ยังรองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นเป็นครั้งแรกบนซีรี่ส์นี้ รวมถึงแบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh ที่รองรับการใช้งานได้ตลอดทั้งวัน แถมยังรองรับการชาร์จเร็วสูงสุด 120W อีกด้วย
โดย Redmi Note 13 Series จะมีฟีเจอร์เด่นอะไรบ้าง และคุ้มค่าคุ้มราคาแค่ไหน ซึ่งรีวิวนี้จะเน้นรุ่น Redmi Note 13 Pro+ 5G เป็นหลัก มาดูกันดีกว่าว่า สมาร์ตโฟนระดับกลางน้องใหม่ป้ายแดงนี้ จะน่าสนใจขนาดไหน มารับชมรีวิวไปพร้อม ๆ กันครับ
เปรียบเทียบสเปก Redmi Note 13, Redmi Note 13 5G และ Redmi Note 13 Pro+ 5G
เปิดกล่อง พร้อมสำรวจอุปกรณ์ด้านใน
Redmi Note 13 Pro+ 5G มาในกล่องสีขาวที่ดูเรียบง่าย ตามแบบฉบับของกล่องสมาร์ตโฟน Redmi รุ่นอื่น ๆ ภายในมีอุปกรณ์ที่จำเป็นมาให้ครบครัน ได้แก่ คู่มือการใช้งาน, ใบรับประกัน, เคสพลาสติกใส, อแดปเตอร์ชาร์จ 120W HyperCharge และ สายชาร์จ/โอนข้อมูล USB-C
ดีไซน์ภายนอก และสัมผัสการใช้งาน
Redmi Note 13 Pro+ 5G มีดีไซน์ที่ดูพรีเมียมน่าใช้ ด้วยหน้าจอแสดงผล และฝาหลังขอบโค้งที่รับกันพอดี ล้อมกรอบด้วยเฟรมโลหะ ทำให้ตัวเครื่องมีรูปทรงที่ดูเพรียว หรูหราเกินราคา
บริเวณกล้องหลังของ Redmi Note 13 Pro+ 5G จะแบ่งแพทเทิร์นเป็น 3 ส่วน ได้แก่ส่วนที่เป็นเลนส์กล้อง, ไฟแฟลช LED แบบยาว และส่วนที่เป็นโลโก้ Redmi ซึ่งเป็นการแบ่งองค์ประกอบในสไตล์งานอาร์ต ดูสวยไปอีกแบบ
สำหรับตัวเครื่องที่นำมารีวิวในครั้งนี้ เป็นสีขาว Moonlight White ซึ่งมีฝาหลังเป็นกระจกครอบทับฝาหลังสีขาวมุก
นอกจากสีขาว Moonlight White แล้ว ยังมีสีดำ Midnight Black และสีม่วง Aurora Purple ให้เลือกด้วยเช่นกัน
หน้าจอแสดงผลขอบโค้ง คมชัดทุกคอนเทนต์ที่ระดับ 1.5K
หน้าจอแสดงผลของ Redmi Note 13 Pro+ 5G เป็นจอ CrystalRes AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียดสูงถึง 1.5K และความสว่างสูงสุด 1800 nits โดยมีอัตรารีเฟรชแบบ AdaptiveSync ที่ 120Hz ซึ่งจะปรับระดับการรีเฟรชให้เหมาะสมกับคอนเทนต์โดยอัตโนมัติ สามารถแสดงสีสันได้อย่างสวยงาม คมชัด และแสดงแอนิเมชั่นเคลื่อนไหวของอินเทอร์เฟซได้อย่างลื่นไหล สบายตา
นอกจากนี้ หน้าจอ Redmi Note 13+ 5G ยังรองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ และมีคุณสมบัติอื่น ๆ อีก เช่น ระบบหรี่แสง PWM Dimming ระดับ 1920 Hz, รองรับการแสดงผล DolbyVision, รองรับการแสดงผลสี 12-bit และกระจกนิรภัย Corning Gorilla Glass Victus เป็นต้น
กล้องคมชัดพิเศษ ความละเอียด 200MP พร้อมกันสั่น OIS
จุดขายสำคัญของ Redmi Note 13 Pro+ 5G คือการถ่ายภาพด้วยกล้องหลัง 3 ตัว โดยกล้องแต่ละตัวมีคุณสมบัติดังนี้
- กล้องหลัก เซนเซอร์ Samsung ISOCELL HP3 ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล ขนาด 1/1.4 นิ้ว รูรับแสง F/1.65 รองรับเทคโนโลยีรวมพิกเซลแบบ 16-in-1 (2.24 ไมครอน) พร้อมระบบกันสั่น OIS และเลนส์ 7P เคลือบสารกันแสงสะท้อน
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, รูรับแสง F/2.2
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล, รูรับแสง F/2.4
ส่วนกล้องหน้าเป็นกล้องเจาะรูฝังใต้จอ ความละเอียด 16MP
แอปพลิเคชันกล้องของ Redmi Note 13 Pro+ 5G ได้รับการอัปเดตอินเทอร์เฟซใหม่ โดยเมนูการตั้งค่ากล้องจะถูกซ่อนเอาไว้ และจะแสดงขึ้นมากลางหน้าจอเมื่อเรียกใช้ ไม่ได้รวมกันอยู่ด้านบนแล้ว ทำให้กดเลือกการตั้งค่าต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม ส่วนเมนูโหมดการถ่ายรูปเพิ่มเติมจะมีสีสันเพิ่มเข้ามา ดูสวยงาม สะดุดตายิ่งขึ้น
สำหรับโหมดการถ่ายภาพหลัก ๆ ของ Redmi Note 13 Pro+ 5G ได้แก่ รูปถ่าย (อัตโนมัติ), วิดีโอ, ภาพบุคคล (พอร์ตเทรท), กลางคืน, 200MP และ เอกสาร และยังมีโหมดอื่น ๆ ในเมนูเพิ่มเติม ได้แก่ โหมดโปร, พานอรามา, หนังสั้น, สโลโมชั่น, วิดีโอเคลื่อนไหว และ การเปิดรับแสงนาน (Long Exposure)
ในโหมด รูปถ่าย (อัตโนมัติ) สามารถเปิด “ฟรุ้งฟริ้ง” หรือเอฟเฟกต์บิวตี้ และใช้ฟิลเตอร์ได้ ส่วนระบบ AI ปรับแต่งภาพ และโหมดมาโคร จะต้องเข้าไปเปิดที่เมนูการตั้งค่า สามารถเลือกระยะการซูมได้ 4 ระดับ คือ 0.6x (Ultrawide), 1x (ปกติ), 2x และ 4x
สำหรับการซูมที่ระยะ 2x และ 4x ไม่ใช่การซูมแบบดิจิทัล แต่เป็นการซูมด้วยเทคโนโลยี In-Sensor ทำให้รักษาความคมชัดของรูปถ่ายเอาไว้ได้ในระดับที่ใกล้เคียงกับการซูมแบบ Optical แม้ว่าตัวสมาร์ตโฟนจะไม่มีเลนส์ซูมโดยเฉพาะก็ตาม
ในส่วนนี้ทางทีมงานได้ทดสอบด้วยการเปรียบเทียบภาพถ่ายระยะ 1x, 2x และ 4x พบว่าภาพที่ได้จากการซูม 2x และ 4x นั้นชัดขึ้นจริง ๆ และชัดกว่าการ Crop ภาพถ่ายระยะ 1x ซึ่งหมายความว่าฟังก์ชั่นการซูมแบบ In-Sensor นั้นคือการซูมจริง ๆ ไม่ใช่การ Crop ภาพเหมือนการซูมแบบดิจิทัล เรียกได้ว่าสามารถซูมได้อย่างมั่นใจ และนำไปใช้งานจริงได้โดยไม่ต้องกลัวภาพแตกเลยครับ
สำหรับภาพบุคคล (พอร์ตเทรท) สามารถปรับความเบลอของฉากหลังได้ตั้งแต่ f1 - f16 และมีเอฟเฟกต์บิวตี้ กับฟิลเตอร์ให้ใช้งาน ไม่มีลูกเล่นอะไรเป็นพิเศษ
โหมดกลางคืน สามารถถ่ายได้ 3 ระยะคือ 0.6x (Ultrawide), 1x (ปกติ) และ 2x เมื่อกดชัตเตอร์จะต้องถือกล้องค้างไว้ประมาณ 3 วินาที ไม่มีลูกเล่นอะไรเป็นพิเศษเช่นกัน
โหมดการเปิดรับแสงนาน (Long Exposure) จะมีโหมดย่อยให้เลือกอีก 6 โหมด สามารถเลือกใช้ให้ตรงกับสถานการณ์ได้ และบางโหมดก็ไม่จำเป็นต้องถ่ายในเวลากลางคืน
โหมด 200MP เป็นการถ่ายภาพด้วยความละเอียดสูงสุด 200MP ตามชื่อ แม้จะมีความละเอียดสูง แต่จะไม่สามารถใช้ฟีเจอร์เสริมใด ๆ ได้เลย และถ่ายได้แค่ระยะ 1x เท่านั้น อีกทั้งในโหมดนี้จะไม่มีการเปิดใช้เทคโนโลยีรวมพิกเซล ทำให้รับแสงได้น้อยลง ส่งผลให้ภาพอาจจะมืดกว่าปกติ แนะนำให้ถ่ายภายใต้สภาวะที่มีแสงเพียงพอจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดครับ
สำหรับการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหลัง รองรับความละเอียดสูงสุด 4K 30fps สามารถเปิดเอฟเฟกต์บิวตี้ และฟิลเตอร์ได้
โหมดเอกสาร เป็นโหมดสำหรับถ่ายหนังสือ ป้าย หรือข้อความ โดยกล้องจะตรวจจับส่วนที่เป็นตัวหนังสือ และปรับภาพให้ตรงโดยอัตโนมัติ เหมาะสำหรับการถ่ายสไลด์พรีเซนเทชั่น และเลคเชอร์ต่าง ๆ
สำหรับกล้องหน้า โหมดรูปถ่าย (อัตโนมัติ) จะปรับเอฟเฟกต์บิวตี้ได้ละเอียดกว่ากล้องหลัง แต่ในโหมดภาพบุคคลจะปรับได้แค่ระดับความเข้มอย่างเดียว ส่วนวิดีโอจะถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1080p 60fps และจะมีบางโหมดที่ใช้งานกับกล้องหน้าไม่ได้ เช่น โหมดเอกสาร และโหมด 200MP เป็นต้น
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Redmi Note 13 Pro+ 5G
ตัวอย่างรูปถ่ายโหมดอัตโนมัติ
ตัวอย่างรูปถ่ายโหมดภาพบุคคล
ตัวอย่างรูปถ่ายโหมดกลางคืน
ตัวอย่างรูปถ่ายโหมดมาโคร
ตัวอย่างรูปถ่ายโหมดเปิดรับแสงนาน
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้าของ Redmi Note 13 Pro+ 5G
ขุมพลัง MediaTek Dimensity 7200-Ultra แรงไม่มีสะดุด
มาดูในส่วนของประสิทธิภาพการทำงานกันต่อ สำหรับ Redmi Note 13 Pro+ 5G เครื่องนี้ ใช้ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7200-Ultra ซึ่งเป็นชิปเซ็ตรุ่นใหม่ที่เปิดตัวช่วงปลายปี 2023 และมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 13 ครอบทับด้วยอินเทอร์เฟซ MIUI 14 เวอร์ชั่นล่าสุด
ส่วนหน่วยความจำภายใน เป็น RAM มาตรฐาน LPDDR5 และ ROM UFS 3.1 ซึ่งนับว่ามีอัตราการอ่าน-เขียนข้อมูลสูงกว่า LPDDR4X และ UFS 2.1 ที่นิยมใช้กันในตลาดทั่วไปพอสมควร
จากการทดสอบใช้งานในด้านต่าง ๆ พบว่าตัวเครื่องมีการทำงานที่ลื่นไหลติดมือ ไม่มีอาการกระตุก หรือค้างแต่อย่างใด แอปพลิเคชันตระกูล Google อย่าง Maps สามารถรับเส้นทางได้อย่างแม่นยำ ส่วนโฆษณาภายในแอประบบยังคงมีอยู่เหมือนเดิม แต่ไม่ได้รบกวนการใช้งานมากนัก โดยรวมถือว่าเป็นสมาร์ตโฟนที่ลื่นไหล ใช้แล้วไม่หงุดหงิดแน่นอน
สำหรับการเล่นเกม เราทดสอบด้วยเกมยอดฮิต 3 เกมเหมือนเช่นเคย ได้แก่ RoV, PUBG Mobile และ Genshin Impact เพื่อให้ครอบคลุมเกมกราฟิกระดับล่างไปจนถึงระดับสูง จากการทดสอบ พบว่า Redmi Note 13 Pro+ 5G สามารถเล่นทุกเกมข้างต้นได้แบบสบาย ๆ แม้จะเป็นเกม Genshin Impact ที่ตั้งค่ากราฟิกระดับสูงสุด ก็ยังเล่นได้บนเฟรมเรตที่น่าพอใจ โดยตัวเครื่องไม่ร้อนมาก และยังมีการตอบสนองที่รวดเร็ว แม่นยำ สามารถควบคุมการเล็งในเกมแนวชูตติ้งได้ง่าย โดยรวมแล้วจัดว่าเป็นสมาร์ตโฟนที่เล่นเกมได้ดีอีกรุ่นหนึ่งเลยครับ
ระบบชาร์จ 120W HyperCharge พร้อมแบตเตอรี่ 5,000 mAh
Redmi Note 13 Pro+ 5G มีแบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานที่พบได้ในสมาร์ตโฟนส่วนใหญ่ ถือว่าอึดกำลังดี แต่ที่น่าสนใจคือมีระบบชาร์จไว 120W HyperCharge ที่ชาร์จเต็ม 100% ได้ในเวลาแค่ 19 นาทีเท่านั้น นับว่าเร็วมาก ๆ สำหรับสมาร์ตโฟนในช่วงราคานี้ ส่วนอแดปเตอร์ชาร์จไวมีมาให้ในกล่องเสร็จสรรพ ไม่ต้องซื้อเพิ่มครับ
คุณสมบัติอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
นอกเหนือจากคุณสมบัติที่กล่าวมาทั้งหมด แล้ว Redmi Note 13 Pro+ 5G ยังมีคุณสมบัติอื่น ๆ อีก เช่น ตัวเครื่องป้องกันฝุ่นและน้ำตามมาตรฐาน IP68, ลำโพงสเตอริโอ ระบบเสียง Dolby Atmos, รองรับ Wi-Fi 6, Bluetooth 5.3, NFC และมี IR Blaster สำหรับใช้งานเป็นรีโมตเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ด้วย โดยจะต้องใช้ร่วมกับแอปพลิเคชัน Mi Remote สามารถดาวน์โหลดได้บน PlayStore ครับ
Redmi Note 13 | Redmi Note 13 5G
นอกจาก Redmi Note 13 Pro+ 5G แล้ว ยังมีรุ่นเล็กอย่าง Redmi Note 13 (สีชมพู) และ Redmi Note 13 5G (สีเขียว) มาให้เลือกกันในราคาที่ประหยัดกว่า
ทั้งสองรุ่นมีสเปกที่คล้ายกันมาก ไม่ว่าจะเป็นกล้องหลัง 108MP, หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด FHD+, ทนน้ำ-ทนฝุ่นระดับ IP54, กล้องหลัง 3 ตัว ความละเอียด 108MP พร้อมกล้อง Ultrawide 8MP และ Macro 2MP, กล้องหน้า 16MP และแบตเตอรี 5,000 mAh ที่รองรับชาร์จไว 33W
ความแตกต่างระหว่าง 2 รุ่นนี้ หลัก ๆ จะอยู่ที่ชิปเซ็ต โดย รุ่น 4G จะเป็นชิปเซ็ต Snapdragon 685 ส่วนรุ่น 5G จะเป็น MediaTek Dimensity 6080 โดยชิปเซ็ตของรุ่น 5G จะมีประสิทธิภาพการประมวลผลสูงกว่าครับ
สรุปประสบการณ์หลังใช้งาน Redmi Note 13 Pro+ 5G
Redmi Note 13 Pro+ 5G ยังสามารถรักษาชื่อเสียงด้านความคุ้มค่าของแบรนด์ Redmi ไว้ได้เป็นอย่างดี ด้วยคุณสมบัติที่จัดเต็มเกินราคา ในราคาที่เข้าถึงได้ไม่ยากนัก
ในเรื่องของดีไซน์ Redmi Note 13 Pro+ 5G ถือว่าทำได้ดีทีเดียว โดยเลือกใช้หน้าจอและฝาหลังขอบโค้ง ทำให้ดูพรีเมียม และให้ความรู้สึกที่เพรียวกว่า ส่วนดีไซน์ฝาหลังก็มีความสวยงามในสไตล์มินิมอล ด้วยฝาหลังผิวด้านที่เคลือบกระจกทับอีกที ทำให้มองเห็นคราบรอยนิ้วมือยากขึ้น โดยเฉพาะสี Aurora Purple จะมีการแบ่งสีสันต่างกัน 3 สีบริเวณกล้องหลัง ยิ่งทำให้ดูโดดเด่น แปลกตา ต่างจากสมาร์ตโฟนรุ่นอื่นในตลาด และทำให้น่าจับถือมากขึ้นไปอีก
หน้าจอแสดงผลของ Redmi Note 13 Pro+ 5G นับว่ามีคุณภาพสูงพอสมควรเมื่อเทียบกับรุ่นอื่น ๆ ในราคาใกล้เคียงกัน โดยเป็นจอแบบ AMOLED ที่ให้สีสันสดใส มีค่าคอนทราสต์สูง และมีความสว่างมาก สามารถสู้แสงแดดกลางแจ้งได้ดี แถมยังมีความละเอียดสูงถึงระดับ 1.5K ในขณะที่สมาร์ตโฟนส่วนใหญ่จะมีจอความละเอียดที่ระดับ FHD+ เท่านั้น ทำให้ Redmi Note 13 Pro+ 5G แสดงคอนเทนต์ต่าง ๆ ได้สวยงาม เหมาะกับการใช้งานทุกประเภท โดยเฉพาะด้านความบันเทิง รวมแล้วจัดว่าเป็นสมาร์ตโฟนที่จอสวยมากอีกรุ่นหนึ่งในราคาหมื่นกลาง ขณะเดียวกัน ลำโพงคู่สเตอริโอก็เป็นส่วนที่ช่วยเสริมประสบการณ์การรับชมคอนเทนต์ผ่านหน้าจอให้ดี ยิ่งขึ้นด้วย
ด้านสมรรถนะการทำงานเรียกได้ว่าหายห่วงสำหรับ Redmi Note 13 Pro+ 5G เพราะชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7200-Ultra มีประสิทธิภาพมากพอที่จะรับมือกับการใช้งานทุกประเภทได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือแม้กระทั่งการเล่นเกมหนัก ๆ และด้วยความที่เป็นชิปเซ็ตรุ่นใหม่ จึงค่อนข้างประหยัดพลังงาน และไม่มีปัญหาด้านความร้อน ส่วนหน่วยความจำ RAM กับ ROM แม้จะไม่ใช่มาตรฐานใหม่ล่าสุด แต่ก็มีอัตราการอ่าน-เขียนข้อมูลที่รวดเร็ว ไม่หน่วงจนหงุดหงิดแน่นอน
สำหรับระบบการถ่ายภาพซึ่งเป็นจุดเด่นสำคัญของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ จุดที่ทางทีมงานมองว่าน่าประทับใจที่สุดอยู่ที่ระบบซูมแบบ In-Sensor ของเซนเซอร์ 200MP เพราะเป็นการซูมที่ไม่ทำให้ภาพแตก คล้ายกับการซูมแบบ Optical แม้จะไม่มีเลนส์ซูม ซึ่งช่วยได้ม่ากในการถ่ายรูป โดยเฉพาะแนวสตรีทโฟโต้ คุณภาพของรูปถ่ายโดยรวมก็ถือว่าน่าพึงพอใจ โดยคาแรกเตอร์ของภาพจะมีความสว่าง นุ่มนวล และอาจมีแสงฟุ้งในบางสถานการณ์ ส่วนภาพบุคคลมีการเบลอฉากหลังที่แนบเนียน เป็นธรรมชาติ และให้สกินโทนที่ค่อนข้างสว่าง แต่ก็ไม่ขาวจนเกินไป สามารถถ่ายแล้วอัปโหลดขึ้นบนโซเชียลมีเดียได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องแต่งเพิ่มครับ
จากทั้งหมดที่กล่าวมา ทางทีมงานเห็นว่า Redmi Note 13 Pro+ 5G เป็นสมาร์ตโฟนระดับกลางบนที่คุ้มค่ามาก ๆ ในตอนนี้ เพราะได้คุณสมบัติที่ครบถ้วนรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นจอ AMOLED ขอบโค้ง, กล้อง 200MP, ชิปรุ่นใหม่ MediaTek Dimensity 7200-Ultra ตอบโจทย์การใช้งานได้ทุกอย่าง แถมได้ชาร์จไว 120W ซึ่งหายากมากในสมาร์ตโฟนราคาหมื่นกลาง ใครกำลังมองหามือถือใหม่อยู่ในตอนนี้ Redmi Note 13 Pro+ 5G เป็นอีกตัวเลือกที่คุ้มค่า และไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนครับ
ราคา และโปรโมชันของ Redmi Note 13 Series
สำหรับ Redmi Note 13 จะมีให้เลือกขนาดความจุเดียวคือ 8GB+256GB ส่วน Redmi Note 13 5G และ Redmi Note 13 Pro+ 5G จะมีให้เลือก 2 ขนาดความจุคือ 8GB+256GB และ 12GB+256GB สรุปราคาวางจำหน่ายในไทยของทั้ง 3 รุ่น มีรายละเอียดดังนี้
- Redmi Note 13 (8GB+256GB) ราคา 6,999 บาท
- รับฟรี Portable Bluetooth Speaker มูลค่า 690 บาท
- โปรโมชั่นตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม - 29 กุมภาพันธ์ 2567
- Redmi Note 13 5G (8GB+256GB) ราคา 7,999 บาท
- Redmi Note 13 5G (12GB+512GB) ราคา 9,999 บาท
- รับฟรี Portable Bluetooth Speaker มูลค่า 690 บาท
- โปรโมชั่นตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม - 29 กุมภาพันธ์ 2567
- Redmi Note 13 Pro+ 5G (8GB+256GB) ราคา 13,990 บาท
- Redmi Note 13 Pro+ 5G (12GB+512GB) ราคา 15,990 บาท
- รับฟรี Portable Bluetooth Speaker มูลค่า 690 บาท
- พิเศษสำหรับลูกค้าที่สั่งจองล่วงหน้าระหว่างวันที่ 16 - 26 มกราคม 2567 รับฟรี! ประกันหน้าจอ 6 เดือน พร้อมอัปเกรดความจุเป็น 12GB+512GB และ Redmi Note 13 Series Giftbox รวมมูลค่าของสมนาคุณทั้งสิ้น 9,280 บาท
สรุปคุณสมบัติเด่นของ Redmi Note 13 Pro+ 5G
- ดีไซน์สวยงามสไตล์มินิมอล ด้วยหน้าจอขอบโค้ง และฝาหลังครอบกระจก
- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการทนน้ำ และทนฝุ่น ตามมาตรฐาน IP68
- ตัวเครื่องมีขนาด และน้ำหนักกำลังดี โดยมีด้วยความหนา 8.9 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักเพียง 204.5 กรัม
------------------------------
- จอแสดงผลขอบโค้ง แบบ CrystalRes AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียดสูงถึงระดับ 1.5K (2712x1220 พิกเซล : 446 PPI) ปกป้องด้วยกระจกนิรภัย Corning Gorilla Glass Victus
- อัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุดที่ 120Hz แบบ AdaptiveSync
- อัตราการตอบสนองของระบบสัมผัส (Touch Sampling Rate) สูงสุดที่ 2160Hz (แบบทันทีทันใด)
- แสดงผลสี 100% DCI-P3
- ความสว่างสูงสุด 1800 nits
- รองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (In-screen Fingerprint Sensor)
------------------------------
- ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7200-Ultra (4 นาโนเมตร) รุ่นใหม่
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G610
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5 ขนาด 8GB หรือ 12GB
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล (ROM) แบบ UFS 3.1 ขนาด 256GB หรือ 512GB
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 13 พร้อมครอบทับด้วย MIUI 14
- แบตเตอรี่ความจุ 5,000 mAh
- ระบบชาร์จแบตเตอรี่แบบ 120W HyperCharge พร้อมอแดปเตอร์ชาร์จภายในกล่อง ชาร์จ 0-100% ได้ในเวลา 19 นาที
- ลำโพงคู่สเตอริโอ ระบบเสียง Dolby Atmos
- รองรับระบบเสียงไร้สายคุณภาพสูง Hi-Res Audio Wireless
------------------------------
กล้องตัวหลักด้านหลัง 3 ตัว (AI Triple Camera) ประกอบด้วย
- กล้องหลัก เซนเซอร์ Samsung ISOCELL HP3 ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล ขนาด 1/1.4 นิ้ว รูรับแสง f/1.65 รองรับเทคโนโลยีรวมพิกเซลแบบ 16-in-1 (2.24 ไมครอน) พร้อมระบบกันสั่น OIS และเลนส์ 7P เคลือบสารกันแสงสะท้อน
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- มาพร้อมระบบการซูมแบบ In-Sensor ที่ระยะ 2x และ 4x มีไฟแฟลชในตัว และรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K 30fps
กล้องด้านหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 1080p FHD 60fps
------------------------------
- เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ Wi-Fi 6, 5G, 4G LTE, 3G WCDMA และ 2G EDGE/GPRS
- รองรับ 5G ย่านความถี่ n1/3/5/7/8/20/28/38/40/41/66/77/78
- รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด (Dual Nano-SIM)
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.3 และ NFC
- ระบุตำแหน่ง และนำทางผ่านระบบดาวเทียม QZSS, GPS, BeiDou, GLONASS, Galileo
- เซนเซอร์อินฟาเรด IR Blaster สามารถประยุกต์ใช้กับแอปพลิเคชันเฉพาะเพื่อใช้งานเป็นรีโมตเครื่องใช้ไฟฟ้าได้
- พอร์ต USB Type-C
สรุปคุณสมบัติเด่นของ Redmi Note 13 5G
- จอแสดงผลแบบ AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 2400x1080 พิกเซล ปกป้องด้วยกระจกนิรภัย Corning Gorilla Glass 5
- อัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุดที่ 120Hz
- แสดงผลสี 100% DCI-P3
- ความสว่างสูงสุด 1000 nits
- รองรับการสแกนลายนิ้วมือที่ปุ่มด้านข้างตัวเครื่อง (Side Fingerprint Sensor)
------------------------------
- ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 6080 (6 นาโนเมตร)
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G57
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB หรือ 12GB
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล (ROM) แบบ UFS 2.2 ขนาด 256GB หรือ 512GB
- รองรับหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card สูงสุด 1TB
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 13 พร้อมครอบทับด้วย MIUI 14
- แบตเตอรี่ความจุ 5,000 mAh
- รองรับระบบชาร์จเร็วขนาด 33W พร้อมอแดปเตอร์ชาร์จภายในกล่อง
- ลำโพงคู่สเตอริโอ ระบบเสียง Dolby Atmos
------------------------------
กล้องตัวหลักด้านหลัง 3 ตัว (AI Triple Camera) ประกอบด้วย
- กล้องหลัก ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล, รูรับแสง f/1.7
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, รูรับแสง f/2.2
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล, รูรับแสง f/2.4
กล้องด้านหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล
------------------------------
- เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ Wi-Fi, 5G, 4G LTE, 3G WCDMA และ 2G EDGE/GPRS
- รองรับ 5G ย่านความถี่ n1/3/5/7/8/20/28/38/40/41/66/77/78
- รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด (ซิมการ์ดที่ 1+ซิมการ์ดที่ 2 หรือ ซิมการ์ดที่ 1+microSD Card)
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.3 และ NFC
- ระบุตำแหน่ง และนำทางผ่านระบบดาวเทียม QZSS, GPS, BeiDou, GLONASS, Galileo
- เซนเซอร์อินฟาเรด IR Blaster สามารถประยุกต์ใช้กับแอปพลิเคชันเฉพาะเพื่อใช้งานเป็นรีโมตเครื่องใช้ไฟฟ้าได้
- พอร์ต USB Type-C
สรุปคุณสมบัติเด่นของ Redmi Note 13
- จอแสดงผลแบบ AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 2400x1080 พิกเซล ปกป้องด้วยกระจกนิรภัย Corning Gorilla Glass 3
- อัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุดที่ 120Hz
- แสดงผลสี 100% DCI-P3
- ความสว่างสูงสุด 1800 nits
- รองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (In-screen Fingerprint Sensor)
------------------------------
- ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 685 Mobile Platform (6 นาโนเมตร)
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล (ROM) แบบ UFS 2.2 ขนาด 256GB
- รองรับหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card สูงสุด 1TB
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 13 พร้อมครอบทับด้วย MIUI 14
- แบตเตอรี่ความจุ 5,000 mAh
- รองรับระบบชาร์จเร็วขนาด 33W พร้อมอแดปเตอร์ชาร์จภายในกล่อง
- ลำโพงคู่สเตอริโอ ระบบเสียง Dolby Atmos
------------------------------
กล้องตัวหลักด้านหลัง 3 ตัว (AI Triple Camera) ประกอบด้วย
- กล้องหลัก ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล, รูรับแสง f/1.75
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, รูรับแสง f/2.2
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล, รูรับแสง f/2.4
กล้องด้านหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล
------------------------------
- เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ Wi-Fi, 4G LTE, 3G WCDMA และ 2G EDGE/GPRS
- รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด (ซิมการ์ดที่ 1+ซิมการ์ดที่ 2 หรือ ซิมการ์ดที่ 1+microSD Card)
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.1 และ NFC
- ระบุตำแหน่ง และนำทางผ่านระบบดาวเทียม QZSS, GPS, BeiDou, GLONASS, Galileo
- เซนเซอร์อินฟาเรด IR Blaster สามารถประยุกต์ใช้กับแอปพลิเคชันเฉพาะเพื่อใช้งานเป็นรีโมตเครื่องใช้ไฟฟ้าได้
- พอร์ต USB Type-C
วันที่ : 17/01/2024