ตอนนี้คุณอยู่ที่ >> หน้าแรก >> หน้ารวม รีวิวมือถือ mobile review >> รีวิวมือถือ Mobile Review
   
Date : 17/08/2022
OPPO Reno8 5G | Reno8 Pro 5G Review


 

รีวิว OPPO Reno8 | Reno8 Pro 5G สมาร์ทโฟน The Portrait Expert รุ่นใหญ่ ใส่เซนเซอร์คู่ระดับแฟล็กชิปจาก Sony ถ่ายคนสวยทุกสภาพแสง พร้อมสเปกเร็วแรงจัดเต็ม บนดีไซน์บางเฉียบเรียบหรู
 

17 สิงหาคม 2022 - เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในบ้านเรากันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับสมาร์ทโฟนตระกูล OPPO Reno8 Series 5G ที่ได้รับความนิยมจากสายพอร์ตเทรตมาอย่างยาวนาน ซึ่งคราวนี้ตบเท้าเข้าไทยด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่น คือ OPPO Reno8 Z 5G, OPPO Reno8 5G และ OPPO Reno8 Pro 5G โดยก่อนหน้านี้เราก็ได้นำเสนอรีวิวรุ่นเริ่มต้นอย่าง OPPO Reno8 Z 5G กันไปแล้ว และในวันนี้ก็ถึงคิวของ 2 รุ่นใหญ่อย่าง OPPO Reno8 5G กับ Reno8 Pro 5G กันบ้างครับ

OPPO Reno8 5G และ Reno8 Pro 5G เป็นคู่หูสมาร์ทโฟน 5G ที่ยังคงจุดเด่นเฉพาะตัวของ Reno Series เอาไว้อย่างเจน ด้วยดีไซน์แบบ Streamlined Unibody Design ขอบเหลี่ยมไร้รอยต่อ และเทคโนโลยีเคลือบผิวแบบ OPPO Glow ที่ทำให้ฝาหลังมีสีสันสวยงามไม่เหมือนใคร พร้อมทั้งป้องกันคราบสกปรก และรอยนิ้วมือไปด้วยในตัว

OPPO Reno8 5G รุ่นมาตรฐานมากับคุณสมบัติเด่นที่น่าสนใจ ตั้งแต่หน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED Display สีสันสดใสขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ ที่มาพร้อมกับอัตราการรีเฟรชสูงสุด 90Hz โดยภายในขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Dimensity 1300 5G-integrated SoC ซึ่งเป็นชิปเซ็ตระดับไฮเอนด์ที่รองรับ 5G มีประสิทธิภาพสูงพอที่จะขับเคลื่อนการทำงานไปได้อย่างลื่นไหล ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานทั่วไป หรือการเล่นเกม นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับหน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB ที่สามารถขยายเพิ่มได้อีกสูงสุด 5GB ผ่านฟีเจอร์ RAM Expansion โดยมีหน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 256GB ไว้เก็บรูปถ่าย, วิดีโอ และแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้อย่างจุใจ

 

ไฮไลท์สำคัญของ OPPO Reno8 5G แน่นอนว่าอยู่ที่การถ่ายภาพซึ่งเป็นชุดกล้องหลัง 3 ตัว (AI Triple Camera) โดยกล้องหลักใช้เซนเซอร์ Sony IMX766 ขนาด 1/1.56 นิ้ว ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล ที่เสริมด้วยอัลกอริธึม Quadra Binning ซึ่งช่วยขยายขนาดเม็ดพิกเซลให้เป็น 2 เท่า จึงสามารถรับแสงได้มากยิ่งขึ้น และเทคโนโลยี DOL-HDR ที่ช่วยเพิ่มช่วงไดนามิกของวิดีโอ ประกบด้วยกล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล กับกล้อง Wide angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหน้านั้นเลือกใช้เซนเซอร์ Sony IMX709 แบบ RGBW ที่ได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษ กับความละเอียด 32 ล้านพิกเซล ซึ่งเมื่อนำไปเทียบกับเซนเซอร์แบบ RGB ทั่วไปแล้ว สามารถรับแสงได้มากกว่าถึง 60% และลด Noise ได้ถึง 35% เลยทีเดียว

และที่ขาดไม่ได้สำหรับสมาร์ทโฟน OPPO คือระบบชาร์จไวแบบ 80W SUPERVOOC ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ความจุ 4500mAh ได้เต็ม 100% ภายในเวลา 28 นาทีเท่านั้น อีกทั้งยังมี Battery Health Engine ที่ช่วยควบคุมการจ่ายไฟแบบ Real-Time เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยตลอดการชาร์จ พร้อมทั้งยืดอายุแบตเตอรี่ให้นานขึ้นอีกด้วย

 

สำหรับรุ่นท็อปอย่าง OPPO Reno8 Pro 5G แม้จะมีดีไซน์ และคุณสมบัติบางส่วนที่คล้ายกับ OPPO Reno8 5G แต่ก็มีการอัปเกรดความสามารถหลายอย่างให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 8100-MAX ที่ทรงประสิทธิภาพ, หน้าจอที่ขยายพื้นที่เป็น 6.7 นิ้ว กับความลื่นไหลที่มากกว่าด้วยอัตราการรีเฟรชสูงสุดที่ 120Hz และที่สำคัญคือมีการติดตั้งชิปประมวลผลภาพ MariSilicon X Imaging NPU รุ่นเดียวกับที่เคยใช้ในเรือธงอย่าง OPPO Find X5 Pro 5G อีกด้วย

และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปติดตามรายละเอียดที่น่าสนใจอื่น ๆ ใน รีวิว OPPO Reno8 5G / Reno8 Pro 5G โดยทีมงาน Thaimobilecenter กันเลยดีกว่าครับ


รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

OPPO Reno8 5G (ซ้าย) มากับหน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED Display แบบ Punch-Hole ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2400x1080 พิกเซล) พร้อมอัตราการรีเฟรชสูงสุดที่ 90Hz โดยสามารถสู้แสงในที่กลางแจ้งได้ดีพอสมควร และรองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ ส่วน OPPO Reno8 Pro 5G (ขวา) จะมีหน้าจอแบบ Ultra-Clear AMOLED Display แบบ Punch-Hole ขนาดใหญ่กว่าที่ 6.7 นิ้ว และมีอัตราการรีเฟรชสูงสุดมากกว่าที่ 120Hz รวมทั้งเร่งความสว่างได้มากกว่า ส่วนคุณสมบัติอื่น ๆ นั้นเหมือนกับรุ่นมาตรฐาน


กล้องหน้าของ OPPO Reno8 5G และ Reno8 Pro 5G จะมีคุณสมบัติหลัก ๆ ที่เหมือนกัน คือใช้เซนเซอร์รับภาพ Sony IMX709 ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล เพียงแต่ในด้านของ Reno8 Pro 5G นั้นจะมาพร้อมกับระบบโฟกัสอัตโนมัติด้วย ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนั้นต่างเลือกใช้ดีไซน์กล้องหน้าแบบเจาะรู (Punch-Hole) โดย Reno8 5G จะอยู่ที่มุมบนซ้ายของหน้าจอ ส่วน Reno8 Pro 5G จะอยู่ตรงกลางที่ขอบด้านบน


ความแตกต่างอีกจุดหนึ่งระหว่างสองรุ่นนี้คือ Reno8 5G จะมีขอบล่างที่หนากว่า Reno8 Pro 5G


ตัวเครื่องทั้ง 2 รุ่นมีขนาดใกล้เคียงกัน โดยฝาหลังของ OPPO Reno8 5G จะเป็นแบบผิวด้าน ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่สีดำ Shimmer Black และสีทอง Shimmer Gold ส่วนฝาหลังของ OPPO Reno8 Pro 5G จะเป็นแบบเงาเนื่องจากครอบทับด้วยกระจก ซึ่งมีให้เลือก 2 สีได้แก่สีดำ Glazed Black และสีเขียว Glazed Green โดยสีตัวเครื่องที่เรานำมารีวิวในครั้งนี้ ในด้านของ OPPO Reno8 5G นั้นเป็นสีทอง Shimmer Gold ส่วนในฝั่งของ OPPO Reno8 Pro 5G นั้นเป็นสีเขียว Glazed Green


สำหรับชุดกล้องหลังของทั้ง OPPO Reno8 5G และ OPPO Reno8 Pro 5G นั้นจะใช้ชุดกล้อง 3 ตัว (AI Triple Camera) ที่มีคุณสมบัติโดยรวมที่เหมือนกัน ดังนี้ :

- กล้องหลัก ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX766 ขนาด 1/1.56 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.8, มุมรับภาพ 86 องศา (ทางยาวโฟกัส 23 มิลลิเมตร), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ All Pixel Omni-Directional PDAF, มอเตอร์โฟกัสแบบ Closed-Loop และโครงสร้างแบบ 7 ชิ้นเลนส์, มุมรับภาพ 89 องศา และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Wide angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 112 องศา (ทางยาวโฟกัส 16 มิลลิเมตร) และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 89 องศา และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์

โดยรุ่น OPPO Reno8 Pro 5G จะพิเศษกว่าตรงที่มีชิป MariSilicon X Imaging NPU มาช่วยประมวลผลภาพด้วย ซึ่งหลัก ๆ แล้วจะช่วยให้การถ่ายรูป และวิดีโอในเวลากลางคืนดียิ่งขึ้น และถ่ายวิดีโอในสภาพแสงน้อยได้ที่ความละเอียดระดับ 4K ด้วย 4K Ultra Night Video


กรอบรอบตัวเครื่องของทั้งสองรุ่นต่างก็เป็นแบบแบน โดยด้านขวาจะมีปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดเครื่อง และพักหน้าจอ


ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่องมีปุ่มปรับระดับเสียง


ด้านบนของตัวเครื่องมีการติดตั้งไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนเอาไว้ ส่วนรุ่น Reno8 Pro 5G จะมีลำโพงตัวที่สองเพิ่มเข้ามาด้วย


ที่ด้านล่างของตัวเครื่องจะมีช่องลำโพง, ไมโครโฟนหลัก, พอร์ต USB Type-C สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ หรือโอนถ่ายข้อมูล และช่องใส่ซิมการ์ด


ถาดใส่ซิมการ์ดเป็นแบบ Dual-SIM ซึ่งสามารถใส่ซิมการ์ดแบบ Nano SIM ได้ 2 ช่อง แต่ไม่รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมแบบ microSD หรือแบบอื่น ๆ


อุปกรณ์ภายในกล่องของ OPPO Reno8 5G และ OPPO Reno8 Pro 5G จะเป็นชุดเดียวกัน ประกอบด้วย เคสซิลิโคนแบบใส, สาย USB Type-C, อะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่แบบ 80W SUPERVOOC, เข็มถอดถาดซิมการ์ด และคู่มือการใช้งาน


การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

จุดขายสำคัญอย่างแรกที่น่าสนใจสำหรับกล้องของ OPPO Reno8 5G กับ OPPO Reno8 Pro 5G ก็คือความสามารถของการบันทึกวิดีโอในตอนกลางคืน หรือในที่แสงน้อย ด้วยโหมด Ultra Night Video ใน OPPO Reno8 5G ด้วยพลังของเซนเซอร์รับภาพระดับเรือธงอย่าง Sony IMX766 ที่ช่วยให้เราสามารถเก็บรายละเอียดของแสงเงาได้ครบถ้วน พร้อมความคมชัดสมจริงของวิดีโอกลางคืน

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่นใหญ่อย่าง OPPO Reno8 Pro 5G นั้นมาพร้อมกับหน่วยประมวลผล MariSilicon X Imaging NPU ที่ช่วยระดับฟีเจอร์นี้ไปที่ความละเอียดมากถึงระดับ 4K ด้วยโหมด 4K Ultra Night Video

 


ตัวอย่างคลิปวิดีโอแบบ 4K Ultra Night (ไม่ใช้อุปกรณ์ช่วยใด ๆ)

 

อีกหนึ่งฟีเจอร์ไฮไลท์ก็คือโหมด รูปคน หรือโหมด Portrait ซึ่งเป็นโหมดที่สามารถถ่ายวัตถุ หรือคน ให้มีเอฟเฟกต์ละลายหลัง รวมทั้งสามารถปรับระดับความเบลอ, ใส่ฟิลเตอร์ และเปิดบิวตี้ได้

 

ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยโหมด Night Portrait ที่มาพร้อมกับอัลกอริทึม Turbo RAW ก็นับว่าเป็นจุดขายสำคัญ เพราะทำให้เราสามารถถ่ายภาพบุคคล พร้อมเก็บรายละเอียดของบรรยากาศโดยรอบในตอนกลางคืนได้อย่างสวยงาม และไร้สิ่งรบกวน

 

ในโหมด รูปถ่าย หรือโหมดอัตโนมัติ จะมีระบบวิเคราะห์ภาพถ่ายด้วย AI ซึ่งจะตกแต่งภาพให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ พร้อมกันนี้ยังมี การปรับแต่งฉากหลังด้วย AI ที่ช่วยเพิ่มความสดของสีสันในภาพ ทำให้ดูมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น ผู้ใช้สามารถเปิดใช้เอฟเฟกต์บิวตี้ และฟิลเตอร์ในโหมดนี้ได้ นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกถ่ายแบบเต็มความละเอียดที่ 50 ล้านพิกเซลได้อีกด้วย


โหมด มาโคร จะเป็นโหมดการถ่ายรูประยะใกล้เพื่อเน้นรายละเอียดเล็ก ๆ โดยมีระยะโฟกัส 4 เซนติเมตรคงที่


โหมด โปร จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ตั้งค่าการถ่ายรูปได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นค่า ISO, Shutter Speed, การชดเชยแสง, หรือ White Balance


โหมด กลางคืน เป็นโหมดที่ช่วยให้ภาพถ่ายดูสว่าง และคมชัดขึ้นในเวลากลางคืน สามารถซูม หรือถ่ายในมุมมอง Ultra-Wide ได้ นอกจากนี้ยังมีโหมดขาตั้งกล้อง ที่จะเปิดหน้ากล้องทิ้งไว้นานสุดประมาณ 30 วินาทีเพื่อถ่ายดวงดาว หรือถ่ายเส้นแสง


สำหรับการถ่ายวิดีโอ OPPO Reno8 5G สามารถใช้ฟีเจอร์ การปรับแต่งฉากหลังด้วย AI ที่ช่วยปรับปรุงความสว่าง, สี และคอนทราสต์ของวิดีโอได้แบบเรียลไทม์ พร้อมระบบกันสั่น สามารถถ่ายวิดีโอแบบละลายหลัง (โบเก้), ใส่ฟิลเตอร์, และเปิดเอฟเฟกต์บิวตี้ได้ โดยรองรับความละเอียดสูงสุด 4K ที่ 30 fps หรือ 1080p ที่ 60 fps


ในรุ่น OPPO Reno8 Pro 5G จะเพิ่มโหมดการถ่ายวิดีโอแบบภาพยนตร์เข้ามาด้วย ซึ่งสามารถปรับแต่งค่าต่าง ๆ ระหว่างถ่ายได้คล้ายกับโหมดโปรของภาพนิ่ง


กล้องหน้าสามารถเปิดเอฟเฟกต์บิวตี้ และฟิลเตอร์ต่าง ๆ ในโหมดอัตโนมัติได้ ส่วนโหมด รูปคน จะมีฟีเจอร์เหมือนกับโหมดอัตโนมัติ แต่จะปรับระดับความเบลอของฉากหลังได้ด้วย


ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ OPPO Reno8 5G

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดอัตโนมัติ


ตัวอย่างภาพถ่ายมุมกว้างพิเศษ (Wide angle)

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดกลางคืน


ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Macro


ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่จากกล้องหน้าของ OPPO Reno8 5G


ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ OPPO Reno8 Pro 5G

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดอัตโนมัติ


ตัวอย่างภาพถ่ายมุมกว้างพิเศษ (Ultra Wide)

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดกลางคืน


ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Macro


ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่จากกล้องหน้าของ OPPO Reno8 Pro 5G


ซอฟต์แวร์ และการใช้งานในด้านอื่น ๆ

OPPO Reno8 5G และ OPPO Reno8 Pro 5G มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 12 ที่ถูกครอบทับด้วย ColorOS 12.1 ซึ่งมีดีไซน์แบบ Minimal ที่ดูนุ่มนวลสบายตา พร้อมด้วยลูกเล่นในการปรับแต่ง และฟีเจอร์ต่าง ๆ มากมาย


เมื่อกดค้างบนที่ว่างของหน้าจอเริ่มต้นจะเข้าสู่เมนูการปรับแต่ง ซึ่งสามารถปรับได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นวอลเปเปอร์, รูปแบบไอคอน, เพิ่ม/ลบวิดเจ็ต ไปจนถึงแอนิเมชันการเปลี่ยนหน้า


นอกจากนี้ ในหน้าการตั้งค่ายังมีตัวเลือกการปรับแต่งอื่น ๆ อีก เช่น คู่สีของธีม, ฟอนต์, การแสดงผลหน้าจอตลอดเวลา (Always on Display)


การแสดงผลหน้าจอตลอดเวลา (Always on Display) จะแสดงเวลา, แบตเตอรี่ และการแจ้งเตือนอย่างย่อบนหน้าจอขณะที่ปิดอยู่ สามารถเลือกรูปแบบนาฬิกา, รูปภาพ และสีได้


และยังมีตัวเลือกในการเปลี่ยนแอนิเมชันการสแกนนิ้ว กับแถบไฟแจ้งเตือนบริเวณขอบจอด้วย


ในส่วนของการปรับแต่งธีม OPPO Reno8 5G และ OPPO Reno8 Pro 5G มีร้านค้าธีมให้บริการ สามารถซื้อธีมสวย ๆ รวมถึงฟอนต์ และวอลเปเปอร์มากมายได้จากที่นี่ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีราคาประมาณ 30 บาท


แน่นอนว่าโหมดมืด หรือ Night Mode ก็มีให้ใช้เช่นกัน และสามารถตั้งเวลาเปิด-ปิดอัตโนมัติได้


OPPO Reno8 5G สามารถปรับ Refresh Rate ได้ที่ 60Hz หรือ 90Hz ส่วน OPPO Reno8 จะปรับได้ที่ 60Hz หรือ 120Hz


OPPO Reno8 5G มี O1 Ultra Vision Engine ที่ช่วยให้สีสันของวิดีโอดูสดใส สวยงามมากขึ้นโดยอัตโนมัติ โดยผู้ใช้สามารถเข้าไปเปิดการใช้งานได้ที่หน้าการตั้งค่า ส่วน Reno8 Pro 5G จะมี ตัวปรับความคมชัดภาพ เพิ่มเข้ามาด้วย


OPPO Reno8 5G และ OPPO Reno8 Pro 5G มีแอปพลิเคชันสำหรับเล่นเพลงโดยเฉพาะติดตั้งมาให้แล้ว ซึ่งนอกจากจะมีฟังก์ชันพื้นฐานทั่วไป ยังมีตัวเลือกให้เปิดเอฟเฟกต์เสียง Real Sound ด้วย ซึ่งจะปรับเสียงให้เหมาะกับคอนเทนต์ที่เรากำลังรับชมอยู่ในขณะนั้น


สำหรับไฟล์วิดีโอก็มีตัวเล่นมาให้แล้วเช่นกัน แต่จะมีฟังก์ชันให้ใช้งานไม่มาก


ในส่วนของอัลบั้มรูป จะมีตัวเลือกในการแต่งรูปเบื้องต้นให้ใช้งาน โดยสามารถปรับแต่งได้เยอะพอสมควร


ด้านความปลอดภัย OPPO Reno8 5G และ OPPO Reno8 Pro 5G รองรับทั้งการสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ และสแกนใบหน้า โดยสามารถเพิ่มลายนิ้วมือได้หลายลายนิ้วมือ ส่วนใบหน้าจะมีได้แค่ใบหน้าเดียวเท่านั้น


ด้านการเล่นเกม จะมีเครื่องมือที่รวมเกมในเครื่องไว้ในที่เดียว  พร้อมเก็บสถิติระยะเวลาการเล่นของแต่ละเกมเอาไว้เพื่อให้เราวางแผนจัดสรรเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ระหว่างเล่นเกม เราสามารถเรียกใช้ตัวช่วยในการเล่นเกม (Game Assistant) ได้ด้วยการปัดนิ้วลงมาจากมุมขวาบนของหน้าจอ โดยมีทางลัดการตั้งค่า และเครื่องมือต่าง ๆ ให้เลือกใช้ พร้อมทั้งแสดงอุณหภูมิของ CPU และแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่


โหมด โฟกัสเกม หรือโหมดการเล่นเกมขั้นสูงที่จะบล็อกการรบกวนทุกอย่างขณะเล่น ไม่ว่าจะเป็นข้อความ, การโทร หรือการแจ้งเตือน นอกจากนี้ยังบล็อกแถบนำทาง, ท่าทาง (Gesture) หรือแม้กระทั่ง Game Assistant ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เผลอไปเรียกใช้ฟังก์ชันเหล่านี้โดยไม่ได้ตั้งใจ เหมาะสำหรับแมทช์การเล่นที่ซีเรียสจริงจัง


หากต้องการบันทึกวิดีโอการเล่น Game Assistant มีฟังก์ชันนี้ไว้ให้แล้ว แต่ระหว่างการบันทึก Refresh Rate ของหน้าจอจะถูกปรับเป็น 60Hz โดยอัตโนมัติ เพื่อให้วิดีโอที่บันทึกมีคุณภาพสูงสุด และไม่รบกวนสมรรถนะของตัวเครื่อง


สำหรับคนมือหนัก หรือมือเบา ยังมีฟีเจอร์ปรับความไวต่อการสัมผัสหน้าจอขณะเล่น โดยปรับได้ถึง 5 ระดับให้เลือกปรับกันตามสะดวก


นอกจากนี้ ยังมีตัวเลือกให้แสดง FPS ของตัวเกม และอัตราการใช้งานของ GPU กับ CPU

สำหรับสมรรถนะในการเล่นเกมของ OPPO Reno8 5G และ OPPO Reno8 Pro 5G เราได้เลือกทดสอบด้วยเกม 3 เกม ได้แก่ PUBG Mobile, Genshin I ล้านพิกเซลact และ Ni no Kuni โดยตั้งค่ากราฟิกของแต่ละเกมไว้ดังนี้ :


การตั้งค่าเกม PUBG Mobile ของ OPPO Reno8 5G


การตั้งค่าเกม PUBG Mobile ของ OPPO Reno8 Pro 5G


การตั้งค่าเกม Genshin I ของ OPPO Reno8 5G


การตั้งค่าเกม Genshin I ของ OPPO Reno8 Pro 5G


การตั้งค่าเกม Ni no Kuni ของ OPPO Reno8 5G


การตั้งค่าเกม Ni no Kuni ของ OPPO Reno8 Pro 5G


ด้านการเล่นเกม OPPO Reno8 5G สามารถรันทุกเกมข้างต้นได้อย่างราบรื่นด้วยพลังของชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 1300 5G-integrated SoC ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพสูงในระดับที่ใกล้เคียงกับชิปเซ็ตระดับเรือธง แม้ว่าจะไม่ลื่นถึงระดับ 60 fps แต่ก็อยู่ที่ 40 fps ขึ้นไป และมีความนิ่งพอสมควร ส่วนการตอบสนองต่อการควบคุมก็มีความแม่นยำฉับไว จึงเหมาะกับการเล่นเกมทุกแนวไม่ว่าจะเป็นแนว Shooting อย่าง PUBG Mobile หรือเกมที่ต้องการพลังประมวลผลกราฟิกสูง ๆ อย่าง Genshin I ล้านพิกเซล และ Ni no Kuni อีกทั้งยังไม่ต้องกังวลเรื่องความร้อนด้วย


สำหรับ OPPO Reno8 Pro 5G นั้นมีสเปกที่แรงกว่า ทั้งชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 8100-MAX และ RAM แบบ LPDDR5 ขนาด 12GB ทำให้เล่นเกมได้ลื่นกว่ารุ่นธรรมดา แต่ในการเล่นจริงจะไม่ค่อยรู้สึกถึงความแตกต่าง เว้นแต่ว่าจะเปิดดูเลข fps เทียบกัน เพราะชิปเซ็ตของทั้งคู่มีประสิทธิภาพสูงมากอยู่แล้วนั่นเอง


มาดูในส่วนของการทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวมกันบ้าง เริ่มกันที่ผลการทดสอบ Benchmark ด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu ของทั้ง 2 รุ่น จะเป็นดังนี้ :

- OPPO Reno8 5G : 614237 คะแนน
- OPPO Reno8 Pro 5G : 730882 คะแนน


ผลการทดสอบ Benchmark ด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench 5 จะเป็นดังนี้ :

- OPPO Reno8 5G : Single-Core 439 คะแนน Multi-Core 2801 คะแนน
- OPPO Reno8 Pro 5G : Single-Core 904 คะแนน Multi-Core 3604 คะแนน


OPPO Reno8 5G ใช้ชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Dimensity 1300 แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 3.0 GHz พร้อมหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G77 MC9, หน่วยความจำแรม RAM แบบ LPDDR4X ขนาด 8 GB และหน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 3.1 ขนาด 256 GB


OPPO Reno8 Pro 5G ใช้ชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Dimensity 8100-MAX แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 2.2 GHz พร้อมหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G610 MC6, หน่วยความจำแรม RAM แบบ LPDDR5 ขนาด 12 GB และหน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 3.1 ขนาด 256 GB


สำหรับเซนเซอร์ในเครื่อง OPPO Reno8 5G และ Reno8 Pro 5G ประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Proximity Sensor, Sound Sensor, Magnetic Sensor, Orientation Sensor ส่วนหน้าจอแสดงผลรองรับการสัมผัสได้พร้อมกันสูงสุด 10 จุด

 

การระบุตำแหน่ง และนำทางของทั้ง OPPO Reno8 5G และ OPPO Reno8 Pro 5G นั้นถือว่ามีประสิทธิภาพที่ดี มีความรวดเร็วแม่นยำ ด้วยการรองรับระบบดาวเทียมชั้นนำของโลกครบถ้วน ทั้ง GPS+A-GPS, Glonass, BeiDou, Galileo และ QZSS

 

สรุปผลการทดสอบของ OPPO Reno8 5G และ OPPO Reno8 Pro 5G

จากที่มีโอกาสได้ใช้งานมาพักใหญ่ ความประทับใจแรกสำหรับ OPPO Reno8 5G และ OPPO Reno8 Pro 5G คือดีไซน์ที่โดดเด่นกว่า Reno Series รุ่นที่ผ่าน ๆ มา โดยเป็นครั้งแรกที่ใช้ดีไซน์แบบ Streamlined Unibody Design ที่โมดูลกล้องหลังเป็นเนื้อเดียวกับฝาหลังแบบไร้รอยต่อ เหมือนกับรุ่นแฟล็กชิปอย่าง OPPO Find X5 Pro 5G ทำให้ดูหรูหราขึ้นมาก เมื่อเสริมด้วยฝาหลังผิวด้านที่เคลือบผิวแบบไล่เฉดสีด้วยเทคนิค OPPO Glow ยิ่งทำให้ตัวเครื่องดูน่าจับถือยิ่งขึ้น อีกทั้งยังไม่ค่อยติดคราบมันจากนิ้วมือ จึงไม่ต้องทำความสะอาดบ่อย ๆ

ด้านการแสดงผล OPPO Reno8 5G และ OPPO Reno8 Pro 5G เลือกใช้จอแบบ AMOLED ทั้งคู่ ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะจอประเภทนี้มีค่าคอนทราสต์สูงกว่าจอ LCD ทั่วไป สีสันที่แสดงออกมาดูชัดเจน และสดใส อีกทั้งยังสู้แสงกลางแจ้งได้ดีกว่า ทำให้เราเพลิดเพลินกับการใช้งานมากขึ้นแบบไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเวลาดูหนัง และเล่นเกม เมื่อรวมกับอัตราการรีเฟรชของหน้าจอที่ระดับ 90Hz ของ OPPO Reno 8 5G กับระดับ 120Hz ของ OPPO Reno8 Pro 5G แล้ว ยิ่งช่วยให้การมองจอเพลินตายิ่งขึ้นไปอีก

ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของจอ AMOLED คือกินแบตเตอรี่น้อยกว่าจอ LCD ทั่วไป ทำให้แบตเตอรี่ไม่หมดเร็วเมื่อใช้งานฟีเจอร์ Always on Display

ในแง่ของประสิทธิภาพการทำงาน OPPO Reno8 5G ใช้ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 1300 5G-integrated SoC ซึ่งจัดว่าเป็นชิปเซ็ตระดับบน แม้จะไม่ถึงกับแรงที่สุดในวงการ แต่แรงพอที่จะเล่นเกมได้ลื่น ๆ และทำงานทุกอย่างได้รวดเร็วทันใจ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานทั่วไป หรือเล่นเกมที่กินสเปกหนัก ๆ  ที่สำคัญตัวชิปเซ็ตยังไม่ค่อยสะสมความร้อน ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะระบบระบายความร้อนภายในตัวเครื่องด้วย ส่วนหน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB ก็เรียกได้ว่าเหลือเฟือจนไม่จำเป็นต้องใช้ฟีเจอร์ RAM Expansion เลย

สำหรับ OPPO Reno8 Pro 5G จะใช้ชิปเซ็ตที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าอย่าง MediaTek Dimensity 8100-MAX ซึ่งเป็นชิปเซ็ตระดับเรือธง มีประสิทธิภาพสูงกว่า Dimensity 1300 พอสมควร แต่ในการใช้งานจริงเราอาจจะไม่ค่อยเห็นความแตกต่างเท่าไรนัก นอกจากการเล่นเกมที่อาจทำเฟรมเรตได้สูงกว่า หากไม่ได้ซีเรียสเรื่องการเล่นเกมจริง ๆ อาจจะไม่ต้องให้ความสำคัญในส่วนนี้มากนัก

ทั้ง OPPO Reno8 5G และ OPPO Reno8 Pro 5G มีซอฟต์แวร์ที่มากับ ColorOS 12.1 ที่สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น โดยปรับแต่งมาให้เข้ากับระบบปฏิบัติการ Android 12 เป็นอย่างดี  และยังมีดีไซน์สวยงามสบายตาน่าใช้งาน แต่มีจุดสังเกตอย่างหนึ่งคือมีการมีการติดตั้งแอปพลิเคชันหลายตัวมาจากโรงงาน และยังพยายามนำเสนอแอปพลิเคชันอื่น ๆ ให้ดาวน์โหลดเพิ่มเติม ซึ่งหากไม่ใช่แอปพลิเคชันที่เราต้องการใช้อยู่แล้ว ก็อาจจะทำให้เรารู้สึกว่าหนักเครื่องโดยไม่จำเป็น

 

สำหรับการถ่ายภาพนิ่งทั่วไป OPPO Reno8 5G และ Reno8 Pro 5G สามารถถ่ายทอดสีสัน กับรายละเอียดออกมาได้น่าพอใจ ส่วนการถ่ายในโหมด Wide angle ก็มีคุณภาพสูงใกล้เคียงกับโหมดปกติ ทำให้สามารถสนุกกับการถ่ายภาพ Wide angle ได้เต็มที่ แต่โหมด Macro อาจยังไม่ค่อยโดดเด่น จัดว่าอยู่ในเกณฑ์พอใช้ เพราะต้องอาศัยแสงค่อนข้างมากในการทำให้ภาพชัด และถ่ายค่อนข้างยากเพราะไม่มีระบบ Autofocus

ในโหมดภาพถ่ายบุคคล OPPO Reno8 5G และ OPPO Reno8 Pro 5G จะให้โทนที่ค่อนข้างนวล ออกแนวหวาน ๆ ซึ่งน่าจะเหมาะกับการถ่ายภาพผู้หญิงเป็นพิเศษ การตัดขอบเบลอทำได้ดี แทบจะไม่มีจุดผิดพลาด อีกทั้งยังมี HDR เข้ามาช่วยลดแสงจ้าของฉากหลัง ช่วยให้ตัวแบบโดดเด่นขึ้น

ในโหมดกลางคืน OPPO Reno8 5G จะมีสไตล์ที่ดึงความสว่างออกมาทั่วทั้งภาพ และเสริมสีสันของแสงไฟให้โดดเด่น ทำให้โทนภาพที่ออกมาดูหวาน มีชีวิตชีวา แม้จะไม่มีระบบกันสั่นแบบ OIS แต่ระบบ EIS ที่ให้มาก็มีประสิทธิภาพสูง จึงไม่มีปัญหาเรื่องภาพไม่คม ส่วนโหมดขาตั้งกล้องก็ให้ผลลัพธ์ที่ดี แต่ใช้งานค่อนข้างยาก เพราะจำเป็นต้องถือสมาร์ทโฟนไว้นิ่ง ๆ นาน 20-30 วินาที แนะนำให้หาขาตั้งกล้องจริง ๆ มาใช้คู่กันจะเหมาะกว่า

ส่วนโหมดกลางคืนของ OPPO Reno8 Pro 5G จะทำได้ดีกว่ารุ่นธรรมดา โดยภาพจะดูมีแสงเงาที่ดีขึ้น ไม่นวลเกินไป และแม้จะถ่ายในโหมด Portrait ในเวลากลางคืนก็ยังให้ภาพที่คมชัดสวยงาม นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการถ่ายวิดีโอ 4K Ultra Night และ 4K Ultra HDR ด้วย ซึ่งจะทำงานอัตโนมัติโดยไม่ต้องเลือกโหมด ซึ่งทั้งหมดนี้ก็น่าจะมาจากพลังของชิป MariSilicon X นั่นเองครับ

สำหรับกล้องหน้าความละเอียดสูง 32 ล้านพิกเซลของทั้งสองรุ่นจะมีแฟลชบนหน้าจอช่วยให้หน้าไม่มืด แต่การเซลฟี่ในที่มืดยังทำได้ไม่ดีเท่ากล้องหลัง โดยยังมี Noise ให้เห็นอยู่ค่อนข้างมาก แต่ถ้าเป็นในเวลากลางวันก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

 

จากทั้งหมดที่กล่าวมาก็พอจะสรุปได้ว่า OPPO Reno8 5G ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่ให้ความรู้สึกพรีเมียมคล้ายเรือธง ด้วยสเปกที่แรง และการถ่ายรูป-วิดีโอที่โดดเด่น เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนที่ครบเครื่องในราคาไม่เกิน 20,000 บาท

ส่วน OPPO Reno8 Pro 5G นั้น จะให้ความรู้สึกในการใช้งานที่คล้ายกับ Reno8 5G แต่อัปเกรดชิปเซ็ตให้แรงขึ้น และเพิ่มความสามารถในการถ่ายรูป-วิดีโอในเวลากลางคืน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมือถือระดับแฟล็กชิปในราคาไม่ถึง 3 หมื่นบาทครับ


ราคา และรายละเอียดการวางจำหน่าย

OPPO Reno8 5G ราคา 19,990 บาท มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีทอง Shimmer Gold และสีดำ Shimmer Black

โดย OPPO Reno8 5G สามารถพรีออเดอร์ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 18 สิงหาคม 2565 โดยผู้ที่พรีออเดอร์ จะได้รับของสมนาคุณมูลค่ารวม 8,299 บาท ประกอบไปด้วย E-VIP CARD รับประกันจอแตกใน 1 ปี มูลค่า 7,000 บาท และ OPPO Enco Buds2 มูลค่า 1,299 บาท


OPPO Reno8 Pro 5G ราคา 27,990 บาท มี 2 สีให้เลือก ได้แก่ สีเขียว Glazed Green และสีดำ Glazed Black

โดย OPPO Reno8 Pro 5G สามารถพรีออเดอร์ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 18 สิงหาคม 2565 โดยผู้ที่พรีออเดอร์ จะได้รับของสมนาคุณรวมมูลค่า 10,299 บาท ประกอบไปด้วย E-VIP CARD รับประกันจอแตกใน 1 ปี มูลค่า 9,000 บาท และ OPPO Enco Bud2 มูลค่า 1,299 บาท


และพิเศษ! เป็นเจ้าของ OPPO Reno8 Series 5G ได้ง่ายยิ่งขึ้น เมื่อจองผ่านผู้ให้บริการเครือข่าย ทั้ง AIS, TrueMove H และ dtac ในราคาเริ่มต้นเพียง 4,490 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://bit.ly/3IZcjHX

 

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง OPPO ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง OPPO Reno8 5G และ OPPO Reno8 Pro 5G มาให้ทางทีมงานได้รีวิวกันในโอกาสนี้ด้วยครับ


จุดเด่นของ OPPO Reno8 5G

- ดีไซน์ตัวเครื่องแบบ Streamlined Unibody Design พร้อมพื้นผิวตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการป้องกันรอยนิ้วมือ
- ระบบระบายความร้อนแบบ Super-Conductive VC Liquid ด้วยชั้น Super-Conductive Graphite, Super-Conductive Middle Frame และ Vapor Chamber
- จอแสดงผลแบบ AMOLED Display แบบ Punch-Hole ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2400x1080 พิกเซล : 409 PPI) พร้อมอัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุดที่ 90Hz, เทคโนโลยี 1000Hz Ultra Touch Response สำหรับการเล่นเกม, ความสว่างสูงสุด 800 nits (Peak), รองรับช่วงสีแบบ NTSC ได้ 97%, รองรับช่วงสีแบบ DCI-P3 ได้ 95%, รองรับช่วงสีแบบ sRGB และครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 5
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint Sensor : 0.256 วินาที) พร้อมระบบจดจำใบหน้า (Face Recognition)
- ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 1300 5G-integrated SoC ความเร็ว 3.0 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G77 MC9
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8 GB พร้อมระบบ RAM Expansion สำหรับช่วยขยายขนาด RAM ด้วย ROM (Virtual RAM) เพิ่มเติมได้สูงสุด 5 GB
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล (ROM) แบบ UFS 3.1 ขนาด 256 GB
- แบตเตอรี่ความจุ 4500mAh พร้อมระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 80W SUPERVOOC ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ 100% ภายในเวลา 28 นาที
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ ColorOS 12.1 (พัฒนาอยู่บนพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ Android 12)

--------------------------------------

กล้องตัวหลักด้านหลัง 3 ตัว (AI Triple Camera) ประกอบด้วย

- กล้องหลัก ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX766 ขนาด 1/1.56 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.8, มุมรับภาพ 86 องศา (ทางยาวโฟกัส 23 มิลลิเมตร), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ All Pixel Omni-Directional PDAF, มอเตอร์โฟกัสแบบ Closed-Loop และโครงสร้างแบบ 7 ชิ้นเลนส์, มุมรับภาพ 89 องศา และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Wide angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 112 องศา (ทางยาวโฟกัส 16 มิลลิเมตร) และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, ระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร, มุมรับภาพ 89 องศา และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์

รวมทั้งมีไฟแฟลชในตัว (Dual LED Flash), ฟีเจอร์ DOL-HDR (Digital Overlap HDR), ฟีเจอร์ Night Portrait, ฟีเจอร์ AI Portrait Retouching, รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD (30 fps), เทคโนโลยี O1 Ultra Vision Engine, ฟีเจอร์ Ultra Night Video และฟีเจอร์ Ultra HDR Video

กล้องด้านหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล

พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX709 ขนาด 1/2.74 นิ้ว, เทคโนโลยี OPPO's New Generation RGBW, ฟีเจอร์ DOL-HDR (Digital Overlap HDR), รูรับแสงขนาด f2.4 และรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 1080P FHD (30 fps)

--------------------------------------

- ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ WiFi 6, 5G, 4G LTE, 3G WCDMA และ 2G EDGE/GPRS
- รองรับการใช้งานระบบซิมคู่ (Dual SIM : Nano SIM + Nano SIM)
- ระบุตำแหน่ง และนำทางผ่านระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, Glonass, BeiDou, Galileo และ QZSS
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.3 และ NFC
- พอร์ต USB Type-C (USB 2.0) พร้อมรองรับการใช้งาน USB OTG (USB On-The-Go)

 

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ OPPO Reno8 5G

- กล้องไม่มีระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- ไม่รองรับการเพิ่มหน่วยความจำเสริมด้วยการ์ดแบบ microSD หรือแบบอื่น ๆ
- ไม่รองรับการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย
- รองรับ 5G แค่ซิมเดียว

 

จุดเด่นของ OPPO Reno8 Pro 5G

- ดีไซน์ตัวเครื่องแบบ Streamlined Unibody Design พร้อมกรอบด้านข้างที่ผลิตจากโลหะอะลูมิเนียม และด้านหลังตัวเครื่องที่ครอบทับด้วยกระจก
- พื้นผิวตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการป้องกันรอยนิ้วมือ หรือรอยเปื้อน
- ระบบระบายความร้อนแบบ Ultra-Conductive พร้อมชั้น Ultra-Conductive Graphite
- จอแสดงผลแบบ Ultra-clear AMOLED Display แบบ Punch-Hole ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2412x1080 พิกเซล : 394 PPI) พร้อมอัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุดที่ 120Hz, เทคโนโลยี Frame Interpolation (720Hz Touch Sampling Rate : สำหรับบางเกม), พื้นที่แสดงผล 93.4%, รองรับความลึกสีในระดับ 10-bit (10.7 ล้านสี), รองรับช่วงสีแบบ DCI-P3 ได้ 100%, รองรับช่วงสีแบบ sRGB ได้ 100%, ความสว่างสูงสุด 950 nits (Peak), รองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบ HDR10+ และครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 5
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint Sensor : 0.2 วินาที) พร้อมระบบจดจำใบหน้า (Face Recognition)
- ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 8100-MAX ความเร็ว 2.85 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G610 MC6
- หน่วยประมวลผลภาพ Ultra-Clear Imaging Processor: MariSilicon X NPU
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5 ขนาด 12 GB
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล (ROM) แบบ UFS 3.1 ขนาด 256 GB
- แบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh พร้อมระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 80W SUPERVOOC ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ 100% ภายในเวลา 28 นาที
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ ColorOS 12.1 (พัฒนาอยู่บนพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ Android 12)

--------------------------------------

กล้องตัวหลักด้านหลัง 3 ตัว (AI Triple Camera) ประกอบด้วย

- กล้องหลัก ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX766 ขนาด 1/1.56 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.8, มุมรับภาพ 86 องศา (ทางยาวโฟกัส 23 มิลลิเมตร), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ All Pixel Omni-Directional PDAF, มอเตอร์โฟกัสแบบ Closed-Loop และโครงสร้างแบบ 7 ชิ้นเลนส์, มุมรับภาพ 89 องศา และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Wide angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 112 องศา (ทางยาวโฟกัส 16 มิลลิเมตร) และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, ระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร, มุมรับภาพ 89 องศา และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์

รวมทั้งมีไฟแฟลชในตัว (Dual LED Flash), ฟีเจอร์ DOL-HDR (Digital Overlap HDR), ฟีเจอร์ Night Portrait, ฟีเจอร์ AI Portrait Retouching, รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD (30 fps), เทคโนโลยี O1 Ultra Vision Engine, ฟีเจอร์ 4K Ultra Night Video, ฟีเจอร์ 4K Ultra HDR Video, ระบบป้องกันการสั่นแบบ EIS และฟังก์ชัน Video Zoom

กล้องด้านหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล

พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX709 ขนาด 1/2.74 นิ้ว, เทคโนโลยี OPPO's New Generation RGBW, ฟีเจอร์ DOL-HDR (Digital Overlap HDR), รูรับแสงขนาด f2.4, ระบบโฟกัสอัตโนมัติ, มอเตอร์โฟกัสแบบ Open-Loop และรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 1080P FHD (30 fps)

--------------------------------------

- ลำโพงเสียงแบบคู่ (Dual-stereo peakers)
- มอเตอร์ระบบสั่นแบบ X-axis Linear Motor
- ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ WiFi 6, 5G, 4G LTE, 3G WCDMA และ 2G EDGE/GPRS
- รองรับการใช้งานระบบซิมคู่ (Dual SIM : Nano SIM + Nano SIM)
- ระบุตำแหน่ง และนำทางผ่านระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, Glonass, BeiDou, Galileo และ QZSS
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.3 และ NFC
- พอร์ต USB Type-C (USB 2.0) พร้อมรองรับการใช้งาน USB OTG (USB On-The-Go)

 

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ OPPO Reno8 Pro 5G

- กล้องไม่มีระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- ไม่รองรับการเพิ่มหน่วยความจำเสริมด้วยการ์ดแบบ microSD หรือแบบอื่น ๆ
- ไม่รองรับการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย


สรุปคุณสมบัติเครื่อง

ท่านสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ OPPO Reno8 5G และ Reno8 Pro 5G ได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้

สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ OPPO Reno8 5G
สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ OPPO Reno8 Pro 5G

 

โปรดทราบ

* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้ เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากผู้ผลิต เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริง รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจถูกแก้ไขให้ดีขึ้นแล้วในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบ หรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่งเพื่อความมั่นใจ *


วันที่ : 17/08/2022

Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy