ตอนนี้คุณอยู่ที่ >> หน้าแรก >> หน้ารวม รีวิวมือถือ mobile review >> รีวิวมือถือ Mobile Review
   
Date : 03/02/2025
รีวิว OPPO Reno13 Series 5G

รีวิว OPPO Reno13 Series 5G สมาร์ตโฟน AI รุ่นใหม่ อัปเกรดประสบการณ์ถ่ายภาพด้วย AI Livephoto พร้อมการประมวลผลทรงพลัง และครั้งแรกของการถ่ายภาพใต้น้ำด้วยมาตรฐาน IP69
 

หลังจากที่ OPPO เปิดตัว OPPO Reno13 Series 5G ในประเทศจีนเมื่อปลายปี 2024 ที่ผ่านมา ล่าสุดสมาร์ตโฟนซีรีส์นี้ก็ได้ฤกษ์วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ว โดยมีทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ได้แก่ OPPO Reno13 F 5G, OPPO Reno13 5G และ OPPO Reno13 Pro 5G ซึ่งในวันนี้ ทีมงาน Thaimobilecenter ก็ได้มีโอกาสนำเอารุ่นเล็กอย่าง OPPO Reno13 F 5G และรุ่นมาตรฐานอย่าง OPPO Reno13 5G มารีวิวให้ได้ชมกันครับ

สำหรับ OPPO Reno13 F 5G และ OPPO Reno13 5G ยังคงเน้นความเป็น “AI Phone” เช่นเดียวกับ Reno12 5G รุ่นก่อนหน้า แต่ครั้งนี้ได้มีการอัปเกรดระบบ AI เพื่อให้การถ่ายภาพมีประสิทธิภาพในระดับมือโปรยิ่งขึ้น โดยมีฟังก์ชันใหม่อย่าง AI Livephoto ที่สามารถเปลี่ยนภาพถ่ายธรรมดาให้มีชีวิต และเก็บครบทุกช่วงเวลาสำคัญ นอกจากนี้ ทั้งสองรุ่นยังรองรับการถ่ายภาพ และวิดีโอใต้น้ำด้วยมาตรฐานการกันน้ำระดับ IP69 พร้อมระบบไล่น้ำ โดยถือเป็นครั้งแรกที่สมาร์ตโฟนระดับกลางของ OPPO สามารถถ่ายภาพใต้น้ำได้ อีกทั้งยังเป็นสมาร์ตโฟน Android รุ่นแรกที่สามารถแชร์ภาพ AI Livephoto ข้ามแพลตฟอร์มไปยัง iOS ได้อีกด้วย

ในด้านดีไซน์ OPPO Reno13 Series 5G ได้รับการออกแบบใหม่ให้ดูพรีเมียมมากยิ่งขึ้น ด้วยหน้าจอ Flat Screen ขอบเหลี่ยม พร้อมกรอบอะลูมิเนียม และฝาหลังกระจกขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียว โดยมีตัวเลือกสีที่แตกต่างกันในแต่ละรุ่น เริ่มที่ OPPO Reno13 F 5G จะมีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีม่วง Plume Purple (ฝาหลังลวดลายปีกผีเสื้อ), สีเทา Graphite Grey และสีฟ้า Luminous Blue ส่วน OPPO Reno13 5G มีให้เลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีขาว Plume White และสีฟ้า Luminous Blue

สำหรับรายละเอียดเพิ่ม กับสิ่งที่น่าสนใจอื่น ๆ ของ OPPO Reno13 F 5G และ OPPO Reno13 5G เราไปติดตามกันต่อในรีวิว OPPO Reno13 Series 5G โดยทีมงาน Thaimobilecenter กันได้เลยครับ

 

แกะกล่อง OPPO Reno13 Series 5G

กล่องผลิตภัณฑ์ของ OPPO Reno13 Series 5G ยังคงมาในรูปแบบที่เรียบง่าย มีการระบุชื่อรุ่นอย่างชัดเจนบนหน้ากล่อง


อุปกรณ์ภายในกล่องของทั้ง OPPO Reno13F 5G และ OPPO Reno13 5G จะเหมือนกันทั้งหมด แตกต่างกันเฉพาะตัวอแดปเตอร์ชาร์จ ดังนี้:

- อแดปเตอร์ชาร์จ 45W SUPERVOOC (Reno 13F) / 80W SUPERVOOC (Reno 13)
- สาย USB Type-C
- เข็มถอดถาดซิมการ์ด
- เคสซิลิโคน
- คู่มือการใช้งาน


ดีไซน์ภายนอก OPPO Reno13 Series 5G

สำหรับ OPPO Reno13 F 5G ที่นำมารีวิวในครั้งนี้ เป็นตัวเครื่องสีม่วง Plume Purple ที่มีความโดดเด่นตรงฝาหลังจะเป็นลวดลายปีกผีเสื้อ ส่วน OPPO Reno13 5G เป็นตัวเครื่องสีขาว Plume White โดยทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ ขอบเหลี่ยมจับได้ถนัดมือมากขึ้น ต่างจาก OPPO Reno12 5G รุ่นก่อนหน้าที่เป็นดีไซน์ขอบโค้งแบบ 3D Curve ซึ่งความแตกต่างของทั้ง 2 รุ่นอยู่ที่ฝาด้านหลัง โดย OPPO Reno13 5G จะมีความพรีเมียมกว่า เนื่องจากเป็นฝาหลังกระจกแกะสลักชิ้นเดียว และกรอบตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียมเกรดอากาศยาน


หน้าจอของทั้ง OPPO Reno13 F 5G และ OPPO Reno13 5G รองรับอัตราการรีเฟรชสูงสุดที่ 120Hz แบบ Smart Adaptive Screen อีกทั้งยังได้รับการรับรองจาก HDR10+, Amazon HD และ HDR รวมถึง Netflix HD และ HDR ให้ภาพที่คมชัดและสีสันสดใสโดยหน้าจอของ OPPO Reno13 F 5G มีขนาดอยู่ที่ 6.67 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2400 พิกเซล ส่วนหน้าจอของ OPPO Reno13 5G มีขนาดอยู่ที่ 6.59 นิ้ว ความละเอียด 1256 x 2760 พิกเซล ครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 7i เช่นเดียวกับรุ่น Reno12 5G นอกจากนี้ ยังรองรับฟีเจอร์ Splash Touch สามารถใช้งานได้แม้หน้าจอเปียก


กล้องหลักที่ด้านหลังตัวเครื่องของ OPPO Reno13 F 5G จะเป็นชุดกล้อง 3 ตัว (Triple Camera) ดังนี้

- กล้อง Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f1.8, ทางยาวโฟกัส 26 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 78°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, ทางยาวโฟกัส 16 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 112°), ระบบป้องกันการสั่นแบบ EIS และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 และมุมรับภาพ 89°

ส่วนกล้องด้านหน้า เป็นกล้องความละเอียด 32 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2.74 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.8 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.4, ทางยาวโฟกัส 22 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 82°) และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์


สำหรับกล้องตัวหลักที่ด้านหลังตัวเครื่องของ OPPO Reno13 5G ก็จะมีอยู่ทั้งหมด 3 ตัวเช่นกัน ดังนี้

- กล้อง Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.95 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f1.8, ทางยาวโฟกัส 26 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 79°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, ทางยาวโฟกัส 15 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 116°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติ, ระบบป้องกันการสั่นแบบ EIS และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Monochrome ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 89° และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์

ส่วนกล้องด้านหน้า เป็นกล้องความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.0, ทางยาวโฟกัส 21 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 90°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติ และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์


OPPO Reno13 F 5G มีน้ำหนักอยู่ที่ 192 กรัม และบางเพียง 7.76 มิลลิเมตร สำหรับตัวเครื่องสี Plume Purple และ Graphite Grey ส่วนตัวเครื่องสี Luminous Blue จะมีความบางที่ 7.82 มิลลิเมตร ส่วน OPPO Reno13 5G จะมีน้ำหนักเบากว่าเล็กน้อย อยู่ที่ 181 กรัม


ด้านซ้ายตัวเครื่องไม่มีปุ่มหรือพอร์ตใด ๆ ส่วนด้านขวาตัวเครื่อง จะมีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มล็อกหน้าจอแสดงผล


OPPO Reno13 F 5G มาพร้อมลำโพงเสียงคู่แบบสเตอริโอ ซึ่งด้านบนตัวเครื่อง ประกอบด้วย ไมโครโฟน ส่วนด้านล่างตัวเครื่อง ประกอบด้วย ถาดใส่ซิมการ์ด, พอร์ต USB Type-C และไมโครโฟนหลักสำหรับสนทนา


ส่วน OPPO Reno13 5G จะมีพอร์ตและปุ่มกดต่าง ๆ คล้ายกับรุ่น OPPO Reno 13F 5G แต่สิ่งที่เพิ่มมาก็คือ รุ่นนี้มี IR Blaster มาให้ด้วย


สำหรับถาดใส่ซิมการ์ดของทั้ง 2 รุ่นต่างกันตรงที่ ถาดใส่ซิมการ์ดของ OPPO Reno13 F 5G จะเป็นแบบ Hybrid-Slot รองรับซิมคู่ (Nano SIM + Nano SIM) หรือจะเลือกใส่เป็นซิมการ์ดกับ microSD Card ก็ได้เช่นกัน ส่วนถาดใส่ซิมการ์ดของ OPPO Reno13 5G จะรองรับซิมคู่ (Nano SIM + Nano SIM) เท่านั้น ไม่รองรับ microSD Card

 

ระบบพื้นฐาน และฟีเจอร์ AI อัจฉริยะ

OPPO Reno13 F 5G และ OPPO Reno13 5G มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ ColorOS 15.0 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด บนพื้นฐานของ Android 15 ที่ยังคงออกแบบอินเทอร์เฟสที่ทันสมัย และใช้งานง่าย ซึ่งจุดเด่นของทั้ง 2 รุ่นนี้ก็คือ ฟีเจอร์ AI ที่ครอบคลุมตั้งแต่การถ่ายภาพ, แต่งภาพ ไปจนถึงการสรุปโน้ต ยิ่งไปกว่านั้น ฟีเจอร์ AI บน OPPO Reno13 F 5G และ OPPO Reno13 5G ได้มีการยกระดับให้ดียิ่งขึ้น และเป็นสมาร์ตโฟน OPPO รุ่นแรกที่ให้ AI มาแบบเต็มระบบ โดยมีฟังก์ชั่นที่น่าสนใจดังนี้ครับ


AI Livephoto

ฟีเจอร์ที่เปลี่ยนภาพถ่ายธรรมดา ให้เป็นภาพมีชีวิต คล้าย ๆ กับการถ่ายภาพ Livephotos บน iPhone เหมาะกับสถานการณ์ที่ฉากหลังมีการเคลื่อนไหว เช่น ใบไม้ร่วง หรือผีเสื้อบิน โดยสามารถถ่ายวิดีโอได้ตั้งแต่ 1.5 วินาทีก่อน ถึง 1.5 วินาทีหลังจากกดชัตเตอร์ รวมทั้งหมดเป็น 3 วินาที ซึ่งเราสามารถแก้ไขช่วงเวลาของวิดีโอได้ด้วย สามารถเลือกจังหวะที่ถูกใจได้เลย

นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกภาพที่ต้องการได้แบบไม่จำกัด และเมื่อเลือกรูปได้แล้ว AI จะช่วยเพิ่มความละเอียดของภาพ และใช้เทคโนโลยี Pro XDR เข้ามาช่วยเพิ่มรายละเอียดและความคมชัดด้วย

ที่สำคัญคือ OPPO Reno13 F 5G และ OPPO Reno13 5G สามารถถ่ายและแชร์ภาพ Livephoto แบบข้ามแพลตฟอร์มกับ iOS ได้ด้วย นับว่าเป็นสมาร์ตโฟน Android รุ่นแรกที่ทำแบบนี้ได้ครับ


AI Editor

หลังจากที่ถ่ายภาพจาก AI Livephoto และเลือกรูปเรียบร้อยแล้ว ถ้ายังไม่พอใจก็สามารถนำมาแต่งต่อใน AI Editor ได้เลย


AI Clarity Enhancer

ฟีเจอร์นี้จะช่วยแปลงภาพที่เบลอหรือคุณภาพต่ำให้คมชัดยิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มความละเอียดและคุณภาพโดยรวม ช่วยให้ภาพดูชัดเจนเหมือนต้นฉบับ แม้จะมีการครอปตัดหรือขยายภาพแล้วก็ตาม


AI Unblur

ฟีเจอร์นี้จะเป็นการปรับภาพที่เบลอให้คมชัดขึ้นทั้งในเรื่องของรายละเอียด และสีสัน เหมาะกับการถ่ายภาพที่เคลื่อนไหว เช่น น้องแมวน้องหมาที่อยู่ไม่นิ่ง เป็นต้น


AI Reflection Remover

จะเป็นการลบเงาสะท้อนหรือแสงสะท้อนที่เกิดจากการถ่ายภาพผ่านกระจก หรือทำให้ภาพที่ได้มีความชัดใสไม่มีเงามากวน ไม่ต้องรีทัชเองให้เหนื่อย


AI ถ่ายพอร์ตเทรตกลางคืน

ถ่ายพอร์ตเทรตกลางคืนด้วยการใช้ Generated AI เพื่อเพิ่มความคมชัดของใบหน้า ลด noise ของภาพ และปรับโครงหน้าให้ชัดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่มีแสงน้อย ทำให้ถ่ายภาพบุคคลได้อย่างเป็นธรรมชาติ


ยางลบ AI 2.0

ฟีเจอร์ลบสิ่งไม่พึงประสงค์ในภาพถ่ายให้หายวับไปในพริบตา ไม่ว่าจะเป็น ผู้คนในฉากหลัง, เสาไฟ, ถังขยะ, ป้าย และอื่น ๆ ซึ่งฟีเจอร์นี้ถูกอัปเกรดให้มีการวิเคราะห์วัตถุได้แม่นยำมากขึ้น และเพิ่มความสามารถในการตรวจจับผู้คนในฉากหลัง และลบทิ้งทั้งหมดได้ในคราวเดียว ไม่ต้องมาไล่ลบทีละคนให้เสียเวลา


AI Clear Face

ในการถ่ายภาพแบบกลุ่มด้วยกล้องหน้า อาจมีบางคนที่หลุดโฟกัสทำให้ใบหน้าเบลอ ฟีเจอร์นี้จะช่วยตรวจจับใบหน้า และปรับให้ชัดเจนขึ้นทันที โดยไม่จำเป็นต้องไปรีทัชในภายหลัง


AI Best Face

ในกรณีที่ถ่ายรูปแล้วเผลอหลับตา ฟีเจอร์ AI Best Face จะมีการตรวจจับใบหน้า และปรับแต่งให้ลืมตาอัตโนมัติ


AI Summary

สรุปบทความหรือรายงานยาว ๆ ให้เหลือเพียงประเด็นสั้น ๆ ช่วยทำให้เข้าใจข้อมูลต่าง ๆ ได้โดยไม่พลาดรายละเอียดที่สำคัญ


AI Writer

ช่วยตรวจสอบการสะกดคำ ไวยากรณ์ และสามารถเขียน แก้ไข หรือปรับปรุงเนื้อหาสำหรับอีเมล, บทความ และรายงานได้ โดยฟีเจอร์นี้รองรับภาษาไทยอีกด้วย

 

สมาร์ตโฟนถ่ายภาพใต้น้ำหนึ่งเดียวในวงการ

อีกหนึ่งจุดขายของ OPPO Reno13 F 5G และ OPPO Reno13 5G ก็คือ โหมด ถ่ายภาพใต้น้ำ ด้วยคุณสมบัติในการกันน้ำและกันฝุ่นระดับ IP69 รองรับการถ่ายภาพใต้น้ำที่ความลึกสูงสุด 2 เมตร นานสูงสุด 30 นาที ทำให้สามารถถ่ายภาพหรือวิดีโอใต้น้ำได้ง่ายดาย ด้วยการใช้ปุ่มปรับระดับเสียงสำหรับการควบคุมกล้อง ซึ่งสามารถปรับโฟกัส, สี และคอนทราสต์ได้ตามต้องการ

 

สำหรับการเปิดใช้งานโหมดถ่ายภาพใต้น้ำ ให้เข้าไปที่ แอปกล้อง > เพิ่มเติม > ใต้น้ำ และเมื่อใช้งานถ่ายภาพใต้น้ำเสร็จแล้ว ให้เปิดฟังก์ชันระบายน้ำ ด้วยการกดปุ่ม Power ค้างไว้ 3 วินาที ลำโพงจะสั่นเพื่อไล่น้ำออกจากตัวเครื่อง

อย่างไรก็ดี โหมดถ่ายภาพใต้น้ำดังกล่าว แนะนำให้ใช้งานเฉพาะน้ำจืด ใส เช่น สระว่ายน้ำ เท่านั้น น้ำที่มีสิ่งสกปรก, ทราย หรือเศษวัสดุอื่น ๆ อาจสร้างความเสียหายให้กับตัวเครื่องได้

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดใต้น้ำ



การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

ฟังก์ชั่นการถ่ายภาพของทั้งสองรุ่นจะคล้าย ๆ กัน โดยโหมดรูปถ่าย หรืออัตโนมัติ จะมีปุ่มลัดให้เลือกระยะซูมอย่างรวดเร็ว 3 ระดับ คือ 0.6x (กว้างพิเศษ), 1x (ปกติ) และ 2x สามารถเปิดใช้เอฟเฟกต์บิวตี้ (รีทัช) และ Master Filters ฟิลเตอร์พิเศษ โทนสีกล้องฟีล์มได้ ส่วนฟังก์ชั่น AI Livephoto สามารถเปิดได้ที่แถบเมนูลัดด้านบน โดย Reno13 5G จะพิเศษกว่าตรงที่เปิดเอฟเฟกต์แสงจำลองในโหมดนี้ได้ด้วย


โหมดรูปคน หรือพอร์ตเทรต จะมีให้เลือก 2 ระยะ คือ 1x และ 2x สามารถเปิดใช้เอฟเฟกต์บิวตี้ และ Master Filters ฟิลเตอร์พิเศษ โทนสีกล้องฟีล์มได้เช่นกัน ในโหมดนี้สามารถเปิดเอฟเฟกต์แสงจำลองได้ทั้งสองรุ่น


และยังมีโหมดการใช้งานอื่น ๆ อีก เช่น โหมดโปร, โหมดกลางคืน, โหมดมาโคร (เฉพาะ OPPO Reno13 F 5G) และอื่น ๆ สำหรับการถ่ายวิดีโอ OPPO Reno13 5G สามารถบันทึกวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K 60fps ได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง ส่วน OPPO Reno13 F 5G กล้องหลังสามารถบันทึกวิดีโอได้ที่ 4K 30fps ส่วนกล้องหน้าทำได้ที่ 1080p 30fps


ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ OPPO Reno13 F 5G


ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ OPPO Reno13 5G


ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ OPPO Reno13 F 5G




ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ OPPO Reno13 5G


ประสิทธิภาพ และการประมวลผล

OPPO Reno13 F 5G มาพร้อมชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 6 Gen 1 ซึ่งเป็นซีพียูแบบ Octa-Core Processor ที่ผลิตบนสถาปัตยกรรมขนาด 4 นาโนเมตร พร้อมหน่วยความจำ RAM ขนาด 12GB และ ROM ขนาด 256/512GB


ส่วน OPPO Reno13 5G มาพร้อมชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 8350 ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ AI, การเล่นเกม และการถ่ายภาพ ซึ่งชิปประมวลผลรุ่นนี้ มีประสิทธิภาพดีกว่ารุ่นก่อนหน้า 20% ส่วนหน่วยความจำ ROM มีขนาดอยู่ที่ 12GB และ ROM ขนาด 256/512GB


นอกจากนี้ OPPO Reno13 F 5G และ OPPO Reno13 5G ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ AI LinkBoost 2.0 ซึ่งเป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายที่ OPPO พัฒนาขึ้นเอง โดยจะช่วยให้สมาร์ตโฟนจับสัญญาณอินเทอร์เน็ต หรือเครือข่ายโทรศัพท์มือถือได้เร็วขึ้น เสถียรขึ้น แม้จะอยู่ในที่อับสัญญาณ

สำหรับผลการทดสอบ Benchmark บนแพล็ตฟอร์ม Geekbench 6 และ AuTuTu ได้ผลลัพธ์ดังนี้

 

OPPO Reno13 F 5G


OPPO Reno13 5G


ทดสอบประสิทธิภาพด้านการเล่นเกม

ด้านการเล่นเกม ทั้ง OPPO Reno13 F 5G และ OPPO Reno13 5G จะมีตัวช่วยสนับสนุนการเล่นเกมที่เรียกว่า AI HyperBoost ที่ได้รับการอัปเดตช่วยให้เฟรมเรตคงที่ จัดการทรัพยากรของตัวเครื่องขณะเล่นเกม หมดปัญหาเล่นเกมแล้วภาพกระตุก นอกจากนี้ ยังมีตัวเลือกสำหรับการตั้งค่าอื่น ๆ เช่น ล็อกความสว่างหน้าจอ หรือการแจ้งเตือน เป็นต้น

ขณะเล่นเกม เราสามารถเรียกเมนูของ HyperBoost ออกมาได้ด้วยการปัดที่มุมซ้ายของหน้าจอ ซึ่งจะมีเมนูทางลัดสำหรับใช้งานฟังก์ชันต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การจับภาพสกรีนช็อต, บันทึกวิดีโอการเล่น, ปรับความสว่างแบบด่วน และอื่น ๆ นอกจากนี้ ยังสามารถแสดงค่า FPS ในเกมแบบ Real-time ได้ด้วยเช่นกัน

 

ส่วนโหมดโปรแกรมเมอร์นั้น จะเป็นการเร่งการทำงานของตัวเครื่องให้สูงขึ้นได้ และเพิ่มอัตราเฟรมเรตให้สูงขึ้นได้อีกเล็กน้อย แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการใช้พลังงานแบตเตอรี่ที่มากขึ้น และตัวเครื่องร้อนขึ้น

 

ด้านการเล่นเกม ทั้งสองรุ่นมีประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกัน โดย OPPO Reno13 5G ที่ใช้ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 8350 จะมีประสิทธิภาพสูงกว่า เมื่อเทียบกับ OPPO Reno13 F 5G ที่ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 6 Gen 1

สำหรับการทดสอบเราได้เลือกใช้เกมสามัญประจำเครื่องอย่าง PUBG Mobile และเกมที่ค่อนข้างใหม่อย่าง Zenless Zen Zero

 

เริ่มกันที่ OPPO Reno13 F 5G รุ่นเริ่มต้น สำหรับเกม PUBG Mobile เราได้ตั้งค่ากราฟิกไว้ที่ระดับ Ultra HDR เปิดเฟรมเรทสูง ตัวเกมแสดงผลได้อย่างราบรื่นบนเฟรมเรตประมาณ 30 FPS และค่อนข้างเสถียร พร้อมทั้งตอบสนองต่อการควบคุมได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ แต่กราฟิกจะมีรอยหยักบริเวณขอบค่อนข้างชัดเจน โดยรวมถือว่าสอบผ่าน

 

ส่วนเกม Zenless Zone Zero ที่ต้องการพลังการประมวลผลกราฟิกระดับสูง OPPO Reno13 F 5G ก็สามารถเล่นได้เช่นกัน แม้จะเปิดกราฟิกระดับสูง และปลดล็อกเฟรมเรท 60 FPS ก็ยังสามารถเล่นได้ แถมยังมีเฟรมเรตที่เสถียรด้วย โดยนาน ๆ ที่จะมีจังหวะที่เฟรมเรตตกฮวบแต่ก็น้อยมาก ทำเอาทีมงานค่อนข้างเซอร์ไพรส์เลยทีเดียว แต่ทั้งนี้น่าจะขึ้นอยู่กับตัวเกมที่ปรับแต่งให้ทำงานเข้ากับชิปเซ็ต Snapdragon ได้เป็นอย่างดีด้วย

 

มากันที่รุ่น OPPO Reno13 5G รุ่นนี้ไม่สามารถเปิดกราฟิกระดับ Ultra HDR สำหรับเกม PUBG Mobile ได้ โดยปรับได้สูงสุดแค่ HDR HD ซึ่งอาจเป็นเพราะตัวเกมยังไม่รองรับชิปเซ็ตรุ่นใหม่ ส่วนเฟรมเรตสามารถเปิดได้ที่ระดับ Ultra ตัวเครื่องสามารถรันเกมได้อย่างราบรื่นที่เฟรมเรตประมาณ 45 FPS ลื่นไหลไม่มีปัญหา

 

ส่วนเกม Zenless Zone Zero ที่ปรับระดับกราฟิกไว้สูงสุดพร้อมกับเปิดเฟรมเรตสูง สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล ไม่มีจังหวะกระตุกแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ทั้ง OPPO Reno13 F 5G และ OPPO Reno13 5G ยังจัดการความร้อนระหว่างเล่นได้ดี โดยรวมแล้วทั้งสองรุ่นนี้สามารถเล่นเกมได้แบบสบาย ๆ ครับ


แบตเตอรี่ และระบบชาร์จไว SUPERVOOC

ระบบชาร์จไวถือว่าเป็นจุดขายของสมาร์ตโฟน OPPO อยู่แล้ว ซึ่งทั้ง OPPO Reno13 F 5G และ OPPO Reno13 5G รองรับระบบชาร์จไว SUPERVOOC พร้อมชุดชาร์จในกล่องผลิตภัณฑ์ โดยรายละเอียดแบตเตอรี่ของทั้ง 2 รุ่น เป็นดังนี้

- OPPO Reno13 F 5G : แบตเตอรี่ขนาด 5,800 mAh รองรับชาร์จไว 45W SUPERVOOC ซึ่งการชาร์จ 5 นาที สามารถเล่น YouTube ได้นาน 1.23 ชั่วโมง
- OPPO Reno13 5G : แบตเตอรี่ขนาด 5,600 mAh รองรับชาร์จไว 80W SUPERVOOC ใช้เวลาชาร์จจาก 0% จนเต็ม 100% ในเวลาประมาณ 47+ นาที


การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

ฟังก์ชั่นการถ่ายภาพของทั้งสองรุ่นจะคล้าย ๆ กัน โดยโหมดรูปถ่าย หรืออัตโนมัติ จะมีปุ่มลัดให้เลือกระยะซูมอย่างรวดเร็ว 3 ระดับ คือ 0.6x (กว้างพิเศษ), 1x (ปกติ) และ 2x สามารถเปิดใช้เอฟเฟกต์บิวตี้ (รีทัช) และ Master Filters ฟิลเตอร์พิเศษ โทนสีกล้องฟีล์มได้ ส่วนฟังก์ชั่น AI Livephoto สามารถเปิดได้ที่แถบเมนูลัดด้านบน โดย Reno13 5G จะพิเศษกว่าตรงที่เปิดเอฟเฟกต์แสงจำลองในโหมดนี้ได้ด้วย


โหมดรูปคน หรือพอร์ตเทรต จะมีให้เลือก 2 ระยะ คือ 1x และ 2x สามารถเปิดใช้เอฟเฟกต์บิวตี้ และ Master Filters ฟิลเตอร์พิเศษ โทนสีกล้องฟีล์มได้เช่นกัน ในโหมดนี้สามารถเปิดเอฟเฟกต์แสงจำลองได้ทั้งสองรุ่น


และยังมีโหมดการใช้งานอื่น ๆ อีก เช่น โหมดโปร, โหมดกลางคืน, โหมดมาโคร (เฉพาะ OPPO Reno13 F 5G) และอื่น ๆ สำหรับการถ่ายวิดีโอ OPPO Reno13 5G สามารถบันทึกวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K 60fps ได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง ส่วน OPPO Reno13 F 5G กล้องหลังสามารถบันทึกวิดีโอได้ที่ 4K 30fps ส่วนกล้องหน้าทำได้ที่ 1080p 30fps

 

ราคา และโปรโมชันของ OPPO Reno13 Series 5G 

สำหรับ OPPO Reno13 F 5G และ OPPO Reno13 5G ได้เริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว โดยมีราคา และโปรโมชันดังนี้

 

OPPO Reno13 F 5G

- รุ่น RAM 12GB+ROM 256GB ราคา 12,999 บาท
- รุ่น RAM 12GB+ROM 512GB ราคา 14,999 บาท

พร้อมโปรโมชันรับของสมนาคุณมูลค่ารวมสูงสุด 10,498 บาท ประกอบด้วย OPPO Care Plus, Premium Gift Box, Power Bank และ Old User Voucher

 

OPPO Reno13 5G

- รุ่น RAM 12GB+ROM 256GB ราคา 17,999 บาท
- รุ่น RAM 12GB+ROM 512GB ราคา 19,999 บาท

พร้อมโปรโมชันรับของสมนาคุณมูลค่ารวมสูงสุด 13,498 บาท ประกอบด้วย OPPO Care Plus, Premium Gift Box, Power Bank และ Old User Voucher

 

ท่านที่สนใจสามารถสั่งซื้อแบบออนไลน์ได้ที่ Lazada, Shopee และ TikTok Shop ตามลิงก์ด้านล่างนี้

สั่งซื้อ OPPO Reno13 F 5G

Lazada | Shopee | TikTok Shop 

สั่งซื้อ OPPO Reno13 5G

Lazada | Shopee | TikTok Shop 

 

สรุปประสบการณ์หลังใช้งาน OPPO Reno13 Series 5G

OPPO Reno13 F 5G และ OPPO Reno13 5G ถือเป็นสมาร์ตโฟนที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานในหลากหลายระดับ โดยทั้งสองรุ่นมีจุดเด่นในด้านประสิทธิภาพ, ดีไซน์ และความทนทานที่น่าสนใจ

สำหรับ OPPO Reno13 F 5G นั้นเป็นสมาร์ตโฟนระดับกลางที่มาพร้อมกับชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 6 Gen 1 ซึ่งแม้จะไม่ใช่ชิปเซ็ตรุ่นใหม่ล่าสุด แต่ก็รองรับการใช้งานทั่วไปได้อย่างลื่นไหล รวมถึงการเล่นเกมก็ทำได้ดีเกินคาด ซึ่งอาจเป็นเพราะตัวชิปเซ็ตได้เปิดตัวมาระยะหนึ่งแล้ว ทำให้เกมส่วนใหญ่มีการปรับแต่งมาให้ทำงานเข้ากับตัวชิปเซ็ตได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้หน้าจอ Rigid AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ที่มีความละเอียดระดับ Full HD+ และอัตราการรีเฟรช 120Hz ก็มีคุณภาพการแสดงผลที่ดีเยี่ยม โดยให้สีสันสดใส ความคมชัดสูง และการตอบสนองที่รวดเร็วเหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่การรับชมคอนเทนต์ต่าง ๆ

 

ด้านการถ่ายภาพ OPPO Reno13 F 5G มีจุดเด่นที่กล้องหลัง 3 ตัว โดยกล้องหลักมีความละเอียดอยู่ที่ 50MP พร้อมระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS ซึ่งช่วยได้มากในหลาย ๆ สถานการณ์โดยเฉพาะในสภาวะแสงน้อย นอกจากนี้ โหมดพอร์ตเทรตยังให้โทนผิวสวยงาม และดูสมจริง พร้อมทั้งลูกเล่นฟิลเตอร์ต่าง ๆ ให้ใช้งาน ทำให้การถ่ายภาพไม่จำเจ ส่วนกล้อง Ultra Wide ความละเอียด 8MP และกล้อง Macro ความละเอียด 2MP ก็ช่วยเพิ่มความหลากหลายในการถ่ายภาพได้อีกด้วย

นอกจากนี้ Reno13 F 5G ยังมีโหมดการถ่ายภาพใต้น้ำที่น่าสนใจ ช่วยเพิ่มมิติใหม่ให้กับการถ่ายภาพ แม้จะมีโอกาสใช้งานไม่บ่อยนัก แต่ก็เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้เราเก็บโมเมนต์ดี ๆ อย่างตอนไปเที่ยวสวนน้ำ หรือน้ำตกได้ โดยที่สมาร์ตโฟนรุ่นอื่นทำไม่ได้ อย่างไรก็ตาม น้ำทะเลยังคงเสี่ยงเกินไปสำหรับ OPPO Reno13 F 5G จึงแนะนำให้ใช้ฟีเจอร์นี้เฉพาะในน้ำจืดเท่านั้น

ในเรื่องของความทนทาน OPPO Reno13 F 5G รองรับมาตรฐานกันน้ำ และฝุ่นระดับ IP69 ซึ่งสูงมากสำหรับสมาร์ตโฟนระดับกลางในปัจจุบัน จึงทนไม้ทนมือ ลุยแค่ไหนก็ไม่พังง่าย ๆ แน่นอน นอกจากนี้ยังมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5800mAh ที่รองรับการชาร์จเร็วแบบ 45W SUPERVOOC จึงเหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการความอึด และการใช้งานได้ยาวนานโดยไม่ต้องชาร์จบ่อย ๆ

 

ต่อมาในฝั่งของ OPPO Reno13 5G นั้น มีคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกับ Reno13 F 5G และให้ประสบการณ์การใช้งานที่คล้ายกัน แต่จะยกระดับขึ้นไปอีกขั้นด้วยการใช้ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 8350 ซึ่งใหม่กว่า และมีประสิทธิภาพสูงกว่า ทำให้รองรับการใช้งานหนัก และการเล่นเกมที่ต้องการพลังประมวลผลได้ดีขึ้น

กล้องของ OPPO Reno13 5G ก็คล้ายกับกล้องของ Reno13 F 5G เช่นกัน แต่จะมีการนำกล้อง Monochrome มาแทนที่กล้อง Macro ทำให้สีสัน และคอนทราสต์ของภาพถ่ายดีขึ้น อีกทั้งยังมีการประมวลผลภาพที่รวดเร็วกว่า โดยเฉพาะในการวัดแสง และการประมวลผล HDR ซึ่งช่วยให้ภาพถ่ายออกมาคมชัดและดูมีมิติมากยิ่งขึ้น

อีกหนึ่งจุดเด่นคือการรองรับเทคโนโลยีชาร์จไวแบบ 80W SUPERVOOC พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 5600mAh ที่ช่วยให้ชาร์จได้รวดเร็ว และใช้งานต่อเนื่องได้อย่างสบาย ไม่ว่าจะใช้งานหนัก หรือเบา ก็สามารถรองรับได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของทั้ง OPPO Reno13 F 5G และ OPPO Reno13 5G ที่ไม่พูดถึงไม่ได้นั่นคือฟีเจอร์ AI ที่มีมาให้แบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็น AI ช่วยเขียน, สรุปความ, ถอดเทป, ซ่อมภาพ ไปจนถึงช่วยเพิ่มความแรงของสัญญาณอย่าง AI LinkBoost 2.0 ซึ่งทั้งหมดนี้หากใช้ให้เป็นจะช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้นมาก ๆ แถมไม่ต้องลงทุนซื้อสมาร์ตโฟนพรีเมียมเครื่องละหลายหมื่นอีกด้วย

 

โดยรวมแล้ว ทั้ง OPPO Reno13 F 5G และ OPPO Reno13 5G เป็นสมาร์ตโฟนที่มีความแข็งแรงทนทานด้วยมาตรฐาน IP69 ดีไซน์สวยงาม และประสิทธิภาพที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานทุกระดับ แถมมีฟีเจอร์ AI มาให้ใช้งานแบบครบครันในราคาที่เข้าถึงง่าย สำหรับ OPPO Reno13 F 5G เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาสมาร์ตโฟนระดับกลางที่ครบเครื่องและคุ้มค่า ในขณะที่ OPPO Reno13 5G เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ตโฟนระดับสูงขึ้นที่ให้ประสิทธิภาพการใช้งานรอบด้าน และฟีเจอร์ล้ำสมัยในราคาที่จับต้องได้ครับ


สรุปคุณสมบัติเด่นของ OPPO Reno13 F 5G

- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นตามมาตรฐาน IP69 ถ่ายภาพ/วิดีโอใต้น้ำลึก 2 เมตร ได้นานสูงสุด 30 นาที
- จอแสดงผล Rigid AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (1080x2400 พิกเซล)
- อัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุดที่ 120Hz
- อัตราการตอบสนองของระบบสัมผัส (Touch Sampling Rate) สูงสุดที่ 240Hz
- แสดงผลสี 100% DCI-P3
- ความสว่างสูงสุด 1,200 nits
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ
- ฟีเจอร์ Splash Touch สัมผัสสั่งงานบนหน้าจอได้ปกติแม้ในขณะที่หน้าจอเปียก

------------------------------

- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 6 Gen 1
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 710
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 12GB
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล (ROM) แบบ UFS 3.1 ขนาด 256GB / 512GB
- รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมแบบ microSD
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 15 พร้อมครอบทับด้วย ColorOS 15.0
- แบตเตอรี่ความจุ 5,800 mAh
- ระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 45W SUPERVOOC พร้อมอแดปเตอร์ และสายชาร์จในชุดจำหน่าย

------------------------------

กล้องหลักด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ประกอบด้วย

- กล้อง Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f1.8, ทางยาวโฟกัส 26 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 78°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, ทางยาวโฟกัส 16 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 112°), ระบบป้องกันการสั่นแบบ EIS และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 และมุมรับภาพ 89°

พร้อมรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K (30fps)

กล้องด้านหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล

พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2.74 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.8 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.4, ทางยาวโฟกัส 22 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 82°) และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์ และรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K (30fps)

------------------------------

- เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ Wi-Fi 5, 5G, 4G LTE, 3G WCDMA และ 2G GSM
- รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด (Dual Nano-SIM)
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.1 LE (SBC, AAC, Aptx, Aptx-HD, LDAC)
- ระบุตำแหน่ง และนำทางผ่านระบบดาวเทียม Beidou, GPS, GLONASS, Galileo และ QZSS
- พอร์ต USB Type-C

------------------------------

- ลำโพงเสียงแบบคู่ (สเตอริโอ)
- ฟีเจอร์ OPPO AI สารพัดตัวช่วยอัจฉริยะ ทั้งแต่งรูป จดบันทึก และบูสต์สัญญาณ

 

สรุปคุณสมบัติเด่นของ OPPO Reno13 5G

- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นตามมาตรฐาน IP69 ถ่ายภาพ/วิดีโอใต้น้ำลึก 2 เมตร ได้นานสูงสุด 30 นาที
- จอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.59 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (1256x2760 พิกเซล)
- อัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุดที่ 120Hz
- อัตราการตอบสนองของระบบสัมผัส (Touch Sampling Rate) สูงสุดที่ 240Hz
- แสดงผลสี 100% DCI-P3
- ความสว่างสูงสุด 1,200 nits
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ
- ฟีเจอร์ Splash Touch สัมผัสสั่งงานบนหน้าจอได้ปกติแม้ในขณะที่หน้าจอเปียก

------------------------------

- ชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Dimensity 8350
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ARM Turse G615
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5X ขนาด 12GB
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล (ROM) แบบ UFS 3.1 ขนาด 256GB / 512GB
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 15 พร้อมครอบทับด้วย ColorOS 15.0
- แบตเตอรี่ความจุ 5,600 mAh
- ระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 80W SUPERVOOC พร้อมอแดปเตอร์ และสายชาร์จในชุดจำหน่าย

------------------------------

กล้องหลักด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ประกอบด้วย

- กล้อง Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.95 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f1.8, ทางยาวโฟกัส 26 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 79°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, ทางยาวโฟกัส 15 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 116°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติ, ระบบป้องกันการสั่นแบบ EIS และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Monochrome ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 89° และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์

พร้อมรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K (30fps)

กล้องด้านหน้าความละเอียด 50 ล้านพิกเซล

พร้อมรูรับแสงขนาด f2.0, ทางยาวโฟกัส 21 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 90°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติ, โครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์ และรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K (30fps)

------------------------------

- เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ Wi-Fi 6, 5G, 4G LTE, 3G WCDMA และ 2G GSM
- รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด (Dual Nano-SIM)
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.4 LE (SBC, AAC, Aptx, Aptx-HD, LDAC, LHDC5.0)
- ระบุตำแหน่ง และนำทางผ่านระบบดาวเทียม Beidou, GPS, GLONASS, Galileo และ QZSS
- เซนเซอร์อินฟราเรด IR Blaster สามารถประยุกต์ใช้กับแอปพลิเคชันเฉพาะเพื่อใช้งานเป็นรีโมตเครื่องใช้ไฟฟ้าได้
- พอร์ต USB Type-C

------------------------------

- ลำโพงเสียงแบบคู่ (สเตอริโอ)
- ฟีเจอร์ OPPO AI สารพัดตัวช่วยอัจฉริยะ ทั้งแต่งรูป จดบันทึก และบูสต์สัญญาณ

 

คำชี้แจ้งเกี่ยวกับการติดตั้งแอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟน OPPO และความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้ (ที่มา : OPPO)

1. การติดตั้งแอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟน OPPO ที่วางจำหน่าย

- ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2568 ผู้ใช้งานทยอยได้รับการอัปเดตระบบเวอร์ชันใหม่ผ่าน OTA ซึ่งจะไม่มีแอปพลิเคชัน Fineasy และแอปพลิเคชันสินเชื่อความสุขรวมอยู่ด้วย โดยรุ่นที่ได้รับการดำเนินการอัปเดต OTA แล้ว ได้แก่ Find X8 Series, Reno13 Series, Reno12 Series และ A3 Series โดยสมาร์ตโฟนรุ่นอื่น ๆ ที่เหลือกำลังทยอยอัปเดตให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 27 มกราคม 2568

- สมาร์ตโฟน OPPO ที่วางจำหน่ายในปัจจุบันไม่ได้มีการติดตั้งแอปพลิเคชันสินเชื่อความสุข และแอปพลิเคชัน Fineasy แต่อย่างใด

- นอกจากนี้ OPPO จะเสริมสร้างการกำกับดูแลแอปพลิเคชันจากบุคคลที่สาม โดยไม่ติดตั้งแอปล่วงหน้าที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อ และแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อจะไม่ปรากฏใน OPPO App Market อีกต่อไป ยกเว้นแอปสินเชื่อของธนาคารที่จดทะเบียนถูกต้องกับธนาคารแห่งประเทศไทย เช่นแอปพลิเคชันของธนาคารต่าง ๆ

 

2. OPPO ให้ความเคารพ และปกป้องความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้เสมอ

- ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก OPPO ปฏิบัติตามกฎหมาย และข้อบังคับของแต่ละประเทศที่เกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยของข้อมูลอย่างเคร่งครัด และยึดมั่นในเรื่องของ "ความถูกต้องตามกฏหมาย Legality, ความชอบธรรม Legitimacy และ Minimization" เราให้ความเคารพต่อการตัดสินใจของผู้ใช้งาน และจะไม่เก็บรวบรวม หรือแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลใด ๆ รวมถึงจะไม่ขอสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลที่อ่อนไหวโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้อย่างเด็ดขาด

- เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวของข้อมูลระดับโลก รวมถึงพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ของประเทศไทย OPPO ได้จัดตั้งระบบการปกป้องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลภายในองค์กรอย่างครอบคลุม โดย OPPO มั่นใจในความสอดคล้องกับกฏหมายผ่านมาตรฐานต่าง ๆ เช่น การควบคุมในด้านองค์กร และเทคนิคการฝึกอบรมพนักงาน และการตรวจสอบประสิทธิภาพ

- เพื่อประเมินความมีประสิทธิผลของระบบการปฏิบัติตามกฎหมาย OPPO ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางด้านความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล เช่น ISO 27001, ISO 27701, PCI DSS, CSA และ TrustArc ในขณะเดียวกัน OPPO ยังคงปฏิบัิติตามกฎหมาย และระเบียบข้อบังคับระดับโลก, แนวทางจากภาครัฐ และความคาดหวังของผู้ใช้ในแต่ละประเทศ รวมถึงประเทศไทย พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใช้งาน และการกำกับดูแลจากภาครัฐ

- เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับเราในฐานะผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม สำหรับอนาคตเรามุ่งมั่นเสริมสร้างการบริหารจัดการแอปพลิเคชันจากบุคคลที่สาม โดยปรับปรุงระบบการประเมินคุณสมบัติสำหรับการนำเข้า และการบริหารจัดการแอปพลิเคชัน และปฏิเสธการร่วมมือกับบริษัทที่ไม่ได้มาตรฐาน และไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด

- ในอนาคต OPPO จะยังคงเสริมสร้างความร่วมมือกับองค์กรชั้นนำด้านความปลอดภัยในอุตสาหกรรม เพื่อร่วมกันพัฒนามาตรการทางเทคนิคให้ดีขึ้นในการลดความเสี่ยง และยกระดับการปกป้องความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง

 

วันที่ : 03/02/2025

Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy