รีวิว (Review) realme C3
สมาร์ทโฟนชิปเกมมิ่ง Helio G70 รุ่นแรกในไทย พร้อมแบตใหญ่ 5000 mAh และกล้องหลัง AI 3 ตัว บนบอดี้ Sunrise Design สวยสะดุดตา ผสานหน้าจอหยดน้ำ 6.5 นิ้ว ในราคาประหยัดคุ้มค่าเพียง 3,999 บาท
21 กุมภาพันธ์ 2020 - เมื่อวันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2020 ที่ผ่านมา อีกหนึ่งแบรนด์ที่กำลังมาแรงในบ้านเราอย่าง realme (ประเทศไทย) ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนน้องใหม่จากตระกูล C Series อย่าง realme C3 มาทำตลาดในประเทศไทยเพิ่มเติม กับจุดเด่นที่น่าสนใจอย่างกล้องหลัง 3 ตัว พร้อมแบตเตอรี่ความจุสูงสุดอึด และมีราคาประหยัดคุ้มค่า กับสโลแกน 3 เลนส์ เกมแรง ซึ่งแน่นอนว่าเน้นไปที่การถ่ายภาพเป็นหลักด้วยกล้องหลัง AI 3 ตัว (AI Triple Camera) ที่มีกล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมด้วยกล้อง Macro สำหรับถ่ายภาพระยะใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร และกล้อง Portrait ในการทำภาพหน้าชัดหลังเบลอ ส่วนกล้องหน้า AI Portrait Selfie มีความคมชัดที่ 5 ล้านพิกเซล โดยมาพร้อมโหมดหน้าสวยอย่าง AI Beauty และการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ
อีกหนึ่งจุดเด่นของ realme C3 ก็คือแบตเตอรี่ที่มีความจุมากถึง 5000 mAh ซึ่งหาได้ยากในสมาร์ทโฟนระดับราคาใกล้เคียงกัน ซึ่งทาง realme ระบุว่าสามารถใช้งานได้นานสุด 22 ชั่วโมง และ Standby ได้นานถึง 30 วัน โดยรองรับระบบการชาร์จแบตเตอรี่แบบ 5V/2A พร้อมฟังก์ชัน Reverse Charging ในการชาร์จแบตเตอรี่ให้กับสมาร์ทโฟนเครื่องอื่นผ่านสาย OTG
realme C3 ยังถือเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่ได้ใช้งานชิปเซ็ตรุ่นใหม่สายเกมมิ่งอย่าง MediaTek Helio G70 แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็ว 2.0 GHz บนเทคโนโลยีการผลิตระดับ 12nm พร้อมกับหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Mali-G52 ที่ตอบโจทย์การเล่นเกมได้ดียิ่งขึ้น โดยทำงานร่วมกับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 3GB มีหน่วยความจำภายในตัวเครื่อง (ROM) ขนาด 32GB ที่สามารถเพิ่ม microSD ได้อีก 256GB ซึ่งทั้งหมดนี้ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 ใหม่ล่าสุด ที่ถูกครอบทับด้วย realme UI 1.0 เป็นครั้งแรก ซึ่งมาพร้อมฟังก์ชันอำนวยความสะดวกอีกมากมาย อย่างเช่น Focus Mode และ Dark Mode
การดีไซน์ของ realme C3 โดดเด่นด้วยหน้าจอ LCD แบบไร้ขอบทรงหยดน้ำ Mini-Drop Full Screen ขนาด 6.5 นิ้ว คมชัดระดับ HD+ (720x1600 พิกเซล) ในอัตราส่วนแบบ 20:9 คิดเป็นสัดส่วนพื้นที่การแสดงผลที่ประมาณ 89.8% และครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 3
สำหรับฝาหลังมีดีไซน์แบบ Sunrise ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก แสงแรกของพระอาทิตย์ โดยมีการขัดมัน แกะสลักเรเดียม พร้อมขัดเงา และเทคโนโลยีการพ่นทราย จึงทำให้ตัวเครื่องมีลวดลายสวยงามเมื่อตกกระทบกับแสงในมุมต่างๆ รวมถึงรองรับเทคโนโลยีป้องกันละอองน้ำ (ไม่สามารถนำไปจุ่มน้ำได้) ซึ่งมีด้วยกัน 2 สี ได้แก่ Frozen Blue ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากธารน้ำแข็ง และ Blazing Red ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากลาวา
จากข้อมูลในข้างต้นก็กล่าวได้ว่า realme C3 มีจุดเด่นที่น่าสนใจอยู่หลายด้านเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์ตัวเครื่องที่สวยสะดุดตา พร้อมฟีเจอร์ที่อัปเกรดขึ้นแบบครบครัน ทั้งการใช้งาน และการถ่ายภาพ กับราคาจำหน่ายในบ้านเราที่เพียง 3,999 บาท ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ดีไซน์ตัวเครื่องจะสวยงามขนาดไหน และฟีเจอร์ที่มีอยู่จะตอบสนองต่อการใช้งานได้ดีเพียงใด ขอเชิญทุกท่านรับชมการรีวิว realme C3 พร้อมกันได้เลยค่ะ
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์
realme C3 มาในแพ็กเกจสีเหลือง พร้อมระบุชื่อรุ่นไว้อย่างชัดเจน
ภายในกล่องมี อะแดปเตอร์ (5V/2A), สายเชื่อมต่อแบบ microUSB, คู่มือการใช้งาน และเข็มสำหรับถอดถาดซิมการ์ด
realme C3 มาพร้อมหน้าจอแสดงผล LCD Mini-Drop Full Screen ขนาด 6.5 นิ้ว ในอัตราส่วน 20:9 โดยมีพื้นที่การแสดงผลคิดเป็น 89.8% ความละเอียดระดับ HD+ (720x1600 พิกเซล : 269 ppi) และครอบทับด้วยกระจกขอบโค้งแบบ 2.5D Corning Gorilla Glass 3 บนตัวเครื่องมีขนาด 164.4x75x8.95 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 195 กรัม
ที่ด้านบนมีรอยบากทรงหยดน้ำที่ขนาดเล็กลงจากใน รุ่นก่อนๆ ถึง 30.9% ประกอบไปด้วยกล้องหน้าสำหรับเซลฟี่ AI Portrait Selfie ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสง F/2.4 รองรับเทคโนโลยี AI Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ ผ่านการวิเคราะห์โดยปัญญาประดิษฐ์
พร้อมลำโพงสนทนาที่ด้านบน และติดตั้งเซ็นเซอร์ Proximity สำหรับปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน กับเซ็นเซอร์ Ambient Light สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอ และแผงปุ่มกดให้เหมาะสม
รองรับระบบสแกนใบหน้าแบบ AI Facial Unlock ในการปลดล็อกตัวเครื่องอีกด้วย ซึ่งสามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็วทันใจ
ด้านหน้าส่วนล่างประกอบด้วย ปุ่มกดแบบ On-Screen ประกอบด้วย ปุ่ม Recent Apps, ปุ่มโฮม และปุ่มย้อนกลับ
หรือเลือกใช้งานวิธีควบคุมแบบ Gestures ซึ่งเป็นการลาก และปัดบริเวณขอบหน้าจอเพื่อสั่งการได้ด้วย
ที่ด้านบนของตัวเครื่องไม่มีช่อง หรือปุ่มสั่งการใดๆ
ที่ด้านล่างประกอบด้วยช่องสำหรับเชื่อมต่อหูฟัง ขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟนสำหรับสนทนา, พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ microUSB และลำโพงเสียงตัวหลัก
ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีถาดใส่ซิมการ์ด nanoSIM แบบ Triple-Slot ซึ่งรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด และการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD ที่ความจุสูงสุด 256GB ได้ในเวลาเดียวกัน รวมถึงปุ่มเพิ่ม-ลดระดับเสียง
ด้านขวาของตัวเครื่อง มีปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง หรือล็อกหน้าจอ
realme C3 มาพร้อมฝาหลังดีไซน์ใหมแบบ Sunrise ที่ได้แรงบันดาลใจจากแสงแรกของดวงอาทิตย์ โดยมีการขัดมัน แกะสลักเรเดียม พร้อมขัดเงา และเทคโนโลยีพ่นทราย รวมถึงรองรับเทคโนโลยีป้องกันละอองน้ำ โดยตัวเครื่องที่ทางทีมงานนำมารีวิวนั้นเป็นสีแดง Blazing Red
ซึ่งทาง realme ระบุว่ามีการทดสอบตัวเครื่อง realme C3 ในสถานการณ์ต่างๆ มาแล้วนับไม่ถ้วนก่อนที่จะพัฒนาเพื่อนำมาวางจำหน่ายจริง ไม่ว่าจะเป็น การปล่อยเครื่องจากที่สูง (Drop Test) 10,000 ครั้ง, ทดสอบการเสียบ USB 10,000 ครั้ง และทดสอบปุ่มกดต่างๆ มากกว่า 100,000 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสินค้าจะมีคุณภาพอยู่ในระดับสูงที่ผู้ใช้มั่นใจได้
กล้องตัวหลักที่ด้านหลังของ realme C3 มีทั้งหมด 3 ตัว (AI Triple Camera) พร้อมไฟแฟลช LED ที่มุมบนซ้ายในแนวตั้ง โดยกล้องตัวแรกความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่มีขนาดรูรับแสง F/1.8, กล้องตัวที่สองเลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล มีขนาดรูรับแสงที่ F/2.4 ถ่ายภาพระยะใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร และกล้องตัวที่สามเลนส์ Portrait ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล มีขนาดรูรับแสงที่ F/2.4 สำหรับทำภาพหน้าชัดหลังเบลอ
ส่วนเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner) จะอยู่ถัดลงมาตรงกลางที่ด้านหลัง
เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ
realme C3 ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 10 ซึ่งถูกครอบทับด้วย realme UI 1.0 เป็นรุ่นแรกของค่าย ที่มีหน้าตา User Interface ใหม่หมดจด โดยไอคอนทั้งหมดถูกปรับดีไซน์ให้ดูเรียบง่ายขึ้นด้วยรูปทรงแบบกลม และมีการใช้สีสันที่มีความโดดเด่นสะดุดตา ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบของไอคอนได้ที่เมนู Icon Style โดยมากับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 3GB พร้อมความจุภายในตัวเครื่อง (ROM) ขนาด 32GB ที่สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD ได้อีก 256GB
และสามารถใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด พร้อมรองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G แบบ Dual 4G LTE
เมื่อลากจากขอบด้านบนของหน้าจอลงมาจะพบกับ Toggle Switch ปุ่มลัดสำหรับการเปิด-ปิดฟังก์ชันต่างๆ มากมาย เช่น การใช้งานอินเทอร์เน็ต, Bluetooth หรือการหมุนหน้าจออัตโนมัติ รวมถึง Notification Center แถบการแจ้งเตือนต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าไอคอนมีดีไซน์ใหม่เป็นทรงเหลี่ยม
โดยสามารถปรับตำแหน่งของคีย์ลัดต่างๆ ได้ตามที่ต้องการ
เมื่อกดปุ่ม Recent Apps จะพบกับหน้าแอปพลิเคชันทั้งหมดที่เปิดใช้งานเอาไว้ ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกปิดแอปพลิเคชันที่เปิดค้างเอาไว้ได้ เพียงแค่เลื่อนหน้าต่างแอปนั้นๆ ไปยังด้านบน หรือปิดแอปพลิเคชันทั้งหมดภายในครั้งเดียวด้วยการกดปุ่ม Clear ที่ด้านล่าง
สามารถเข้าสู่เมนูการปรับแต่งหน้าจอ เพื่อปรับตำแหน่งของไอคอน พร้อมเลือกใช้งาน Widget ที่ต้องการ รวมถึงเอฟเฟ็กเวลาเปลี่ยนหน้าจอ และภาพพื้นหลังได้ เพียงกดค้างที่หน้าจอ
สำหรับบริการต่างๆ จากทาง Google รวมถึงแอปพลิเคชันพื้นฐาน ก็มีการติดตั้งมาไว้ให้ได้ใช้งานอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Contact, Recorder, Compass, Calculator, Clone Phone, One-Tap Lockscreen สำหรับล็อกหน้าจอ, วิทยุ FM, Game Space, Calendar และ Weather
สามารถปรับค่าการแสดงผลต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น ความสว่างอัตโนมัติ, อุณหภูมิสี หรือขนาดของตัวอักษร รวมถึงรองรับ Dark Mode ในการเปลี่ยนพื้นหลังให้กลายเป็นสีดำ และยังเลือกให้แอปพลิเคชันจาก Third-Party แสดงผลพื้นหลังเป็นสีดำได้อีกด้วย โดยในเบื้องต้นยังเป็นแบบ Beta อยู่
ตัวอย่างการใช้งาน Dark Mode
และด้วยดีไซน์ของ realme C3 เป็นจอไร้ขอบแบบ Mini-Drop Full Screen ในอัตราส่วน 20:9 จึงสามารถปรับให้บางแอปพลิเคชันสามารถแสดงผลในสัดส่วนแบบเต็มหน้าจอได้
สามารถปรับขนาดการแสดงผลตัวอักษร และหน้าจอได้ตามความถนัดของแต่ละบุคคล
สามารถตั้งค่า Home Screen และ Lock Screen ได้
โดยเลือกใช้งานหน้าจอได้ทั้งในโหมดปกติ (Standard), แบบ Drawer (ค่า Default) หรือแบบ Simple ที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ
และเลือกจำนวนการแสดงผลของไอคอนบนหน้าจอได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ 5x6 (ค่าเริ่มต้น) และ 4x6
สามารถปรับเปลี่ยนธีม (Theme), Font และภาพพื้นหลัง (Wallpaper) ได้
และเลือกเปลี่ยนธีม (Theme), รูปแบบ Font และภาพพื้นหลัง (Wallpaper) ได้เพิ่มเติมที่แอปพลิเคชัน Theme Store
รวมถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบของไอคอน
บน realme C3 สามารถทำการสลับตำแหน่งของปุ่ม Navigation Keys ให้เหมาะกับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนได้
หรือเลือกใช้งานการควบคุมแบบ Swipe Gestures From Both Sides ในการปัดหน้าจอจากด้านข้างลักษณะต่างๆ เพื่อสั่งการ
หรือเลือกใช้งานการควบคุมแบบ Swipe-Up Gestures ในการปัดหน้าจอขึ้นลักษณะต่างๆ เพื่อสั่งการ
รวมถึงการเปิดใช้งานฟังก์ชัน Assistive Ball ปุ่มคีย์ลัดที่สามารถเลื่อนเปลี่ยนตำแหน่งได้
และรองรับฟังก์ชัน Smart Slider สำหรับเรียกใช้งานคีย์ลัด และแอปพลิเคชันต่างๆ ผ่านการสไลด์ที่บริเวณขอบสีขาวที่หน้าจอ
โดยรองรับการใช้งานทั้งในแนวตั้ง และแนวนอน พร้อมเลือกแอปพลิเคชันอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติมในแถบ Smart Slider ได้
และเมื่อกดค้างที่แอปพลิเคชันต่างๆ จะปรากฎคีย์ลัด เพื่อการใช้งานที่รวดเร็วยิ่งขึ้น
สำหรับฟังก์ชันการใช้งานอัจฉริยะก็มีให้ใช้งาน บน realme C3 ด้วยเช่นกัน ซึ่งประกอบไปด้วย การแคปเจอร์หน้าจอด้วยการลาก 3 นิ้วจากบนลงล่าง, การยกตัวเครื่องขึ้นเพื่อเป็นการปลุกการทำงาน, การรับสายอัตโนมัติ, การสลับจากลำโพงภายนอก มาเป็นลำโพงสำหรับสนทนาเมื่อนำมือถือมาแนบที่ใบหู และการคว่ำตัวเครื่องเพื่อปิดเสียงสายโทรเข้า
รวมถึง Screen-Off Gestures การวาดนิ้วในลักษณะต่างๆ ขณะหน้าจอดับอยู่ เพื่อเปิดใช้งานคีย์ลัด เช่น แตะสองครั้งเพื่อปลุกหน้าจอ, วาดตัวอักษร O เพื่อเปิดแอปพลิเคชันกล้องถ่ายภาพ, วาดตัวอักษร V เพื่อเปิดใช้งานไฟฉาย และการวาดตัวอักษร < หรือ > เพื่อเปลี่ยนเพลง นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งค่ารูปแบบการวาดเพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชันอื่นๆ ได้อีกด้วย
และยังสามารถบันทึกภาพสกรีนช็อตแบบยาวได้ด้วย
เมื่อกดปุ่ม Power ค้างไว้ประมาณ 2 วินาทีจะเป็นการเรียกใช้งาน Google Assistant ผู้ช่วยอัจฉริยะจาก Google ที่ผู้ใช้สามารถสั่งงานภายในตัวเครื่อง รวมถึงค้นหาสิ่งต่างๆ ที่ต้องการผ่านคำสั่งเสียง รวมถึงบริการ Google Lens บริการค้นหาวัตถุ หรือสถานที่ด้วยการนำกล้องไปถ่ายวัตถุนั้นๆ ได้อย่างง่ายดาย
ตัวอย่างการค้นหาด้วยฟีเจอร์ Google Lens
แอปพลิเคชัน Phone Manager เครื่องมือสำหรับจัดการประสิทธิภาพภายในตัวเครื่อง ทั้งการเคลียร์ไฟล์แคช (Cache File), จัดการความเป็นส่วนตัว หรือการสแกนไวรัส ซึ่งจะช่วยให้ตัวเครื่องมีความปลอดภัย และใช้งานได้รวดเร็วอยู่ตลอดเวลา
realme C3 มีแบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh ที่ทาง realme ระบุว่าสามารถ Standby ได้นานถึง 727.7ชั่วโมง หรือประมาณ 30 วัน, สนทนาได้นานต่อเนื่อง 43.9 ชั่วโมง, เล่น PUBG ได้นาน 10.6 ชั่วโมง, ฟังเพลงออนไลน์ได้ 19.4 ชั่วโมง และดูหนังออนไลน์ได้ 20.8 ชั่วโมง และสามารถใช้งานในโหมดประหยัดพลังงานอย่าง Smart Power Saver ที่ช่วยจัดการพลังงานให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น โดยเมื่อกดใช้งานแถบแบตเตอรี่บนหน้าจอจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
นอกจากนี้ realme C3 ยังมีความสามารถในการแปลงร่างเป็น Power Bank ให้กับสมาร์ทโฟนเครื่องอื่นผ่านสาย OTG ด้วยฟังก์ชัน Reverse Charging
พร้อมโหมด High Performance สำหรับเร่งการประมวลผลด้านต่างๆ ให้เร็ว และแรงกว่าเดิม โดยเมื่อเปิดใช้งานจะมีสัญลักษณ์แบตเตอรี่สีเขียวที่ด้านซ้าย
และรองรับฟังก์ชัน App Quick Freeze สำหรับช่วยหยุดการทำงานของแอปพลิเคชันที่ไม่ได้เรียกใช้งานในปัจจุบัน
ฟังก์ชัน Do Not Disturb สำหรับปิดการแจ้งเตือนทั้งหมดแบบไม่มีการสั่นเตือน ยกเว้นการตั้งปลุกที่ผู้ใช้ตั้งค่าเอาไว้ โดยจะมีสัญลักษณ์รูปพระจันทร์ที่ด้านบนเมื่อเปิดการใช้งาน
สามารถตรวจสอบเวลาที่ใช้ไปในแต่ละแอปพลิเคชัน รวมถึงกำหนดระยะเวลาในการใช้งานในแต่ละแอปพลิเคชันได้
และรองรับฟังก์ชันใหม่ล่าสุดอย่าง Focus Mode สำหรับช่วยตัดผู้ใช้ออกจากโลกภายนอก โดยระบบจะปิดแอปพลิเคชันที่ตั้งค่าไว้แบบชั่วคราว พร้อมเปิดเพลงสบายๆ โดยผู้ใช้สามารถเลือก Theme ของเพลงได้ และเปิดโหมดห้ามรบกวน (Do Not Disturb) เพื่อปิดการแจ้งเตือนต่างๆ ตอบโจทย์เวลาที่ผู้ใช้ต้องการสมาธิ หรือเข้านอนนั่นเอง
App Cloner อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจบน realme C3 สำหรับโคลนนิ่งแอปพลิเคชัน ซึ่งในเบื้องต้นสามารถโคลนนิ่งได้เฉพาะแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น Facebook และ Line จึงทำให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้พร้อมกันถึง 2 แอคเคานท์
realme C3 มีฟังก์ชัน Split Screen ที่สามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้งานสองแอปพลิเคชันได้พร้อมๆ กัน ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ทั้งหมด 4 วิธี
ตัวอย่างการใช้งานพร้อมกัน 2 หน้าจอ
ในส่วนของเว็บเบราว์เซอร์ก็ตอบสนองต่อการใช้งาน ได้ดี ไหลลื่น และสามารถแสดงเนื้อหาทั้งหมดได้อย่างถูกต้องครบถ้วน พร้อม Night Mode สำหรับการแสดงผลในเวลากลางคืน
ทางด้านอัลบั้มภาพถ่ายนั้นสามารถแสดงภาพถ่ายได้ หลักๆ 2 แบบ คือ รวมภาพถ่ายทั้งหมด และแสดงแบบแยกอัลบั้ม
สำหรับระบบรักษาความปลอดภัยของ realme C3 มีทั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังของตัวเครื่อง (Fingerprint Scanner) โดยสามารถตั้งค่าการใช้งานเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือสำหรับปลุกการทำงานของเครื่อง หรือปลดล็อกหน้าจอได้ พร้อมทั้งสามารถเพิ่มลายนิ้วมือได้มากกว่า 1 ลายนิ้วมือ โดยทาง realme ระบุว่าใช้เวลาในการปลดล็อกเพียง 0.27 วินาที ซึ่งจากการทดสอบตัวเซ็นเซอร์ก็สามารถปลดล็อกหน้าจอได้รวดเร็วทันใจ
และการปลดล็อกด้วยใบหน้า (AI Facial Unlock) ที่สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว
ท่านที่ใช้งาน realme C3 เป็นสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่แล้วอยากย้ายข้อมูลจากสมาร์ทโฟนเครื่องเดิม ก็สามารถโอนย้ายข้อมูลด้วยแอปพลิเคชัน Clone Phone ได้ทันที
realme C3 รองรับการเล่นเพลง และไฟล์เสียงต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชัน Music และสามารถเปิดใช้งานระบบเสียง Dirac ได้ โดยผู้ใช้สามารถสามารถปรับรูปแบบอีควอไลเซอร์ได้หลากหลาย รวมถึงเทคโนโลยี Smart PA ที่ช่วยเพิ่มคุณภาพเสียงให้ดียิ่งขึ้น (ระบบเสียง Dirac และเทคโนโลยี Smart PA จะต้องใช้งานร่วมกับหูฟังเท่านั้น)
realme C3 มาพร้อมฟังก์ชันเพื่อความเป็นส่วนตัวอย่าง App Lock สำหรับล็อกแอปพลิเคชันต่างๆ ภายในตัวเครื่อง รวมถึง Private Safe ที่เปรียบเสมือนตู้นิรภัยประจำสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้สามารถย้ายไฟล์รูปภาพ, ไฟล์เสียง, ไฟล์เอกสาร และไฟล์ประเภทอื่นๆ เข้าไปเก็บไว้ได้ ซึ่งจำเป็นต้องทำการยืนยันตัวตนเพื่อเข้าใช้งาน นอกจากนี้ก็มีระบบรักษาความปลอดภัยเมื่อต้องกรอกรหัสผ่าน และการป้องกันการบันทึกหน้าจอที่เปิดเผยข้อมูลสำคัญ
สำหรับเซ็นเซอร์ในเครื่อง realme C3 นั้นประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor และ Magnetic Sensor
สามารถจับสัญญาณดาวเทียม GPS ในที่กลางแจ้งได้ดี พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS ของรัสเซีย โดยจากภาพตัวอย่างการทดสอบข้างต้นจะเห็นว่าสามารถจับสัญญาณดาวเทียมได้ทั้งหมด 48 ดวง และมีความแม่นยำในระดับบวกลบ 1 เมตร แต่อย่างไรก็ดีคุณภาพของสัญญาณดาวเทียม GPS ก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ ที่กำลังใช้งานอยู่ หรือสภาพอากาศด้วยนั่นเอง
realme C3 มาพร้อมชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Helio G70 แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 2.0 GHz โดยมีหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G52, หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 3GB, หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 32GB ที่สามารถเพิ่ม microSD ได้อีก 256GB และทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 ซึ่งถูกครอบทับด้วย User Interface แบบ realme UI 1.0
realme C3 มีผลทดสอบจากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ที่ 181,882 คะแนน และผลทดสอบจาก Geekbench 5 ในด้านการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ที่ 386 คะแนน และในด้านการประมวลผลหลายแกน (Multi-Core) ที่ 1,303 คะแนน
สำหรับการทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark แบบ OpenGL ES 3.1 ได้คะแนนการทดสอบที่ 1,200 คะแนน ส่วนการทดสอบแบบ Vulkan ได้คะแนนการทดสอบที่ 1,201 คะแนน
realme C3 รองรับการสัมผัสได้พร้อมกันสูงสุด 10 จุด
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจบน realme C3 คือ Game Space ฟังก์ชันที่ตอบโจทย์เหล่าเกมเมอร์โดยเฉพาะ ซึ่งผู้ใช้สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่างๆ ขณะเล่นเกม รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอได้
และใน Game Space ก็มี Graphics Acceleration สำหรับรีดประสิทธิภาพการประมวลผลของ GPU เพื่อให้การเล่นเกมเป็นไปอย่างลื่นไหลที่สุด รวมไปถึง Network Protection สำหรับจำกัดการใช้งานอินเทอร์เน็ตของแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง เพื่อช่วยลดอาการแลคขณะเล่นเกมออนไลน์ที่จำเป็นต้องมีการรับ-ส่งข้อมูลอยู่ตลอดเวลา
จากการทดสอบด้วยการเล่นเกมที่มีกราฟิกแบบสาม มิติอย่าง Marvel Future Fight, World of Dragon Nest (WOD) และ Phantoms : Tang Dynasty ก็พบว่า realme C3 นั้นสามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้อย่างลื่นไหล ซึ่งก็มีการกระตุก รวมถึงสะสมความร้อนให้เห็นบ้างเมื่อเล่นเกมติดต่อกันเป็นเวลานาน
realme C3 มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลไร้ขอบแบบ LCD Mini-Drop Full Screen ขนาด 6.5 นิ้ว ในอัตราส่วน 20:9 (พื้นที่การแสดงผล 89.8%) ความละเอียดระดับ HD+ (720x1600 พิกเซล) จึงสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ HD 720p ได้อย่างคมชัดเต็มอรรถรส และให้มุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ
การใช้งานกล้องดิจิทัลสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ
realme C3 มาพร้อมกับระบบกล้องหลัง AI 3 ตัว
(AI Triple Camera) แบ่งออกเป็น
กล้องตัวแรกความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่มีขนาดรูรับแสง F/1.8
กล้องตัวที่สองเลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ที่มีขนาดรูรับแสงที่
F/2.4
กล้องตัวที่สามเลนส์ Portrait ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ที่มีขนาดรูรับแสงที่
F/2.4
โดย Interface ของแอปพลิเคชันกล้องมีการดีไซน์เรียบหรู สบายตา และมีเมนูให้ได้เลือกใช้อย่างชัดเจน โดยสามารถเลือกถ่านภาพในมุมปกติ (1x) หรือซูมที่ 2 เท่า (2x) หรือสูงสุดที่ 4 เท่า (4X), เปิด-ปิด ไฟแฟลช, โหมด HDR, ฟังก์ชัน Chroma Boost โหมดเพิ่มสีสัน และฟีลเตอร์แบบต่างๆ
realme C3 มาพร้อมกับโหมด AI Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ ผ่านการวิเคราะห์โดยปัญญาประดิษฐ์ ที่ปรับระดับได้ตามใจชอบ
และโหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้
รวมถึงโหมด Ultra Macro สำหรับถ่ายภาพในระยะใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร โดยสามารถเปิด-ปิด ไฟแฟลช, ฟังก์ชัน Chroma Boost และใส่ฟีลเตอร์ได้
รองรับการถ่ายภาพมุมกว้างในโหมด PANO
สำหรับโหมด Expert กับรายละเอียดการตั้งค่าต่างๆ ที่ครบครัน และครอบคลุมสำหรับช่างภาพแทบทั้งหมด ก็มีให้เลือกใช้บน realme C3 ด้วยเช่นกัน
การถ่ายวิดีโอบน realme C3 สามารถบันทึกความละเอียดสูงสุดในโหมดปกติได้ที่ระดับ Full HD 1080p (30 fps) พร้อมซูมได้สูงสุดที่ 4 เท่า (4x)
รองรับการใส่ฟีลเตอร์แบบต่างๆ
พร้อมรองรับฟังก์ชัน TIME-LAPSE และ SLO-MO ที่ 120 fps
ทางด้านกล้องดิจิทัลด้านหน้าของ realme C3 มีความคมชัด 5 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยี AI มีขนาดรูรับแสงที่ F/2.4 โดยมีหน้าตา Interface ที่สามารถใช้งานได้ง่ายเช่นเดียวกัน พร้อมทั้งแสดงไอคอนเอาไว้ให้ใช้งานได้ทันที ทั้งการเปิดปิดไฟแฟลช, ฟังก์ชัน HDR และการเพิ่มฟีลเตอร์แบบต่างๆ
กล้องหน้าของ realme C3 รองรับเทคโนโลยี AI Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ ผ่านการวิเคราะห์โดยปัญญาประดิษฐ์ โดยสามารถเลือกระดับผิวเนียนได้ตั้งแต่ 0 - 100% โดยค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ 30%
สำหรับโหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) สามารถปรับระดับความเบลอได้
พร้อมเพิ่มฟีลเตอร์แบบต่างๆ
และรองรับเทคโนโลยี AI Beauty
รวมถึงโหมด PANO
การถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าของ realme C3 รองรับความละเอียดสูงสุดที่ระดับ Full HD 1080p และสามารถใส่ฟีลเตอร์แบบต่างๆ
รวมถึงรองรับฟังก์ชันTIME-LAPSE
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 3 ตัว (AI
Triple Camera) ความละเอียดระดับ 12+2+2 ล้านพิกเซล ของ realme C3
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Chroma Boost
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Chroma Boost
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Chroma Boost
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Chroma Boost
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Chroma Boost
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Chroma Boost
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Chroma Boost
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Chroma Boost
ภาพถ่ายจากโหมด Ultra Macro
ภาพถ่ายจากโหมด Ultra Macro พร้อมฟังก์ชัน Chroma Boost
ภาพถ่ายจากโหมด Ultra Macro
ภาพถ่ายจากโหมด Ultra Macro พร้อมฟังก์ชัน Chroma Boost
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait
ภาพถ่ายในเวลากลางคืน
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า ความละเอียด 5 ล้านพิกเซลของ realme C3
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด AI Beauty ที่ระดับ 30% (ค่าเริ่มต้น)
ภาพถ่ายจากโหมด AI Beauty ที่ระดับ 100%
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait พร้อมเปิด AI Beautyที่ระดับ 30% (ค่าเริ่มต้น)
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait พร้อมเปิด AI Beautyที่ระดับ 100%
สรุปผลการทดสอบของ realme C3
จากการทดสอบทั้งหมดในข้างต้นก็พอจะกล่าวได้ว่า realme C3 เป็นสมาร์ทโฟนน้องใหม่ที่มีความน่าสนใจรอบด้านในราคาประหยัดคุ้มค่า เริ่มตั้งแต่กล้องถ่าภาพที่จัดมาให้ 3 ตัว (AI Triple Camera) ประกอบ ด้วย กล้องหลักคมชัด 12 ล้านพิกเซล พร้อมด้วยกล้อง Macro สำหรับถ่ายภาพระยะ 4 เซนติเมตร และกล้อง Portrait ในการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ โดยรองรับโหมดการถ่ายภาพที่ตอบโจทย์การใช้งานในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็น การโฟกัสภาพแบบ PDAF, ฟีเจอร์ Chrome Boost ในการเพิ่มสีสันให้กับภาพถ่าย, โหมดผิวสวย AI Beauty ที่สามารถปรับระดับได้ที่ 0-100%, โหมด Portrait ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ และฟังก์ชันการถ่ายวิดีโอแบบ Slow-motion ที่ระดับ 120 fps ส่วนกล้องหน้า AI Portrait Selfie คมชัด 5 ล้านพิกเซล รองรับเทคโนโลยี AI Beauty ที่สามารถปรับระดับได้ที่ 0-100% และโหมด Portrait ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้เช่นกัน
อีกหนึ่งจุดขายสำคัญของ realme C3 ก็คือแบตเตอรี่ความจุสูง 5000 mAh ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน โดยไม่ต้องกังวลว่าแบตจะหมดเร็วทั้งการทำงาน, เล่นเกม หรือดูซีรีส์เรื่องโปรด ซึ่งทาง realme ระบุว่าสามารถใช้งานได้นานสุด 22 ชั่วโมง และ Stand by ได้นานถึง 30 วัน พร้อมโหมดประหยัดพลังงานอย่าง Smart Power Saver ผสานกับฟังก์ชัน App Quick Freeze สำหรับช่วยหยุดการทำงานของแอปพลิเคชันที่ไม่ได้เรียกใช้งานในปัจจุบัน ที่ช่วยยืดระยเวลาการใช้งานให้นานยิ่งขึ้น แต่หากต้องการใช้งานแบบในโหมดประสิทธิภาพสูงสุดของตัวเครื่อง realme C3 ก็มีโหมด High Performance ให้ใช้งานด้วย สำหรับเร่งการประมวลผลด้านต่างๆ ให้เร็ว และแรงกว่าเดิม โดยเมื่อเปิดใช้งานตัวเครื่องจะใช้ทรัพยากรมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง และอาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกตินั่นเอง รวมถึงรองรับระบบการชาร์จแบตเตอรี่แบบ 5V/2A และฟังก์ชัน Reverse Charging ในการแปลงร่างเป็น Power Bank สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ให้กับสมาร์ทโฟนเครื่องอื่นผ่านสาย OTG
realme C3 ยังโดดเด่นที่ดีไซน์ตัวเครื่องแบบ Sunrise ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากแสงแรกของพระอาทิตย์ โดยมีการขัดมัน แกะสลักเรเดียม พร้อมขัดเงา และเทคโนโลยีการพ่นทราย จึงทำให้ตัวเครื่องมีลวดลายสวยงามเมื่อตกกระทบกับแสงในมุมต่างๆ กับตัวเลือก 2 สี ได้แก่ Frozen Blue และ Blazing Red ซึ่งทาง realme ระบุว่ามีการทดสอบตัวเครื่อง realme C3 ในสถานการณ์ต่างๆ มาแล้วนับไม่ถ้วนก่อนที่จะพัฒนาเพื่อนำมาวางจำหน่ายจริง ไม่ว่าจะเป็น การปล่อยเครื่องจากที่สูง (Drop Test) 10,000 ครั้ง, ทดสอบการเสียบ USB 10,000 ครั้ง และทดสอบปุ่มกดต่างๆ มากกว่า 100,000 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสินค้าจะมีคุณภาพอยู่ในระดับสูงที่ผู้ใช้มั่นใจได้ รวมถึงรองรับเทคโนโลยีป้องกันละอองน้ำ (แต่ไม่สามารถนำไปจุ่มในน้ำได้) โดยมีหน้าจอไร้ขอบทรงหยดน้ำแบบ Mini-Drop Full Screen ขนาด 6.5 นิ้ว ในอัตราส่วน 20:9 โดยมีพื้นที่การแสดงผลคิดเป็น 89.8% ความละเอียดระดับ HD+ (720x1600 พิกเซล : 269 ppi) และครอบทับด้วยกระจกขอบโค้งแบบ 2.5D Corning Gorilla Glass 3 จึงสามารถรับชมคอนเทนต์ความละเอียดระดับ HD ได้อย่างคมชัด พร้อมมุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ
realme C3 เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่มากับชิปเซ็ตสายเกมมิ่งรุ่นล่าสุดอย่าง MediaTek Helio G70 แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็ว 2.0 GHz พร้อมหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Mali-G52 มีหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 3GB พร้อมหน่วยความจำภายในตัวเครื่อง (ROM) ขนาด 32GB ที่สามารถเพิ่ม microSD Card ได้สูงสุดที่ขนาด 256GB จึงสามารถเก็บไฟล์ข้อมูล, ไฟล์ภาพถ่าย, แอปพลิเคชัน หรือเกมได้อย่างเต็มที่ และยังเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของ realme ที่มาพร้อมกับ realme UI 1.0 บนพื้นฐานของ Android 10 ซึ่งมากับ User Interface ดีไซน์ใหม่หมดจด โดยผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบของไอคอนแอปพลิเคชันได้ตามที่ต้องการ และมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจมากมาย เช่น Dark Mode ในการปรับการแสดงผลพื้นหลังหน้าจอให้เป็นสีดำ และรองรับผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Google Assistant ที่ผู้ใช้สามารถสั่งงานภายในตัวเครื่อง รวมถึงค้นหาสิ่งต่างๆ ที่ต้องการผ่านคำสั่งเสียง และยังมีบริการ Google Lens บริการค้นหาวัตถุ หรือสถานที่ด้วยการนำกล้องไปถ่ายวัตถุนั้นๆ ได้อย่างง่ายดาย รวมถึงฟังก์ชัน Focus Mode สำหรับช่วยตัดผู้ใช้ออกจากโลกภายนอก โดยระบบจะปิดแอปพลิเคชันที่ตั้งค่าไว้แบบชั่วคราว พร้อมเปิดเพลงสบายๆ โดยผู้ใช้สามารถเลือก Theme ของเพลงได้ และเปิดโหมดห้ามรบกวน (Do Not Disturb) เพื่อปิดการแจ้งเตือนต่างๆ ตอบโจทย์เวลาที่ผู้ใช้ต้องการสมาธิ หรือเข้านอนนั่นเอง
realme C3 ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์สำหรับเกมเมอร์ตัวจริงอย่าง Game Assistant และ Game Space ด้วยเช่นกัน ที่ผู้ใช้สามารถบล็อกการแจ้งเตือน ให้อยู่ในรูปแบบ Pop-up ขณะเล่นเกมแทน รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอได้ และใน Game Space ก็มี Graphics Acceleration สำหรับรีดประสิทธิภาพการประมวลผลของ GPU เพื่อให้การเล่นเกมเป็นไปอย่างลื่นไหลที่สุด รวมไปถึง Network Protection สำหรับจำกัดการใช้งานอินเทอร์เน็ตของแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง เพื่อช่วยลดอาการหน่วงขณะเล่นเกมออนไลน์ที่จำเป็นต้องมีการรับ-ส่งข้อมูลอยู่ตลอดเวลา เรียกได้ว่าสามารถเล่นเกมตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงเกมที่เน้นกราฟิกได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด
นอกจากฟีเจอร์เด่นในข้างต้น realme C3 ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์อรรถประโยชน์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในด้านอื่นๆ อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น การสแตนด์บายบนเครือข่าย 4G ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิมการ์ดแบบ Dual 4G, ฟีเจอร์ App Cloner ที่ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่าง Facebook หรือ Line ได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์, ฟีเจอร์ Split Screen ที่สามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้งานสองแอปพลิเคชันได้พร้อมๆ กัน, ฟังก์ชัน Smart Slider สำหรับเรียกใช้งานคีย์ลัด และแอปพลิเคชันต่างๆ ผ่านการสไลด์ที่บริเวณขอบสีขาวที่หน้าจอ และ Screen-Off Gestures สำหรับการวาดนิ้วในลักษณะต่างๆ ขณะหน้าจอดับอยู่ เพื่อเปิดใช้งานคีย์ลัด รวมถึงการบันทึกภาพหน้าจอแบบยาว พร้อมทั้งฟีเจอร์อำนวยความสะดวกสำหรับท่านที่เปลี่ยนมาใช้งาน realme C3 ด้วยฟังก์ชัน Clone Phone ที่สามารถทำการโอนถ่ายข้อมูลจาก สมาร์ทโฟนเครื่องเดิมได้ทันที นอกจากนี้ยังรองรับระบบเสียง Dirac ที่ผู้ใช้สามารถปรับรูปแบบอีควอไลเซอร์ได้หลากหลาย โดยจำเป็นต้องเชื่อมต่อหูฟังก่อน
สุดท้ายนี้ realme C3 ยังให้ความสำคัญในด้านความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว ด้วย App Lock สำหรับล็อกแอปพลิเคชันต่างๆ ภายในตัวเครื่อง และ Private Safe ที่ เปรียบเสมือนตู้นิรภัยประจำสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้สามารถย้ายไฟล์รูปภาพ, ไฟล์เสียง, ไฟล์เอกสาร และไฟล์ประเภทอื่นๆ เข้าไปเก็บไว้ได้ ซึ่งจำเป็นต้องทำการยืนยันตัวตนเพื่อเข้าใช้งาน รวมถึงก็มีระบบรักษาความปลอดภัยเมื่อต้องกรอกรหัสผ่าน และการป้องกันการบันทึกหน้าจอที่เปิดเผยข้อมูลสำคัญ รวมไปถึงการจัดการแอปพลิเคชันสำหรับเด็กโดยเฉพาะอย่าง Kids Space
และจากการทดสอบทั้งหมดก็พอจะสรุปได้ว่า realme C3 เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนสเปกครบครันในราคาสบายกระเป๋า โดยเน้นการใช้งานด้านความบันเทิงแบบยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม หรือชมภาพยนตร์ / ซีรีส์เรื่องโปรด ด้วยแบตขนาดใหญ่ ที่ไม่ต้องกังวลว่าแบตเตอรี่จะหมดเร็ว หรือต้องชาร์จบ่อยๆ พร้อมหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ที่ให้มุมมองกว้างเต็มตาเป็นพิเศษ บนการดีไซน์ระดับพรีเมียมเกินราคา และการถ่ายภาพจากกล้องทั้งหมด 3 ตัวผสานเทคโนโลยี AI รวมถึงฟังก์ชัน และลูกเล่นต่างๆ อย่างครบครัน
สำหรับ realme C3 เปิดราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยที่เพียง 3,999 บาท กับตัวเลือก 2 สีได้แก่ Frozen Blue และ Blazing Red โดยจะเริ่มวางจำหน่ายผ่านช่องทางไลน์ที่ Lazada และ Shopee ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งผู้ที่สั่งซื้อออเดอร์ลำดับที่ 1 - 3 รับฟรี realme PowerBank และออเดอร์ลำดับที่ 4 - 100 รับฟรีหูฟัง Buds 1 (รับฟรี microSD Card ความจุ 32GB ทุกออเดอร์สั่งซื้อ จนกว่าสินค้าจะหมด)
และจะเริ่มวางจำหน่ายผ่านร้านตัวแทนจำหน่าย ตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นไป พร้อมโปรโมชั่นราคาพิเศษเริ่มเพียง 1,499 บาท เมื่อสั่งซื้อผ่านผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง 3 รายใหญ่ (AIS และ TrueMove H เริ่มวางจำหน่ายวันที่ 3 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป)
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทาง realme ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง realme C3 มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีค่ะ
จุดเด่นของ realme C3
- ดีไซน์แบบ Sunrise ด้วยตัวเครื่องขัดมัน แกะสลักเรเดียม พร้อมขัดเงา
และเทคโนโลยีการพ่นทราย รวมถึงรองรับเทคโนโลยีป้องกันละอองน้ำ
- มีตัวเลือก 2 สี ได้แก่ Frozen Blue และ Blazing Red
- หน้าจอแสดงผล LCD Mini-Drop Full Screen ขนาด 6.5 นิ้ว ในอัตราส่วน 20:9
โดยมีพื้นที่การแสดงผลคิดเป็น 89.8% ครอบทับด้วยกระจกขอบโค้งแบบ 2.5D Corning
Gorilla Glass 3
- ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core MediaTek Helio G70 ความเร็ว 2.0 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Mali-G52
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 3GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 32GB
- รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card (TransFlash)
ได้สูงสุดที่ขนาด 256GB
- ถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Triple-Slot รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด (Dual
nanoSIM) และ microSD Card ได้ในเวลาเดียวกัน
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 พร้อมครอบทับด้วย realme UI 1.0
กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (AI Triple Camera) ประกอบด้วย
- กล้องตัวหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ขนาดพิกเซล 1.25 ไมครอน
ที่มีขนาดรูรับแสง F/1.8
- กล้องตัวที่สองเลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ที่มีขนาดรูรับแสงที่
F/2.4 ถ่ายภาพระยะใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร
- กล้องตัวที่สามเลนส์ Portrait ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
สำหรับทำภาพหน้าชัดหลังเบลอ
โดยรองรับการโฟกัสภาพแบบ PDAF, ฟีเจอร์ Chrome Boost, โหมดผิวสวย AI Beauty,
Portrait ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ และฟังก์ชัน Slow-motion ที่ระดับ
120 fps
- กล้องดิจิทัลด้านหน้า AI Portrait Selfie ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล
โดยมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.4 พร้อมเทคโนโลยี AI Beauty
และการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (AI Portrait)
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner) ที่ด้านหลังตัวเครื่อง
- ระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (AI Facial Unlock)
- ฟังก์ชัน App Cloner
สำหรับใช้งานแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์
- ฟังก์ชัน Split-Screen สำหรับใช้งานพร้อมกัน 2 หน้าจอ
- ฟังก์ชัน Game Assistant ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง
พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม
- ฟังก์ชัน Game Space ที่สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่างๆ
รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอขณะเล่นเกมได้
- ช่องเสียบหูฟังมาตรฐานแบบ 3.5 มิลลิเมตร
- แบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh พร้อมฟังก์ชัน Reverse Charging
- รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 4G LTE, 3G, EDGE, GPRS และ
WiFi 2.4 GHz
- ระบบ GPS+A-GPS ในตัว พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS ของประเทศรัสเซีย,
Beidou ของประเทศจีน และ GALILEO ของสหภาพยุโรป
- มีวิทยุ FM ในตัว
- ราคา 3,999 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ
realme C3
- หน้าจอแสดงผลมีความละเอียดเพียงแค่ระดับ HD+
- กล้องด้านหน้ามีความละเอียดเพียงแค่ระดับ 5 ล้านพิกเซล
- กรอบตัวเครื่องไม่ใช่โลหะ
- ตัวเครื่องมีการสะสมความร้อน เมื่อมีการประมวลผลหนักๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน
- พอร์ตการเชื่อมต่อยังไม่ใช่ USB Type-C ที่เป็นมาตรฐานใหม่
- ไม่รองรับเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง
- ไม่รองรับการใช้งานเครือข่าย Wi-Fi ที่คลื่นความถี่ 5 GHz
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางศูนย์ เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริง บ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *
สรุปคุณสมบัติตัวเครื่อง
ท่านสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ realme C3 ได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้
สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ realme C3
วันที่ : 21/02/2020