รีวิว OPPO Reno7 Z 5G สมาร์ทโฟนที่ถ่ายพอร์ตเทรตได้ดีที่สุด โดดเด่นด้วยดีไซน์เหลี่ยมเป็นเอกลักษณ์ OPPO Glow
3 มีนาคม 2022 - หลังจากที่ทางทีมงาน Thaimobilecenter.com
ได้ทำการรีวิวสมาร์ทโฟน Reno Series รุ่นใหม่อย่าง OPPO
Reno7 5G ให้ทุกท่านได้ชมกันไปแล้วก่อนหน้านี้ ล่าสุดทาง OPPO
ประเทศไทยก็ได้มีการเสริมทัพสมาร์ทโฟน Reno7 Series
รุ่นใหม่เพื่อเป็นตัวเลือกให้กับผู้ใช้งานในบ้านเราเพิ่มเติม กับรุ่น OPPO
Reno7 Z 5G
ที่ยังคงมาพร้อมกับความโดดเด่นด้านการถ่ายภาพพอร์ตเทรตระดับมืออาชีพเช่นเคย
สำหรับ OPPO Reno7 Z 5G รุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวออกมานั้น ก็เรียกได้ว่าอัดแน่นด้านการถ่ายภาพพอร์ตเทรตแบบจัดเต็มไม่แพ้รุ่นพี่ ด้วยฟีเจอร์ Bokeh Flare Portrait ที่สามารถถ่ายภาพหน้าชัดหลังละลาย พร้อมปรับเอฟเฟกต์ดวงไฟโบเก้ให้มีความสวยงามราวกับกล้อง DSLR, AI Color Portrait ที่สามารถถ่ายดูดเฉพาะสีตัวแบบเพื่อ เสริมความโดดเด่นได้ในคลิกเดียว ไปจนถึง Selfie HDR ที่สามารถถ่ายภาพเซลฟี่ในสถานที่แสงน้อย หรือการถ่ายภาพย้อนแสงได้อย่างเป็นธรรมชาติ
นอกเหนือจากกล้องถ่ายภาพระดับมืออาชีพแล้ว OPPO Reno7 Z 5G ยังมาพร้อมกับความโดดเด่นด้านงานออกแบบ ด้วยดีไซน์ไฟบริเวณขอบกล้องแบบ Dual Orbit Lights ที่สามารถกะพริบเพื่อแสดงสีสันตามการแจ้งเตือนได้อย่างสวยงาม บนบอดี้ที่ใช้การเคลือบสีแบบ OPPO Glow Design อันเป็นเอกลักษณ์ที่มีความส่องสว่างเป็นประกาย พร้อมตัวเครื่องขอบเหลี่ยมแบบ Ultra-Slim Retro Design แบบใหม่ที่มีความบางเบา
ในส่วนของประสิทธิภาพการทำงานก็ถือว่าครบเครื่องทุกการใช้งาน
โดยมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED, ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm
Snapdragon 695 5G, หน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB
ที่มีเทคโนโลยี RAM Expansion
ช่วยเพิ่มหน่วยความจำ RAM แบบเสมือนได้อีก 5GB
ทำให้มีพื้นที่ RAM เทียบเท่ากับขนาด 13GB
รวมถึงระบบชาร์จไวแบบ 33W SUPERVOOC
ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้อย่างรวดเร็ว นั่นคือใช้เวลาชาร์จเพียง 5 นาที
ก็สามารถคุยสายสนทนาได้นานสูงสุดถึง 3 ชั่วโมง
สำหรับตัวเครื่องจริงของ OPPO Reno7 Z 5G จะมีความสวยงามเพียงใด และจะมีฟีเจอร์อะไรที่น่าสนใจบ้างนั้น ไปติดตามรีวิวฉบับเต็มจากทีมงาน Thaimobilecenter กันได้เลยครับ
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์
OPPO Reno7 Z 5G
มาพร้อมกับกล่องผลิตภัณฑ์สีฟ้าอมเขียวเหมือนกับ Reno7 Series รุ่นอื่น ๆ
โดยที่ด้านหน้าจะมีการพิมพ์ชื่อรุ่นด้วยตัวอักษรสีดำให้เห็นแบบเด่นชัด
สำหรับอุปกรณ์ภายในกล่องผลิตภัณฑ์ประกอบไปด้วยเคสใส, เข็มถอดถาดใส่ซิมการ์ด, อแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่แบบ 33W SUPERVOOC
OPPO Reno7 Z 5G มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ Single
Punch-Hole AMOLED FHD+ ขนาด 6.4 นิ้ว
ความละเอียดระดับ Full HD+
ที่มีพื้นที่ในการแสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่องสูงถึง 90.8%
พร้อมผ่านมาตรฐานการแสดงผลแบบ Amazon HDR, Netflix HD/HDR และ
YouTube HD
ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าทุกคอนเทนต์จะถูกถ่ายทอดออกมาผ่านหน้าจอของ OPPO
Reno7 Z 5G ได้อย่างเต็มตาเต็มอารมณ์
ที่ด้านบนของหน้าจอแสดงผลมาพร้อมกับกล้องด้านหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ถัดมาเป็นลำโพงเสียงสำหรับสนทนา
ที่ด้านล่างของหน้าจอมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบ In-Display Fingerprint Sensor ฝังอยู่ด้านใต้ พร้อมทั้งมีปุ่มควบคุมการทำงานพื้นฐานแบบสัมผัสได้แก่ปุ่ม Recent Apps, ปุ่ม Home และปุ่ม Back
ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่องประกอบไปด้วยถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid Slot รองรับการใช้งานซิมการ์ดแบบ Nano SIM จำนวน 2 ซิมการ์ด หรือใช้งาน Nano SIM จำนวน 1 ซิมการ์ด พร้อมกับใส่การ์ดหน่วยความจำเสริมแบบ microSD ในช่องใส่ซิมการ์ดที่ 2 ถัดลงมาจะเป็นปุ่มปรับระดับเสียง
ที่ด้านบนของตัวเครื่องติดตั้งไมโครโฟนตัวที่ สองสำหรับตัดเสียงรบกวน
ที่ด้านขวาของตัวเครื่องมาพร้อมกับปุ่ม Power
สำหรับล็อกหน้าจอแสดงผล หรือเปิด-ปิด เครื่อง
ที่ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบไปด้วยพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟนสำหรับสนทนา,
พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C และลำโพงเสียงตัวหลัก
ที่ด้านหลังของตัวเครื่องมาพร้อมบอดี้ที่มีผิวสัมผัสแบบด้าน (Matte Finish) ที่ได้รับการเคลือบพื้นผิวมากกถึง 3 เลเยอร์ ประกอบไปด้วย พื้นผิวที่มีความมันเงา ผสานกับพื้นผิวแบบด้าน 2 เลเยอร์ พร้อมพื้นผิวแบบระยิบระยับจาก OPPO Glow ในชั้นบนสุด ซึ่งด้วยการผสมผสานระหว่างเลเยอร์ของบอดี้ที่แตกต่างกันนี้เองทำให้ OPPO สามารถเพิ่มดีไซน์ตกแต่งบริเวณรอบ ๆ ฐานกล้องของ OPPO Reno7 Z 5G ที่มีเอฟเฟกต์สะท้อนแสงที่แตกต่างกันออกไปตามการหักเหของแสง โดยสีที่ทางทีมงานได้รับมารีวิวในวันนี้คือ สี Cosmic Black ซึ่งแสดงถึงความมืดอันบริสุทธิ์ 100% เสมือนหลุมดำที่อยู่ตรงกลางของจักรวาล
ส่วนอีกหนึ่งสีสันที่จะมีการนำเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยด้วยนั่นก็คือ สี Rainbow Spectrum ที่มาพร้อมกับฝาหลังที่ใช้เทคนิคการเคลือบสีผิวแบบ 2 ชั้น แบ่งเป็น การเคลือบแบบไล่ระดับเฉดสีแดง เหลือง และเขียวในชั้นฐาน ผสานกับการเคลือบสีเงินสะท้อนแสงในชั้นบนสุด ซึ่งด้วยเทคนิคนี้จะทำให้เกิดเอฟเฟกต์แบบปริซึม 6 เฉดสี ทำให้มีสีคล้ายกับสีรุ้ง ดูสดใส และมีชีวิตชีวาเปรียบเสมือนรุ้งหลังสายฝน แถมยังสามารถสะท้อนเปลี่ยนเฉดสีบนฝาหลังไปตามมุมแสงที่ตกกระทบได้อีกด้วย
นอกจากนี้ OPPO Reno7 Z 5G ยังมาพร้อมกับแนวคิดการออกแบบ Ultra-Slim
Retro Design ที่มาพร้อมกับความบางเฉียบ และน้ำหนักที่เบา
โดยมีความบางประมาณ 7.49 มิลลิเมตรในสี Cosmic Black และ 7.55
มิลลิเมตรในสี Rainbow Spectrum
พร้อมน้ำหนักตัวเครื่องประมาณ 173 กรัมเท่านั้น
ที่ด้านบนบริเวณขอบกล้องหลังของ OPPO Reno7 Z 5G มาพร้อมกับดีไซน์ไฟแจ้งเตือนแบบ Dual Orbit Lights ที่ทาง OPPO ได้พัฒนาขึ้นมา โดยเมื่อเปิดใช้งาน ไฟจะมีการกะพริบ หรือส่องแสงเป็นสีนำ้เงิน ฟ้าอ่อน ฟ้าคราม หรือเบบี้บลู ตามสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป เช่น การชาร์จแบตเตอรี่, เมื่อมีสายเรียกเข้า หรือเมื่อมีการแจ้งเตือนเข้ามาเป็นต้น
ในส่วนของกล้องหลังมาเป็นชุดกล้อง 3 ตัว ซึ่งประกอบไปด้วย
- กล้อง Wide (Main) ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f1.7, มุมรับภาพ 79 องศา, ระบบโฟกัสอัตโนมัติ, มอเตอร์ Open-Loop และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 89 องศา, ระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 89 องศา และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์
เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่าง ๆ
OPPO Reno7 Z 5G มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย ColorOS 12 ใหม่ล่าสุดที่จะมอบความสะดวกด้านการใช้งาน ตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านการใช้ในชีวิตประจำวัน ในส่วนของดีไซน์ของ UI ก็ถูกออกแบบมาให้ดูสบายตา ไม่อึดอัด พร้อมไอคอน 3D แบบใหม่ที่มีความสมจริงมากยิ่งขึ้น
ในหน้า Homescreen จะมีการแสดงแอปพลิเคชันทั้งหมดภายในตัวเครื่อง พร้อมทั้งมีการจัดหมวดหมู่แอปพลิเคชันเพื่อสะดวกต่อการใช้งานมากยิ่งขึ้น ประกอบไปด้วย แอปพลิเคชันพื้นฐานจาก Google, แอปพลิเคชันพื้นฐานสำหรับตัวเครื่อง และแอปพลิเคชันที่เป็นฟีเจอร์ใหม่สำหรับสมาร์ทโฟน OPPO โดยเฉพาะ
เมื่อปัดนิ้วจากบนลงล่างจะพบกับแถบที่รวบรวม ฟังก์ชันการใช้งาน เช่น การเปิด-ปิด, การเปิดใช้งาน Wi-Fi หรือการเปิดใช้งานฟีเจอร์ประหยัดแบตเตอรี่ เป็นต้น โดยสามารถปรับคีย์ลัดของปุ่มฟังก์ชันได้โดยแตะที่ไอคอนรูปดินสอบริเวณด้านบน
ในส่วนของแอปพลิเคชันที่เป็นฟีเจอร์ใหม่ก็เรียก
ว่าน่าสนใจเลยทีเดียว โดยมาพร้อมกับ O Relax
ที่จะมอบเสียงที่ผ่อนคลายให้กับผู้ใช้ ช่วยทำให้จิตใจสงบ และมีสมาธิ
ซึ่งในเวอร์ชันใหม่นี้มาพร้อมกับฟีเจอร์ The Sounds of the Cities หรือ
เสียงบรรยากาศที่คัดสรรมาจากเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก
โดยหนึ่งในนั้นมีเสียงบรรยากาศของสถานที่เที่ยวในประเทศไทยให้เลือกฟังกันด้วย
รวมทั้งยังมาพร้อมกับเกมที่ช่วยคลายเครียด
เรียกได้ว่าเป็นแอปพลิเคชันที่จะช่วยให้ผู้ใช้ได้ผ่อนคลายอย่างแท้จริง
Soloop Cut
แอปพลิเคชันสำหรับช่วยตัดต่อที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์วิดีโอได้อย่างสวยงาม
ระดับโปรได้อย่างง่าย ๆ เพียงแค่เลือกวิดีโอที่ต้องการเท่านั้น
ระบบจะทำการใส่เพลง รวมถึงตัดต่อให้แบบอัตโนมัติ
รวมทั้งยังมีเทมเพลตการตัดต่อวิดีโอให้เลือกใช้งานอย่างหลากหลายด้วย
มาพร้อมกับ OPPO Omoji
ฟีเจอร์ที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างอีโมจิแบบเคลื่อนไหว 3
มิติเพื่อแสดงความรู้สึกได้อย่างมีชีวิตชีมาได้มากกว่าอีโมจิแบบดั้งเดิม
โดยผู้ใช้สามารถปรับแต่งใบหน้า ทรงผม หรือเครื่องประดับของอีโมจิ 3
มิติได้อย่างอิสระ รวมทั้งยังมาพร้อมกับอัลกอริทึม Face Capture ที่
สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวของใบหน้าได้อย่างแม่นยำผ่านการจับจุดต่าง ๆ
ของใบหน้ากว่า 77 จุด ไม่ว่าจะเป็น การขยับดวงตา การขยิบตา หรือการยิ่ม
ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถสื่ออารมณ์ และความรู้สึกผ่าน OPPO Omoji
ได้นั่นเอง
มาดูที่ฟีเจอร์การใช้งานกันบ้าง สำหรับ OPPO
Reno7 Z 5G รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด
พร้อมรองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 5G ทั้งสองซิมการ์ด
รองรับการใช้งานร่วมกับ Dark Mode
สำหรับปรับการแสดงผลให้อยู่ในโทนสีดำ เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน
และใช้งานได้อย่างสบายตามากยิ่งขึ้น
สามารถปรับการแสดงผลของสีสันได้ทั้งหมด 2
รูปแบบ ได้แก่ Vivid สำหรับแสดงสีสันแบบสดใส และ Natural
ที่ช่วยให้การแสดงสีสันเป็นไปอย่างธรรมชาติ
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจก็คือ Adaptive
Sleep
หรือระบบช่วยป้องกันไม่ให้หน้าจอปิดตัวลงหากผู้ใช้มองหน้าจอแสดงผลอยู่
มาพร้อมกับระบบเสียงแบบ Real Sound Technology ซึ่งสามารถปรับโหมดการขับเสียงได้ทั้งหมด 4 รูปแบบ ได้แก่
- Smart สำหรับปรับการเล่นเสียงให้เหมาะสมกับคอนเทนต์แบบอัตโนมัติ
- Movie สำหรับปรับการเล่นเสียงให้เหมาะกับภาพยนตร์
โดยจะปรับเสียงพูดให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
- Game สำหรับปรับการเล่นเสียงให้เหมาะกับการเล่นเกม
- Music สำหรับปรับการเล่นเสียงให้เหมาะกับดนตรี โดยปรับเสียงร้อง
และเสียงเครื่องดนตรีให้ดูสมจริงมากยิ่งขึ้น
สามารถปรับเปลี่ยนภาพพื้นหลัง, รูปแบบไอคอน,
ธีมสี, รูปแบบตัวอักษร, แอนิเมชันการสแกนลายนิ้วมือ รวมถึงการแจ้งเตือนในหน้า
Always-On Display ได้ที่เมนู Personalizations
นอกจากนี้
ยังมาพร้อมกับไฟแจ้งเตือนแบบใหม่ที่เรียกว่า Breathing light
ที่จะกะพริบเป็นสีสันต่าง ๆ ตามสถานะของสมาร์ทโฟน เช่น ชาร์จแบตเตอรี่,
มีสายเรียกเข้า หรือมีการแจ้งเตือนใหม่
โดยผู้ใช้สามารถกำหนดเวลาที่เปิดใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าวได้ด้วยตนเอง
รวมทั้งยังสามารถตั้งค่าแอปพลิเคชันที่ต้องการให้แจ้งเตือนผ่าน Breathing
light ได้อีกด้วย
มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 4500mAh
ที่รองรับระบบชาร์จเร็ว 33W SUPERVOOC
พร้อม
ฟีเจอร์ Power Saving Mode
สำหรับช่วยประหยัดการใช้พลังงานแบตเตอรี่ และ Super Power Saving
Mode
สำรับช่วยประหยัดการใช้พลังงานแบตเตอรี่ในระดับสูงสุดซึ่งจะจำกัดการใช้งาน
แอปพลิเคชันเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ High
Performance Mode ที่จะช่วยรีดประสิทธิภาพการทำงานของตัวเครื่อง
ให้อยู่ในระดับสูงสุด เพื่อตอบโจทย์การประมวลผลในระดับสูง เช่น การเล่นเกม
เป็นต้น
สำหรับ ColorOS 12 เวอร์ชันใหม่จะมาพร้อมกับเมนู Special features ที่รวบรวมฟีเจอร์พิเศษสำหรับการใช้งานที่สะดวกมากยิ่งขึ้น เริ่มตั้งแต่ Split Screen สำหรับแบ่งการใช้งาน 2 แอปพลิเคชันพร้อมกัน
Flexible Windows
สำหรับใช้งานแอปพลิเคชันแบบหน้าต่างลอยเหนือแอปพลิเคชันอื่น ๆ, Smart
Sidebar สำหรับเรียกใช้งานแอปพลิเคชัน
และคีย์ลัดแบบเร่งด่วนจากแถบด้านข้างหน้าจอแสดงผล
มาพร้อม Air Gestures สำหรับ
สั่งการสมาร์ทโฟนโดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ เพียงแค่โบกมือขึ้น-ลงเท่านั้น
โดยในเบื้องต้นจะรองรับคำสั่งทั้งหมด 2 รูปแบบ ได้แก่ Call control
gestures สำหรับรับสายเรียกเข้าเพียงโบกมือขึ้น และ Air
Scroll สำหรับโบกมือขึ้น-ลง เพื่อเลื่อนหน้าจอแสดงผล
มาดูที่ประสิทธิภาพการทำงานกันบ้าง OPPO Reno7
Z 5G มาพร้อมกับชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 695 5G ที่
มีขนาดเพียง 6 นาโนเมตร โดยจะทำงานควบคู่กับหน่วยความจำ RAM ขนาด
8GB และหน่วยความจำภายในความจุ 128GB
ที่มีเทคโนโลยี RAM Expansion จาก OPPO ช่วยเพิ่ม
RAM ได้อีก 5GB ทำให้ OPPO Reno7 Z 5G จะมีหน่วยความจำ RAM
เทียบเท่ากับ 13GB
เพื่อช่วยให้ใช้งานได้อย่างลื่นไหลมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ OPPO Reno7 Z 5G
ยังเป็นหนึ่งสมาร์ทโฟนรุ่นแรก ๆ
ที่ผ่านการรับรองด้านการทดสอบด้านความลื่นไหลการใช้งานเป็นเวลา 36 เดือน
ตามมาตรฐาน TUV SUD 36-Month Fluency Certification Test
ในระดับ A+ ช่วยให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่า
จะสามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหลแม้ว่าจะใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานาน
ทดสอบการประมวลผลโดยรวมของตัวเครื่องด้วย
แอปพลิเคชัน AnTuTu พบว่า สามารถทำคะแนนได้ทั้งหมด 378,632
คะแนน
ทดสอบการประมวลผลของหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench 5 พบว่า สามารถทำคะแนนการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ได้ทั้งหมด 631 คะแนน และทำคะแนนการประมวลผลแบบหลายแกน (Multi-Core) ได้ทั้งหมด 1,772 คะแนน
ทดสอบการประมวลผลของหน่วยประมวลกลราฟิก (GPU) ด้วยแอปพลิเคชัน 3DMark พบว่า สามารถทำคะแนนการประมวลผลได้สูงสุด 1,215 คะแนนในด่าน Wild Life
ทดสอบการเล่นเกมที่มีกราฟิกสูงอย่าง NBA 2K Mobile ก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างลื่นไหล แม้ว่าจะมีอาการสะสมความร้อนจนพอสังเกตได้เมื่อเล่นต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน หากเป็นเกมอื่น ๆ ที่ไม่ได้ใช้งานกราฟิกหนักมากเกินไปอย่างเกมออนไลน์ยอดนิยม เช่น FreeFire หรือ Arena of Valor จะสามารถเล่นได้ค่อนข้างลื่นพอสมควร ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากฟีเจอร์ AI System Booster ที่จัดสรร และปรับแต่งประสิทธิภาพการทำงานของตัวเครื่องให้เหมาะสมกับการใช้งาน
นอกเหนือจากเทคโนโลยี AI System Booster แล้ว OPPO Reno7 Z 5G ยังตอบโจทย์เหล่าเกมเมอร์ไปอีกขั้นด้วยฟีเจอร์ AI Frame Rate Stabilizer ที่ใช้อัลกอริทึม AI ในการประเมิน และปรับแต่งเฟรมเรทแบบเรียลไทม์ รวมทั้งยังมาพร้อมกบฟีเจอร์ Quick Startup ที่ช่วยระบุเกมที่ผู้ใช้เล่นบ่อย ๆ และจะคงการทำงานของเกมนั้น ๆ เอาไว้บนพื้นหลังแม้ว่าะจออกจากเกมไปแล้ว ทำให้เกมพร้อมทันทีที่คุณกดเล่นเกม นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Game Focus Mode ที่ช่วยปิดการแจ้งเตือนทั้งสายเรียกเข้า และข้อความต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้มีสมาธิอยู่กับการเล่นเกมนั่นเอง
การระบุตำแหน่ง และนำทางนั้นก็ถือว่ามีความรวดเร็วแม่นยำ ด้วยการรองรับระบบดาวเทียมชั้นนำของโลกได้อย่างครบถ้วน ทั้ง GPS+A-GPS, BeiDou, Glonass, Galileo และ QZSS
การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ
มาดูที่โหมดการถ่ายภาพของกล้องกันบ้าง โดย OPPO Reno7 Z 5G ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนอีกหนึ่งรุ่นที่มีความโดดเด่นด้านการถ่ายภาพ Portrait หรือการถ่ายภาพบุคคลที่ทำได้อย่างสวยงาม โดยมาพร้อมกับโหมด Bokeh Flare Portrait ที่สามารถถ่ายภาพหน้าชัดหลังละลาย พร้อมปรับเอฟเฟกต์ของดวงไฟโบเก้ให้มีความสวยงามราวกับการถ่ายด้วยกล้องโปรแบบ DSLR ที่มีเลนส์รูรับแสงกว้าง
สาเหตุที่ทำให้ OPPO Reno7 Z 5G
สามารถถ่ายภาพพอร์ตเทรตได้ในระดับมืออาชีพก็เป็นผลมาจากอัลกอริทึมที่ OPPO
ได้พัฒนาขึ้นมา และได้รับการเทรนมาแล้วกว่า 100 ฉาก
เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการตรวจจับบุคคลภายในภาพ
รวมถึงการตัดภาพบุคคลอย่างแม่นยำ รวมทั้งยังมีการคำนวนระยะชัดลึกของพื้นหลัง
พร้อมกับความสามารถด้านการรีทัชเส้นผมของบุคคลลงลึกในระดับพิกเซล
ทำให้การถ่ายภาพบุคคลจะมีการเบลอฉากหลังแบบมีมิติ ดูเป็นธรรมชาติ
พร้อมกับดวงไฟโบเก้ระยิบระยับเหมือนกล้องโปรเพียงแค่ใช้มือถือเครื่องเดียวเท่านั้น
กล้องหน้าของ OPPO Reno7 Z 5G ก็รองรับการถ่ายภาพด้วยฟีเจอร์ Bokeh Flare Portrait ได้เช่นกัน ซึ่งช่วยให้เราสามารถถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังละลาย พร้อมกับปรับดวงไฟโบเก้ให้มีความสวยงามเหมือนกับกล้อง DSLR ทำให้ภาพถ่ายเซลฟี่มีความสวยงามมากยิ่งขึ้น และหากต้องการให้ภาพเซลฟี่มีความโดดเด่นขึ้นไป อีกขั้น OPPO Reno7 Z 5G ก็ยังมีฟีเจอร์ AI Color Portrait ที่ช่วยปรับพื้นหลังให้ เป็นสีขาวดำ พร้อมคงสีของตัวแบบเอาไว้ เพื่อช่วยสร้างให้ภาพมีคอนทราสต์ที่แตกต่างระหว่างตัวแบบ และฉากหลังแบบชัดเจน
นอกจากนี้กล้องหน้ายังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Selfie HDR ที่จะมอบความสว่างคมชัดให้กับภาพเซลฟี่แม้ในที่แสงน้อย หรือย้อนแสง โดยจะบบจะทำการเฉลี่ยแสงของใบหน้า และฉากหลังอย่างสมดุล เพื่อไม่ให้ใบหน้าของผู้ใช้สว่างมืดเกินไป หรือฉากหลังสว่างเกินไปจนมองไม่เห็นรายละเอียด
ไม่เพียงเท่านี้ OPPO Reno7 Z 5G ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์
Portrait Retouching
ที่จะช่วยปรับใบหน้าของผู้ใช้แต่ละรายให้มีความสวยงามดูเป็นธรรมชาติ
ผ่านการระบุจุดสำคัญบนใบหน้ากว่า 373 จุด รวมถึงการเทรนข้อมูลภาพของ AI กว่า
400,000 ภาพที่มีใบหน้ากว่า 5,000 ใบหน้า เพื่อช่วยให้สมาร์ทโฟนสามารถระบุ
และลบรอยด่างพร้อย สิว รอยแผลเป็นจากสิว และจุดด่างดำได้อย่างเหมาะสม
รวมทั้งยังมีการปรับแต่งโทนสีผิว
และการแต่งหน้าให้กับผู้ใช้แต่ะรายได้อย่างสวยงาม
นอกจากโหมดการถ่ายภาพแล้ว
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่จะช่วยให้ภาพถ่ายมีความสวยงามมากยิ่งขึ้นนั่นก็คือ AI
Palette ที่สามารถปรับแต่งโทนสีของภาพถ่ายหลังจากถ่ายภาพเป็นแล้ว
โดยจะช่วยให้สามารถแต่งภาพในสไตล์อื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย โดยฟิลเตอร์ของ AI
Palette ที่มาพร้อมกับตัวเครื่องจะมีทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ Mars,
Gothic และ Red Orange
ในส่วนของฟีเจอร์การถ่ายภาพอื่น ๆ
ของกล้องหลังก็เรียกว่าน่าสนใจไม่แพ้กัน โดยมาพร้อมกับ AI Scene
Enhancement ที่จะช่วยปรับสีสัน
และคอนทราสต์ของภาพถ่ายให้เหมาะสมกับภาพที่กำลังถ่ายอยู่แบบอัตโนมัติ
รองรับการวิเคราะห์ฉากถ่ายภาพมากกว่า 23 ฉาก
ทำให้ภาพถ่ายมีความสวยงามโดยไม่ต้องนำไปปรับแต่งต่อในแอปพลิเคชันอื่น ๆ
โหมด Night
สำหรับถ่ายภาพกลางคืนให้มีความสว่างคมชัดโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง
ด้านการถ่ายวิดีโอ รองรับการบันทึกไฟล์ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD ที่ ระดับ 30FPS
พร้อมโหมดการถ่ายวิดีโอที่น่าสนใจอย่าง Dual-View
Video ที่สามารถบันทึกวิดีโอจากกล้องหน้า
และกล้องหลังได้พร้อมกัน
รองรับการถ่ายภาพเซลฟี่กลางคืน และในที่แสงน้อยด้วยโหมด Night
ส่วนการถ่ายวิดีโอ รองรับการบันทึกไฟล์ที่ความละเอียดสูงสุด Full HD 1080P ที่ระดับ 30FPS พร้อมฟีเจอร์ AI Retouching สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 3 ตัว (AI Portrait Camera) ความละเอียด 64+2+2 ล้านพิกเซล ของ OPPO Reno7 Z 5G
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัก
ตัวอย่างภาพถ่ายแบบ Macro
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Night
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Bokeh Flare
Portrait
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า ความละเอียด 16
ล้านพิกเซลของ OPPO Reno7 Z 5G
ภาพถ่ายเปรียบเทียบระหว่างโหมดปกติ และ Selfie HDR
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Bokeh Flare
Portrait
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด AI Color Portrait
สรุปผลการทดสอบของ OPPO Reno7 Z 5G
เรียกได้ว่า OPPO Reno7 Z 5G ยังคงสานต่อความโดดเด่นด้านการถ่ายภาพพอร์ตเทรตของตระกูล Reno Series ไว้ได้อย่างครบถ้วน ด้วยโหมดการถ่ายภาพที่ถูกพัฒนาเพื่อการถ่ายภาพบุคคลที่สามารถใช้งานได้ง่าย และถ่ายได้อย่างสวยงาม เริ่มตั้งแต่ โหมด Bokeh Flare Portrait ที่ สามารถถ่ายภาพหน้าชัดหลังละลายได้ราวกับใช้กล้อง DSLR ที่มีเลนส์รูรับแสงกว้าง, AI Color Portrait ที่ช่วยให้การถ่ายภาพแบบดูดสีเฉพาะตัวแบบเป็นเรื่องง่าย จากแต่ก่อนที่ต้งนำไปปรับแต่งในแอปพลิเคชันอื่น ๆ, AI Portrait Retouching อัลกอริทึมที่จะช่วยปรับแต่งใบหน้าให้มีความสวยงาม เป็นธรรมชาติ, AI Palette ที่สามารถปรับแต่งสีสันของภาพถ่ายให้มีโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ รวมถึง Selfie HDR ที่จะช่วยให้การถ่ายภาพเซลฟี่ในที่แสงน้อย หรือการถ่ายเซลฟี่แบบย้อนแสงมีความสว่างคมชัด
ทางด้านดีไซน์ก็เรียกได้ว่าสวยงามเป็นเอกลักษณ์ ตามสไตล์ Reno Series โดย OPPO Reno7 Z 5G มาพร้อมกับไฟแจ้งเตือนแบบ Dual Orbit Lights ที่สามารถเปล่งแสงบริเวณขอบรอบกล้องหลังเมื่อมีการแจ้งเตือนต่าง ๆ รวมถึงฝาหลังที่ได้รับการเคลือบผิวหลายชั้นแบบ OPPO Glow Design ที่สามารถเปล่งแสงเป็นประกายระยิบระยิบได้อย่างสวยงาม พร้อมดีไซน์ตัวเครื่องแบบ Ultra-Slim Retro Design ที่ขอบด้านข้างมีความเหลี่ยม และน้ำหนักตัวเครื่องที่บางเบา สามารถจับถือได้อย่างกระชับมือ
ด้านประสิทธิภาพการทำงานถือว่าน่าสนใจไม่แพ้กัน
โดยมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED
ขนาดใหญ่เต็มตาที่ผ่านรับรองมาตรฐานการแสดงผลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
YouTube HD, Amazon HDR รวมถึง Netflix
HD/HDR
เพื่อให้ผู้ใช้ดื่มด่ำกับทุกคอนเทนต์บนหน้าจอแสดงผลของ OPPO Reno7 Z 5G
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับชิปเซ็ตประมวลผลระดับ 6 นาโนเมตร Qualcomm
Snapdragon 695 5G
ที่คอยทำงานคู่กับหน่วยความจำ RAM ขนาด
8GB ที่มีเทคโนโลยี RAM Expansion ซึ่งสามารถเพิ่ม RAM แบบเสมือนได้อีก 5GB ทำให้มี RAM เทียบเท่าขนาด
13GB รวมถึงแบตเตอรี่ขนาด 4500 mAh
ที่รองรับระบบชาร์จเร็ว 33W SUPERVOOC
โดยใช้เวลาชาร์จแบตเตอรี่เพียง 5 นาที ก็สามารถสนทนาได้ยาวนานต่อเนื่องถึง 3
ชั่วโมง
สำหรับ OPPO Reno7 Z 5G สมาร์ทโฟน 5G ที่ถ่ายภาพพอร์ตเทรตได้ดีเยี่ยมรุ่นล่าสุด กับนวัตกรรมถ่ายภาพที่ให้เป็นตัวเองได้ไม่จำกัดด้วยพอร์ตเทรต เปิดราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยมาแล้วที่ 12,990 บาท โดยมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีรุ้ง Rainbow Spectrum และสีดำ Cosmic Black
ท่านใดที่สนใจ สามารถสั่งจอง OPPO Reno7 Z 5G ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 16 มีนาคม 2565 พร้อมรับของสมนาคุณเป็น E-VIP Card ประกันหน้าจอแตก และ OPPO SPORTS BAG มูลค่ารวม 7,499 บาท
นอกจากนี้ยังสามารถเป็นเจ้าของ OPPO Reno7 Z 5G ได้ง่ายขึ้นเมื่อจองผ่านผู้ให้บริการเครือข่าย ในราคาเริ่มต้นเพียง 4,790 บาท ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 16 มีนาคม 2565 เท่านั้น
โดย OPPO Reno7 Z 5G จะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 17 มีนาคม 2565 เป็นต้นไป ณ OPPO Brand Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง OPPO ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง OPPO Reno7 Z 5G มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน แล้วพบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ
จุดเด่นของ OPPO Reno7 Z 5G
- ดีไซน์ตัวเครื่องเบาบางแบบ Ultra-Slim Retro Design โดยมีน้ำหนักเบาประมาณ
173 กรัม พร้อมความบางของตัวเครื่องประมาณ 7.49 มิลลิเมตรในสี Cosmic Black
และ 7.55 มิลลิเมตรในสี Rainbow Spectrum
- ฝาหลังเคลือบผิวแบบ OPPO Glow Design
ที่สามารถเปล่งประกายได้อย่างระยิบระยับ ด้วยพื้นผิว 3 ชั้น พร้อมกระบวนการเคลือบ 2 ชั้น
- ไฟ Dual Orbit Lights รอบเลนส์กล้อง ด้วยไฟแบบ RGB, เทคโนโลยีแสงปริซึมที่ส่องสว่างอย่างสม่ำเสมอ และแผ่นนำแสง ซึ่งส่องสว่างได้นานกว่า 50,000 ชั่วโมง และส่องแสงได้นาน 2 ชั่วโมง ด้วยพลังงานแบตเตอรี่ 1%
- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการทนน้ำตามมาตรฐาน IPX4
- จอแสดงผลแบบ AMOLED (Rigid Screen) ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ พร้อมได้รับการรับรอง Eye Care Display / Netflix HD / Amazon Prime Video HD / YouTube HD และครอบหน้าจอด้วยวัสดุแบบ PMMA+PC
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint Sensor) พร้อมระบบจดจำใบหน้า (Face Recognition)
- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 695 5G (SM6375) ความเร็ว 2.2 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 619
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB พร้อมเทคโนโลยี RAM Expansion สำหรับเพิ่มหน่วยความจำ RAM
แบบเสมือนได้สูงสุด 5GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 2.2 ขนาด 128GB
- รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมแบบ microSD ได้สูงสุดที่ขนาด 1 TB
- แบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh พร้อมระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 33W SUPERVOOC (11V/3A)
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ ColorOS 12 (บนพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ Android 11)
--------------------------------------
กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (AI Portrait Triple Camera) ประกอบด้วย
- กล้อง Wide (Main) ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f1.7, มุมรับภาพ 79 องศา, ระบบโฟกัสอัตโนมัติ, มอเตอร์ Open-Loop และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 89 องศา, ระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 89 องศา และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์
กล้องดิจิทัลด้านหน้า ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล
พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 79 องศา และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
โดยกล้องหลัง และกล้องหน้ามีฟีเจอร์เด่นดังนี้
- โหมดการถ่ายภาพแบบ Bokeh Flare Portrait
สำหรับถ่ายภาพบุคคลแบบหน้าชัดหลังเบลอ
พร้อมปรับดวงไฟโบเก้ให้มีความสวยงามราวกับถ่ายด้วยกล้อง DSLR
- โหมดการถ่ายภาพแบบ AI Color Portrait
สำหรับถ่ายภาพบุคคลแบบดูดสีเฉพาะตัวแบบ
- ฟังก์ชัน AI Portrait Retouching
สำหรับใช้ปัญญาประดิษฐ์วิเคราะห์ฉากเพื่อปรับแต่งใบหน้าของผู้ใช้ให้มีความสวยงาม
เป็นธรรมชาติ
- ฟังก์ชัน AI Palette สำหรับปรับฟิลเตอร์สีของภาพถ่ายให้มีความโดดเด่น
- ฟังก์ชัน Selfie HDR สำหรับถ่ายภาพเซลฟี่แบบย้อนแสง
และการถ่ายภาพเซลฟี่ในที่แสงน้อยได้อย่างสว่างคมชัด
- ฟีเจอร์ OPPO Omoji สำหรับสร้างอีโมจิ 3
มิติแบบเคลื่อนไหวได้ผ่านการจับจุดต่าง ๆ บนใบหน้ากว่า 77 จุด
- รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 1080P FHD ที่ความเร็ว 30 fps ทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง
--------------------------------------
- ระบบเสียง Real HD Sound 3.0 พร้อม Smart Power Amplifier
- เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านระบบ Wi-Fi 2.4/5GHz, 5G, 4G LTE, 3G WCDMA และ 2G EDGE/GPRS
- รองรับการใช้งานระบบซิมคู่ (Dual SIM : Nano SIM + Nano SIM) บนถาดแบบ Hybrid Slot
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.2 และ NFC
- ระบุตำแหน่ง และนำทางด้วยระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, BeiDou, Glonass, Galileo และ QZSS
- พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C พร้อมรองรับการใช้งาน OTG (USB On-The-Go)
- พอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
- ฟีเจอร์ Air Gestures
- ฟีเจอร์ Omoji
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ OPPO
Reno7 Z 5G
- หน้าจอแสดงผลมีอัตราการรีเฟรชสูงสุดที่ 60 Hz
- มีให้เลือกเพียงรุ่นความจุเดียวคือ 128GB
- ไม่มีกล้องเลนส์มุมกว้าง Ultra Wide
- ไม่รองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดระดับ 1080P FHD ที่ความเร็ว 60 fps
- ใช้ถาดซิมการ์ดแบบ Hybrid Slot
- ลำโพงเสียงเป็นแบบเดี่ยว
สรุปคุณสมบัติของ OPPO Reno7 Z 5G
ท่านสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ OPPO Reno7 Z 5G ได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้
สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ OPPO Reno7 Z 5G
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางผู้ผลิต เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบ หรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *
วันที่ : 03/03/2022