รีวิว (Review) iPhone 11 Pro Max
ไอโฟนที่ทรงพลังที่สุดแห่งยุค พร้อมครั้งแรกของ 3 กล้องระดับโปร และจอที่ดีที่สุดในวงการ บนดีไซน์ใหม่หมดจด ด้วยชิปเซ็ต A13 Bionic ที่เร็วแรงที่สุด, กล้อง Triple Camera ผสานกล้องหน้า TrueDepth, จอ OLED Super Retina XDR 6.5 นิ้ว ผสาน Face ID ที่เร็วขึ้น, ลำโพงคู่เสียงรอบทิศทาง, แบตเตอรี่ชาร์จเร็วสุดอึด และรองรับซิมคู่ บนตัวเครื่องสแตนเลสผสานกระจกสุดแกร่งที่กันน้ำได้ดีกว่าเดิม
23 มกราคม 2020 - เปิดตัวพร้อมวางจำหน่ายในประเทศไทยเรียบร้อยสำหรับ iPhone 11 Series สมาร์ทโฟนเรือธงตระกูลใหม่ล่าสุดจากทาง Apple ที่มาให้ได้เลือกกันถึง 3 รุ่น ได้แก่ iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ซึ่งในวันนี้ทางทีมงานก็ได้นำเอารุ่นท็อปสุดอย่าง iPhone 11 Pro Max มารีวิวให้ได้ชมกัน
iPhone 11 Pro Max มาพร้อมกับหน้าจอแบบใหม่ในชื่อ Super Retina XDA ขนาดใหญ่ 6.5 นิ้ว ที่ยอดเยี่ยมจนสถาบันทดสอบชื่อดังอย่าง DisplayMate ยกให้เป็นหน้าจอสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในชั่วโมงนี้ โดยมีจุดเด่นด้านค่าความสว่างของหน้าจอสูงสุด 1200 nits พร้อมค่า Contrast Ratio ระดับ 2,000,000:1 ซึ่งทาง Apple ระบุว่า เป็นหน้าจอที่สว่าง และคมชัดที่สุดเท่าที่เคยมีมาบนไอโฟนเลยทีเดียว โดยยังคงดีไซน์จอไร้ขอบ พร้อมรอยบาก (Notch) สำหรับกล้อง TrueDepth ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลที่อัปเกรดขึ้นจากรุ่นก่อน และเซนเซอร์ต่างๆ ที่ด้านบน
ส่วนที่ด้านหลังปรับโฉมใหม่หมดจดด้วยการครอบทับกระจกแบบด้าน และกล้องหลังที่อัปเกรดขึ้นเป็น 3 ตัว (Triple Camera) ในดีไซน์ไม่เหมือนใคร ซึ่งนับเป็นไอโฟนรุ่นแรกที่มีกล้องหลัง 3 ตัว โดยประกอบไปด้วย กล้องตัวหลักเลนส์ Wide Angle ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/1.8) พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Optical และ Focus Pixels 100%, กล้องตัวที่สองเลนส์ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.4) เก็บภาพมุมกว้างสุด 120 องศา และกล้องตัวที่สามเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.0) พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Optical รองรับการซูมแบบ 2x Optical Zoom และ 6x Digital Zoom รวมถึงรองรับโหมด Night สำหรับการถ่ายภาพในโหมดกลางคืนโดยเฉพาะ นอกจากนี้ตัวเครื่องยังป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นมาตรฐาน IP68 โดยสามารถกันน้ำระดับความลึกไม่เกิน 4 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที พร้อมตัวเลือกสีใหม่ที่พรีเมียมกว่าเดิมอย่างสีเขียว Midnight Green อีกด้วย
iPhone 11 Pro Max ไฮเอนด์ขั้นสุดด้วยชิปเซ็ต Apple A13 Bionic แบบ 6-แกน (Hexa-Core) บนสถาปัตยกรรมระดับ 7nm ที่เร็วขึ้นกว่ารุ่นก่อน 20% พร้อมประหยัดพลังงานมากขึ้น 40% และมีหน่วยประมวลผลแยกแบบ Octa-Core Neural Engine 3rd Gen รวมถึงรองรับเทคโนโลยี Core ML 3 ซึ่งทาง Apple ได้ระบุว่าเป็นชิปเซ็ตเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมาบนสมาร์ทโฟนเลยทีเดียว ด้านการประมวลผลกราฟิกก็ดีขึ้นด้วยหน่วยประมวลผลแบบ 4-แกน (Quad-Core Apple GPU) ที่เร็วขึ้น 20% พร้อมประหยัดพลังงานกว่าเดิม 40% จึงทำให้แบตเตอรี่ของ iPhone 11 Pro Max สามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า iPhone XS Max ราว 5 ชั่วโมงเลยทีเดียว และยังรองรับอะแดปเตอร์ชาร์จเร็ว 18W ที่มาในแพ็กเกจ ซึ่งรันอยู่บนระบบปฏิบัติการ iOS 13 เวอร์ชันล่าสุด
จากข้อมูลในข้างต้นก็กล่าวได้ว่า iPhone 11 Pro Max
มีจุดขายระดับไฮเอนด์ที่น่าสนใจอยู่หลายด้าน
ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์ตัวเครื่องระดับพรีเมียม
พร้อมฟีเจอร์ที่อัปเกรดขึ้นแบบครบครัน ทั้งการใช้งาน
และการถ่ายภาพด้วยกล้องถึง 3 ตัว กับราคาเริ่มต้นที่ 39,900 บาท
ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ดีไซน์ตัวเครื่องจะสวยงามขนาดไหน
และฟีเจอร์ที่มีอยู่จะตอบสนองต่อการใช้งานได้ดีเพียงใด ขอเชิญทุกท่านรับชมการรีวิว
iPhone 11 Pro Max พร้อมกันได้เลยค่ะ
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์
iPhone 11 Pro Max มาในแพ็กเกจสีดำสุดคลาสสิก
ภายในกล่องมีอุปกรณ์พื้นฐานมาให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น อะแดปเตอร์ 18W, สายเชื่อมต่อแบบ Lightning, หูฟัง EarPods แบบ Lightning, คู่มือการใช้งาน, สติกเกอร์โลโก้ Apple และเข็มสำหรับถอดถาดซิมการ์ด
iPhone 11 Pro Max มาพร้อมหน้าจอ OLED Super Retina XDR ไร้ขอบ ไร้ปุ่มโฮมแบบ All-Screen ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 1242x2688 พิกเซล (458 ppi) บนตัวเครื่องขนาด 158x77.8x8.1 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 226 กรัม
ที่ด้านบนหน้าจอตรงบริเวณรอยบาก (Notch) มีการติดตั้งกล้องอินฟราเรด, Flood Illuminator, Proximity Sensor, Ambient Light Sensor, ลำโพงสำหรับสนทนา, ไมโครโฟน, กล้องหน้าแบบ TrueDepth ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสง F/2.2 และ Dot Projector
รวมถึงรองรับลูกเล่นที่น่าสนใจอย่าง Animoji และ Memoji
เซ็นเซอร์ต่างๆ ตรงรอยบากนี้จะทำงานร่วมกับฟังก์ชัน Face ID เวอร์ชันใหม่ที่สามารถปลดล็อกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยการฉายจุดแสงจับโครงสร้างใบหน้า 30,000 จุด และสามารถปลดล็อกตัวเครื่องได้แม้ในที่แสงน้อย
iPhone 11 Pro Max ใช้ระบบการควบคุมแบบ Gesture Navigation ที่เป็นการลาก และปัดหน้าจอจากขอบด้านล่าง - ด้านบน เพื่อสั่งการ รวมถึงเข้าใช้งานเมนูต่างๆ
ที่ด้านบนของตัวเครื่องมีเพียงแถบเสารับสัญญาณ 1 เส้น
และที่ด้านล่างของตัวเครื่องมีการติดตั้งแถบเสา รับสัญญาณ, ไมโครโฟนสำหรับสนทนา, พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ Lightning และลำโพงเสียงตัวหลักแบบ Stereo ที่ทำงานร่วมกับลำโพงเสียงด้านบน
บริเวณด้านซ้ายของตัวเครื่องจะมีแถบเสารับ สัญญาณ 2 เส้น, ปุ่มสำหรับ เปิด-ปิด เสียง และปุ่มปรับระดับเสียง
ส่วนที่ด้านขวาของตัวเครื่องมีแถบเสารับสัญญาณ, ช่องสำหรับใส่ซิมการ์ดแบบ Nano SIM (ส่วนซิมการ์ดอีกอันแบบ eSIM ถูกฝังไว้ในตัวเครื่อง ไม่สามารถถอด-ใส่เองได้) และปุ่ม Power สำหรับล็อกหน้าจอ / เปิด-ปิด เครื่อง / เรียกใช้งาน Siri / เข้าใช้งานบริการ Apple Pay
iPhone 11 Pro Max มาในดีไซน์ใหม่ ครอบทับตัวเครื่องด้วยกระจกทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ส่วนกรอบผลิตจากวัสดุประเภทสแตนเลสสตีลที่มีความแข็งแรงทนทาน โดยตัวเครื่องที่ทีมงานนำมารีวิวให้ได้ชมกันเป็นสีใหม่อย่าง Midnight Green
สำหรับกล้องตัวหลักที่ด้านหลังอัปเกรดใหม่ยกชุด ทั้งหมด 3 ตัว (Triple Camera) แบ่งออกเป็น กล้องตัวหลักเลนส์ Wide Angle ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/1.8) พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Optical และ Focus Pixels 100%, กล้องตัวที่สองเลนส์ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.4) เก็บภาพมุมกว้างสุด 120 องศา และกล้องตัวที่สามเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.0) รองรับการซูมแบบ 2x Optical Zoom
เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ
iPhone 11 Pro Max ที่ทีมงานนำมารีวิวให้ทุกท่านได้รับชมกันในวันนี้เป็นรุ่น 64GB โดยมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 13 ซึ่งทางทีมงานก็ได้อัปเดตให้เป็น iOS 13.3 เวอร์ชันล่าสุดแล้ว เพื่อให้ใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน
iPhone 11 Pro Max มาพร้อมกับ Interface ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Apple โดยในเริ่มแรกมีการติดตั้งแอปพลิเคชันบางส่วนสำหรับใช้งานในเบื้องต้นไว้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็น การบันทึกเสียง, เข็มทิศ, การวัด และเครื่องคิดเลข
เมื่อปัดนิ้วจากทางมุมจอด้านขวาบน จะเป็นการเรียกใช้งานเมนู Control Center ซึ่งการเรียกใช้งานจากด้านบนนี้เป็นเฉพาะรุ่น iPhone X ขึ้นไป และสามารถปรับแต่งเมนูในส่วน Control Center เองได้ด้วย โดยเข้าไปตั้งค่าที่ Customize Controls ซึ่งจะมีฟังก์ชันลัดต่างๆ ให้เลือกใช้อย่างหลากหลาย
ด้านการแสดงผล iPhone 11 Pro Max รองรับฟีเจอร์ True Tone สำหรับปรับระดับแสงบนหน้าจอให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เพื่อถนอมสายตาของผู้ใช้ เช่น ถ้าหากอยู่ในที่กลางแจ้ง iPhone 11 Pro Max จะเร่งแสงหน้าจอให้สว่างมากขึ้น แต่ถ้าอยู่ในที่แสงน้อย หน้าจอจะลดแสงลง พร้อมทั้งปรับสีให้ออกเหลือง เพื่อทำให้สายตาไม่เมื่อยล้าจนเกินไป
รวมถึงการเปิด - ปิด โหมด Dark ที่จะเปลี่ยนให้พืนหลังกลายเป็นสีดำ
ตัวอย่างการใช้งานในโหมด Dark
และเมื่อปัดนิ้วลงมาจากทางด้านซ้ายบนของหน้าจอ จะเป็นการเปิดหน้าแสดงการแจ้งเตือน หรือ Notification
เมื่อปัดหน้าจอมาทางด้านซ้ายสุดจะเป็นหน้าของ Widget ต่างๆ ของ iPhone 11 Pro Max ที่ผู้ใช้สามารถกดปุ่ม Edit และเข้าไปปรับแต่ง Widget อื่นๆ ให้มาแสดงบนหน้าจอได้ตามที่ต้องการด้วยเช่นกัน
และในเมนูต่างๆ สามารถกดค้าง เพื่อดูฟังก์ชันอย่างละเอียดได้ จากฟังก์ชัน Haptic Touch
สามารถเข้าสู่หน้าจอ Multitasking ได้โดยการปัดนิ้วจากมุมล่างซ้ายไปตรงกลางหน้าจอ และสามารถบังคับปิดแอปพลิเคชัน (Force Close) ได้ด้วยการปัดหน้าของแอปพลิเคชันนั้นๆ ไปด้านบน
สามารถปรับค่าการแสดงผลต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น โหมด Light (ค่าเริ่มต้น) หรือโหมด Dark ที่จะเปลี่ยนพื้นหลังให้กลายเป็นสีดำ (เมนูลัดอยู่ในหน้า Control Center), ความสว่างอัตโนมัติ, True Tone รวมถึงฟังก์ชัน Night Shield สำหรับปรับความสว่างหน้าจอเพื่อให้สบายตาขณะใช้งานในเวลากลางคืน
ปรับขนาดของการแสดงผลตัวอักษรได้
รวมถึงมุมมองแบบ Standard กับ Zoomed
การเปลี่ยนภาพพื้นหลังหน้าจอสามารถทำได้โดยเข้า ไปที่เมนู Wallpaper โดยรูปแบบภาพพื้นหลังหน้าจอของ iPhone 11 Pro Max มีให้เลือกด้วยกัน 3 แบบ คือ Dynamic (ภาพเคลื่อนไหวตลอดเวลา), Stills (ภาพนิ่ง) และ Live (จะเคลื่อนไหวเมื่อกด) หรือเลือกภาพจากในอัลบั้มได้
ทางด้านผู้ช่วยอัจฉริยะของทาง Apple อย่าง Siri ก็สามารถตั้งค่าใช้งานได้ทันที โดยผู้ใช้สามารถเลือกเปิดฟังก์ชัน Hey Siri เพื่อบันทึกรูปแบบเสียง และเรียก Siri ผ่านคำสั่งเสียงได้ทันที
iPhone 11 Pro Max ใช้งานระบบรักษาความปลอดภัยด้วยการสแกนใบหน้าแบบ 3 มิติอย่าง Face ID ในเวอร์ชันอัปเกรดที่ชาญฉลาดมากขึ้น ซึ่งสามารถปลดล็อกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยการฉายจุดแสงจับโครงสร้างใบหน้า 30,000 จุด และสามารถปลดล็อกตัวเครื่องได้แม้ในที่แสงน้อย
ซึ่งผู้ใช้สามารถบันทึกใบหน้าได้เพียง 1 ใบหน้า ต่อ 1 เครื่อง เท่านั้น โดยระบบสแกนใบหน้าสามารถปลดล็อกตัวเครื่องได้แม้ไม่ได้อยู่ในมุมหน้าตรง และดวงตาของผู้ใช้ต้องมองที่หน้าจอด้วย ถ้าหากผู้ใช้หลับตาก็จะไม่สามารถปลดล็อกได้ นอกจากนี้ ด้วยความสามารถของชิปเซ็ตบวกกับ Face ID ทำให้ระบบสามารถเรียนรู้ใบหน้าของผู้ใช้ที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงได้ด้วย แม้ว่าผู้ใช้จะไว้หนวดไว้เครา หรือเปลี่ยนการตกแต่งใบหน้าอย่างไร ก็ยังสามารถปลดล็อกได้เช่นเคย
นอกจากการนำระบบสแกนใบหน้าไปใช้ในการรักษาความ ปลอดภัยของเครื่องแล้ว ยังรองรับการทำงานร่วมกับลูกเล่นที่น่าสนใจอย่าง Animoji รวมถึง Memoji สำหรับสร้างอิโมจิตัวการ์ตูนแบบ 3 มิติ ทั้งสัตว์ต่างๆ และการสร้าง Avatar ของคุณได้ตามที่ต้องการ โดยสามารถจับการเคลื่อนไหวตามใบหน้า ไปจนถึงลิ้นของผู้ใช้ได้ และแชร์ให้เพื่อนได้ง่ายๆ ผ่านทาง iMessages
สำหรับท่านที่ใช้งาน Apple Watch ด้วยก็สามารถเชื่อมต่อกับ iPhone 11 Pro Max ได้ผ่านทางแอปพลิเคชัน Watch และเริ่มใช้งานได้ทันที
iPhone 11 Pro Max เอาใจคนรักสุขภาพ และการออกกำลังกายด้วยแอปพลิเคชัน Health เพื่อตรวจสอบการออกกำลังได้ โดยตัวเครื่องจะมีการบันทึกไว้ว่า ในแต่ละวันผู้ใช้เดินไปกี่ก้าว, เป็นระยะทางเท่าใด ฯลฯ อีกทั้งยังมีเมนูอื่นๆ ให้เลือกใช้งานอย่างครบครัน
สำหรับผู้ใช้อุปกรณ์ iDevice สามารถโทรหากัน หรือวิดีโอคอลกันผ่านทางแอปพลิเคชัน FaceTime ได้ทันที ซึ่งเป็นบริการที่มีให้เฉพาะผู้ใช้ iDevice เท่านั้น
แอปพลิเคชันต่างๆ ที่ต้องการใช้งานก็มีให้ดาวน์โหลดกันใน App Store ไม่ว่าจะเป็นเกม, การถ่ายภาพ, การทำวิดีโอ หรือแอปพลิเคชันอรรถประโยชน์ต่างๆ
รวมถึงบริการใหม่ล่าสุดอย่าง Apple Arcade บริการเล่นเกมที่ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดเกมต่างๆ ในทุกประเภท ที่พัฒนาขึ้นเพื่อบริการนี้โดยเฉพาะ โดยจะไม่มีการโฆษณา หรือการซื้อในเกมเพิ่มเติม และยังสามารถเล่นได้ทั้งแบบออฟไลน์ หรือออนไลน์ นอกจากนี้ยังเล่นได้ทั้งบน iPhone, iPad, Mac และ Apple TV รวมถึงแชร์กับสมาชิกในครอบครัวได้สูงสุดถึง 6 คน โดยมีค่าบริการเดือนละ 99 บาทเท่านั้น
อีกหนึ่งศูนย์รวมความบันเทิงบน iPhone 11 Pro Max ก็คือ iTunes Store ที่รวบรวมทั้ง ภาพยนตร์, เพลง และอื่นๆ ในด้านความบันเทิงไว้อย่างครบครัน
นอกจากนี้ยังรองรับบริการ Apple Music สำหรับฟังเพลงออนไลน์แบบสตรีมมิ่งได้ไม่จำกัด เพียงเดือนละ 129 บาท และยังได้รับสิทธิพิเศษในการทดลองใช้งานฟรีถึง 3 เดือนอีกด้วย
iPhone 11 Pro Max มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 3969 mAh ที่สามารถใช้งานได้นานกว่า iPhone 11 Pro Max รุ่นก่อนประมาณ 5 ชั่วโมง พร้อมโหมดประหยัดพลังงาน (Low Power Mode) โดยเมื่อกดใช้สัญลักษณ์แบตเตอรี่จะกลายเป็นสีเหลือง
และตรวจสอบสถานะของแบตเตอรี่ได้ที่เมนู Battery โดยจะมีการแสดงพลังงานที่ใช้ไปในแต่ละแอปพลิเคชัน รวมถึงกราฟแสดงอัตราการลดลงของแบตเตอรี่ในระยะเวลา 24 ชั่วโมง หรือช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และฟังก์ชัน Battery Health สำหรับตรวจสอบสถานะความสมบูรณ์ของตัวแบตเตอรี่นั่นเอง นอกจากนี้ iPhone 11 Pro Max รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วด้วยอะแดปเตอร์ 18W จึงช่วยย่นระยะเวลาในการชาร์จให้เร็วยิ่งขึ้น
และรองรับฟังก์ชัน Do Not Disturb สำหรับปิดการแจ้งเตือนทั้งหมดแบบไม่มีการสั่นเตือน ยกเว้นการตั้งปลุกที่ผู้ใช้ตั้งค่าเอาไว้
รวมถึงฟังก์ชันที่ช่วยเหลือผู้ใช้ในเมนู Accessibility
ในส่วนของเว็บเบราว์เซอร์ก็ตอบสนองต่อการใช้งาน ได้ดี ไหลลื่น และสามารถแสดงเนื้อหาทั้งหมดได้อย่างถูกต้องครบถ้วน และเปิดได้หลายหน้าพร้อมกัน
iPhone 11 Pro Max ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Apple A13 Bionic แบบ 6 แกนประมวลผล (Hexa-Core) พร้อมเทคโนโลยี Neural Engine เวอร์ชันใหม่ ที่มีประสิทธิภาพการประมวลผลเร็วขึ้น 15% และประหยัดพลังงานมากขึ้นถึง 50% เมื่อเทียบกับ A11 Bionic ชิปรุ่นก่อน และรองรับ GPU แบบ 4 แกนประมวลผล (Quad-Core GPU) ที่ประมวลผลด้านกราฟิกได้เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 50%
โดยทดสอบการประมวลผลด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ได้คะแนนอยู่ที่ 522,393 คะแนน
สำหรับการทดสอบด้านกราฟิกด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark ได้คะแนน 5,495 คะแนน
จากการทดสอบด้วยการเล่นเกมที่มีกราฟิกแบบสาม มิติอย่าง Marvel Future Fight, World of Dragon Nest และ Phantoms : Tang Dynasty ก็พบว่า iPhone 11 Pro Max พร้อมตั้งค่าการแสดงผลกราฟิกในระดับสูงสุด พบว่า iPhone 11 Pro Max สามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้อย่างไหลลื่น ไม่มีอาการหน่วง หรือกระตุกให้ได้เห็น แต่จะมีการสะสมความร้อนเมื่อเล่นเกมต่อเนื่องเป็นเวลานาน
และจากที่ iPhone 11 Pro Max มาพร้อมกับหน้าจอ OLED Super Retina XDR แบบ All-Screen ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 1242x2688 พิกเซล จึงสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p ได้อย่างคมชัดเต็มอรรถรส และให้มุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ
การใช้งานกล้องดิจิทัลสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ
iPhone 11 Pro Max มาพร้อมกับระบบกล้องหลัง 3
ตัว (Triple Camera) แบ่งออกเป็น
กล้องตัวหลักเลนส์ Wide Angle ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/1.8)
พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Optical และ Focus Pixels 100%
กล้องตัวที่สองเลนส์ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.4)
เก็บภาพมุมกว้างสุด 120 องศา
กล้องตัวที่สามเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.0)
พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Optical รองรับการซูมแบบ 2x Optical Zoom
โดยมี Interface หน้าตาเรียบง่ายสบายตา และสามารถดูเมนูแบบครบครันได้ เพียงกดที่ลูกศรบนด้านบน ได้แก่ ไฟแฟลช, Live Photo, สัดส่วนการถ่ายภาพ, การตั้งเวลาถ่ายภาพ และฟีลเตอร์ต่างๆ ให้ได้ใช้งานครบครัน ซึ่งรองรับการถ่ายภาพทั้งในมุมปกติ (1x), มุมกว้างแบบ Ultra-Wide (0.5x) และการซูมแบบ Optical ที่ 2 เท่า (2x)
iPhone 11 Pro Max เป็นรุ่นแรกของค่ายที่รองรับโหมดถ่ายภาพกลางคืนโดยเฉพาะอย่าง Night ซึ่งในโหมดนี้จะเป็นแบบอัตโนมัติ กล่าวคือเมื่อกล้องตรวจจับได้ว่าอยู่ในสภาวะที่มีแสงน้อย ก็จะเปิดใช้งานในทันที และผู้ใช้สามารถเลือกที่จะปิด หรือเปิดการใช้งานในได้ ซึ่งสามารถเพิ่มระยะเวลาในการเปิดหน้าเลนส์เพื่อ รับแสงให้มากขึ้น ซึ่งระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับแสง ณ ขณะนั้น (ยิ่งแสงน้อย ค่า Max จะมากขึ้น)
สำหรับโหมดการถ่ายภาพบุคคล หรือ Portrait สามารถปรับแสงแบบ 3 มิติ (Portrait Lighting) ได้ 6 รูปแบบ ได้แก่ Natural Light (Default), Studio Light, Contour Light, Stage Light, Stage Light Mono และ High-Key Light Mono
พร้อมฟังก์ชันการตั้งเวลาถ่ายภาพ และฟีลเตอร์ต่างๆ
รวมถึงการปรับระดับความเบลอได้ตั้งแต่ F/1.4 - F/16 ทั้งก่อน และหลังถ่ายภาพ โดยค่าเริ่มต้น (Default) ของระดับการเบลอจะอยู่ที่ F/4.5
ตัวอย่างการปรับแสงแบบ 3 มิติ และระดับความเบลอหลังการถ่ายภาพ
iPhone 11 Pro Max รองรับการถ่ายภาพในมุมกว้างแบบ PANO
การถ่ายวิดีโอบน iPhone 11 Pro Max สามารถบันทึกความละเอียดสูงสุดในโหมดปกติได้ที่ระดับ 4K UHD 60 fps โดยรองรับการบันทึกวิดีโอทั้งในมุมปกติ (1x), มุมกว้างแบบ Ultra-Wide (0.5x) และการซูมแบบ Optical ที่ 2 เท่า (2x) รวมถึงรองรับการซูมภาพแบบ Digital Zoom ที่ 6 เท่า พร้อมกับระบบเสียงแบบ Stereo
iPhone 11 Pro Max รองรับฟังก์ชัน SLO-MO ความละเอียดสูงสุดที่ Full HD 1080p 240 fps โดยรองรับการบันทึกวิดีโอทั้งในมุมปกติ (1x), มุมกว้างแบบ Ultra-Wide (0.5x) และการซูมแบบ Optical ที่ 2 เท่า (2x) รวมถึงรองรับการซูมภาพแบบ Digital Zoom ที่ 6 เท่า ด้วยเช่นกัน
ส่วนฟังก์ชัน TIME-LAPSE รองรับการบันทึกวิดีโอทั้งในมุมปกติ (1x), มุมกว้างแบบ Ultra-Wide (0.5x) และการซูมแบบ Optical ที่ 2 เท่า (2x)
ทางด้านกล้องหน้าของ iPhone 11 Pro Max เป็นแบบ TrueDepth ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.2) ดยมีหน้าตา Interface ที่สามารถใช้งานได้ง่ายเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ไฟแฟลช, Live Photo, สัดส่วนการถ่ายภาพ, การตั้งเวลาถ่ายภาพ และฟีลเตอร์ต่างๆ ให้ได้ใช้งานครบครัน (รองรับการถ่ายภาพเซลฟี่แบบมุมกว้างด้วยการกด ปุ่มลูกศรที่ด้านล่างหน้าจอ)
iPhone 11 Pro Max มีความสามารถในการตรวจจับระยะลึกตื้น จึงสามารถถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ หรือ Portrait ได้ด้วยกล้องหน้า และสามารถปรับแสงแบบ 3 มิติ (Portrait Lighting) ได้ 5 รูปแบบ ได้แก่ Natural Light (Default), Studio Light, Contour Light, Stage Light, Stage Light Mono และ High-Key Light Mono
พร้อมฟังก์ชันการตั้งเวลาถ่ายภาพ และฟีลเตอร์ต่างๆ
รวมถึงการปรับระดับความเบลอได้ตั้งแต่ F/1.4 - F/16 ทั้งก่อน และหลังถ่ายภาพ ซึ่งจะมีค่าเริ่มต้น (Default) ที่ F/4.5 เหมือนกับกล้องหลัง
ตัวอย่างการปรับแสงแบบ 3 มิติ และระดับความเบลอหลังการถ่ายภาพ
การบันทึกวิดีโอด้วยกล้องหน้าของ iPhone 11 Pro Max รองรับความละเอียดสูงสุดที่ 4K UHD 60 fps
และรองรับฟังก์ชัน SLO-MO ความละเอียดสูงสุดที่ Full HD 1080p 120 fps รวมถึงฟังก์ชัน TIME-LAPSE
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 3 ตัว
(Triple Camera) ความละเอียดระดับ 12 ล้านพิกเซล ของ iPhone 11 Pro Max
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายมุมกว้างแบบ Ultra Wide-Angle
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายมุมกว้างแบบ Ultra Wide-Angle
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายมุมกว้างแบบ Ultra Wide-Angle
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait พร้อม Portrait Lighting แบบ Natural Light (F/10)
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait พร้อม Portrait Lighting แบบ Natural Light (F/2.2)
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait พร้อม Portrait Lighting แบบ Natural Light (F/4.5)
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait พร้อม Portrait Lighting แบบ Studio Light (F/4.5)
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait พร้อม Portrait Lighting แบบ Contour Light (F/4.5)
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait พร้อม Portrait Lighting แบบ Stage Light (F/4.5)
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait พร้อม Portrait Lighting แบบ Stage Light Mono (F/4.5)
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait พร้อม Portrait Lighting แบบ High-Key Light Mono (F/4.5)
ภาพถ่ายในที่แสงน้อยจากโหมด Night
ภาพถ่ายในที่แสงน้อยจากโหมด Night มุมกว้างแบบ Ultra Wide-Angle
ภาพถ่ายในที่แสงน้อยจากโหมด Night
ภาพถ่ายในที่แสงน้อยจากโหมด Night มุมกว้างแบบ Ultra Wide-Angle
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าแบบ TrueDepth ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลของ
iPhone 11 Pro Max
ภาพถ่ายเซลฟี่จากโหมดปกติ
ภาพถ่ายเซลฟี่จากโหมดปกติแบบมุมกว้าง
ภาพถ่ายเซลฟี่จากโหมด Portrait พร้อม Portrait Lighting แบบ Natural Light (F/8)
ภาพถ่ายเซลฟี่จากโหมด Portrait พร้อม Portrait Lighting แบบ Natural Light (F/2.2)
ภาพถ่ายเซลฟี่จากโหมด Portrait พร้อม Portrait Lighting แบบ Natural Light (F/4.5)
ภาพถ่ายเซลฟี่จากโหมด Portrait พร้อม Portrait Lighting แบบ Studio Light (F/4.5)
ภาพถ่ายเซลฟี่จากโหมด Portrait พร้อม Portrait Lighting แบบ Contour Light (F/4.5)
ภาพถ่ายเซลฟี่จากโหมด Portrait พร้อม Portrait Lighting แบบ Stage Light (F/4.5)
ภาพถ่ายเซลฟี่จากโหมด Portrait พร้อม Portrait Lighting แบบ Stage Light Mono (F/4.5)
ภาพถ่ายเซลฟี่จากโหมด Portrait พร้อม Portrait Lighting แบบ High-Key Light Mono (F/4.5)
สรุปผลการทดสอบของ iPhone 11 Pro Max
จากการทดสอบทั้งหมดในข้างต้นพอจะกล่าวได้ว่า iPhone 11 Pro Max เป็นอีกหนึ่งเรือธงที่มีความน่าสนใจ ด้วยการอัปเกรดหน้าจอเป็นแบบ OLED Super Retina XDR ไร้ขอบ ไร้ปุ่มโฮมแบบ All-Screen ขนาดใหญ่ 6.5 นิ้ว ที่มีจุดเด่นเป็นความสว่างสูงสุด 1200 nits พร้อมค่า Contrast Ratio ระดับ 2,000,000:1 ซึ่งทาง Apple ระบุว่า เป็นหน้าจอที่สว่าง และคมชัดที่สุดเท่าที่เคยมีมาบนไอโฟนเลยทีเดียว จนสถาบัน DisplayMate ให้คะแนนในระดับ A+ และยกให้เป็นหน้าจอสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในขณะนี้ โดยคมชัดระดับ 1242x2688 พิกเซล (458 ppi) จึงรองรับการเล่นไฟล์คมชัด Full HD 1080p ได้อย่างคมชัด และให้มุมมองกว้างเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังรองรับการรับชมคอนเทนต์แบบ Dolby Vision และ HDR10 อีกด้วย
รวมถึงตัวเครื่องกระจกผสานกับกรอบสแตนเลสสตีลที่ มีความแข็งแรงทนทาน พร้อมตัวเลือกสีใหม่อย่างสีเขียว Midnight Green และมีคุณสมบัติการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 ที่ ดีขึ้นกว่าเดิม โดยทาง Apple ระบุว่าสามารถกันน้ำได้ดีกว่าเดิมที่ระดับความลึกสูงสุด 4 เมตร ในเวลาต่อเนื่องกันไม่เกิน 30 นาที อีกทั้งทาง Apple ยังเคลมไว้ว่าไม่ได้ป้องกันเพียงแค่น้ำสะอาดเท่านั้น แต่ยังสามารถกันน้ำชา และเบียร์ได้อีกด้วย
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่บน iPhone 11 Pro Max ก็คือการอัปเกรดมาใช้งานกล้องตัวหลักทั้งหมด 3 ตัว (Triple Camera) ในดีไซน์ใหม่หมดจด ประกอบไปด้วย กล้องตัวหลักเลนส์ Wide Angle ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/1.8) พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Optical และ Focus Pixels 100%, กล้องตัวที่สองเลนส์ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.4) เก็บภาพมุมกว้างสุด 120 องศา และกล้องตัวที่สามเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.0) รองรับการซูมแบบ 2x Optical Zoom และสูงสุดที่ 6x Digital Zoom รวมถึงรองรับโหมด Night สำหรับการถ่ายภาพในโหมดกลางคืนโดยเฉพาะ
สำหรับฟังก์ชันการถ่ายภาพด้านอื่นๆ ก็มีให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Portrait ที่ตัดขอบตัวแบบได้ดียิ่งขึ้น พร้อมฟีเจอร์การจัดแสงแบบ 3 มิติ (Portrait Lighting) ให้เลือกใช้ถึง 6 รูปแบบ, ฟีเจอร์ Smart HDR และรองรับการถ่ายวิดีโอคมชัดสูงสุดที่ระดับ 4K UHD 60 fps พร้อมระบบเสียงแบบ Stereo อีกทั้งยังมีฟังก์ชัน Slo-Mo สูงสุดที่ระดับ Full HD 240 fps รวมถึงระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS (Optical Image Stabilization) สำหรับการถ่ายภาพวิดีโอ
ทางด้านกล้องหน้าที่อยู่บริเวณรอยบากบนหน้าจอ TrueDepth คมชัดมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนที่ 12 ล้านพิกเซล (F/2.2) รองรับ Face ID ระบบรักษาความปลอดภัยด้วยการสแกนใบหน้าแบบ 3 มิติเวอร์ชันใหม่ ที่สามารถปลดล็อกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยการฉายจุดแสงจับโครงสร้างใบหน้ากว่า 30,000 จุด และสามารถปลดล็อกตัวเครื่องได้แม้ในที่แสงน้อย พร้อมกับฟังก์ชัน Animoji และ Memoji สำหรับทำภาพอีโมจิให้แสดงอารมณ์ และลักษณะการเคลื่อนไหวบนใบหน้าแบบเดียวกับผู้ใช้ ซึ่งรองรับโหมด Portrait กับการจัดแสงแบบ 3 มิติ (Portrait Lighting) ทั้งหมด 6 รูปแบบเหมือนกล้องหลัง และการถ่ายวิดีโอคมชัดสูงสุดที่ระดับ 4K UHD 60 fps รวมถึงฟีเจอร์ Slo-Mo ระดับ Full HD 120 fps
ด้านสเปก iPhone 11 Pro Max มากับชิปเซ็ต Apple A13 Bionic แบบ 6-แกน (Hexa-Core) บนสถาปัตยกรรมระดับ 7nm พร้อมปรับโครงสร้าง CPU รวมถึง CPU ใหม่ ที่เร็วขึ้นกว่ารุ่นก่อน 20% ซึ่งทาง Apple ได้นำไปเปรียบเทียบกับชิปรุ่นท็อปบนท้องตลาดอย่าง Snapdragon 855, Kirin 980 หรือแม้แต่ชิปรุ่นเก่าของตนเองอย่าง A12 Bionic ก็พบว่า A13 Bionic แรงกว่าทุกด้าน โดยทาง Apple เคลมว่า A13 Bionic เป็นชิปเซ็ตเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมาบนสมาร์ทโฟนเลยทีเดียว ทางด้านการประมวลผลกราฟิกเป็นแบบ 4-แกน (Quad-Core Apple GPU) ที่เร็วขึ้น 20% พร้อมประหยัดพลังงานกว่าเดิม 40% จึงทำให้ iPhone 11 Pro Max สามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า iPhone XS Max ราว 5 ชั่วโมงเลยทีเดียว และยังมีอะแดปเตอร์ชาร์จเร็ว 18W มาพร้อมในแพ็กเกจมาตรฐาน ซึ่งช่วยย่นระยะเวลาในการชาร์จอีกด้วย
โดยทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ iOS 13 ที่มาพร้อม Dark Mode สำหรับเปลี่ยนพื้นหลังหน้าจอให้กลายเป็นสีดำนอกจากนี้ยังมาพร้อมบริการใหม่ล่า สุดอย่าง Apple Arcade บริการเล่นเกมที่ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดเกมต่างๆ ในทุกประเภท ที่พัฒนาขึ้นเพื่อบริการนี้โดยเฉพาะ โดยจะไม่มีการโฆษณา หรือการซื้อในเกมเพิ่มเติม และยังสามารถเล่นได้ทั้งแบบออฟไลน์ หรือออนไลน์ นอกจากนี้ยังเล่นได้ทั้งบน iPhone, iPad, Mac และ Apple TV รวมถึงแชร์กับสมาชิกในครอบครัวได้สูงสุดถึง 6 คน โดยมีค่าบริการเดือนละ 99 บาทเท่านั้น
และจากการทดสอบทั้งหมดพอจะสรุปได้ว่า iPhone 11 Pro Max เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนไฮเอนด์ พร้อมการดีไซน์ระดับพรีเมียมด้วยจอไร้ขอบอัตราส่วนใหม่ที่ช่วยให้ใช้งานในด้านต่างๆ ได้เต็มตามากขึ้น พลังของการประมวลผลที่เร็วแรงที่สุด และมีคุณสมบัติภายในระดับท็อปแบบจัดเต็ม เพื่อตอบโจทย์การใช้งานได้ในระดับสูงสุดทุกด้าน รวมถึงกล้องถ่ายภาพระดับโปร ที่มาพร้อมฟังก์ชันที่ครบครันมากขึ้น แต่อย่างไรก็ดี ผู้ใช้ต้องมีงบประมาณมากพอสมควร ด้วยราคาเริ่มต้นที่สูงถึง 39,900 บาท สำหรับรุ่นความจุ 64GB
iPhone 11 Pro Max มาพร้อมกับตัวเลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีทอง (Gold), สีเทา (Space Gray), สีเงิน (Silver) และสีเขียว (Midnight Green) โดยวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ว แบ่งออกเป็น 3 รุ่นความจุ ดังนี้
- รุ่นความจุ 64GB ราคา 39,900 บาท
- รุ่นความจุ 256GB ราคา 45,900 บาท
- รุ่นความจุ 512GB ราคา 52,900 บาท
สำหรับ iPhone 11 Pro Max ราคาพิเศษก็มีวางจำหน่ายผ่านทางผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือทั้ง 3 ค่าย และตัวแทนจำหน่ายชั้นนำ ท่านใดที่สนใจก็สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการทุกสาขาใกล้ บ้าน สำหรับวันนี้ทีมงาน Thaimobilecenter ต้องขอลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่ในรีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นต่อไป สวัสดีค่ะ
จุดเด่นของ iPhone 11 Pro Max
- เทคโนโลยีการผลิตตัวเครื่องแบบ Metal-Glass (กรอบตัวเครื่องสเตนเลสสตีล
เกรดเดียวกับที่ใช้ผลิตเครื่องมือศัลยกรรม ผสานกับกระจกที่ด้านหน้า
และด้านหลังของตัวเครื่อง)
- มีตัวเลือก 4 สีมาตรฐาน ได้แก่ สีทอง (Gold), สีเทา (Space Gray), สีเงิน
(Silver) และสีเขียว (Midnight Green)
- คุณสมบัติการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
(รองรับการจมอยู่ใต้น้ำที่ระดับความลึก 4 เมตร ต่อเนื่องเป็นเวลาสูงสุด 30
นาที)
- จอแสดงผลแบบ OLED Super Retina XDA ดีไซน์ไร้ขอบแบบ All-Screen ขนาด 6.5 นิ้ว
ความละเอียด 2688x1242 พิกเซล (458 ppi) รองรับเทคโนโลยี HDR
มีค่าความสว่างสูงสุด 1200 nits และ ค่าความเปรียบต่าง (Contrast Ratio)
2,000,000:1 พร้อมฟีเจอร์ Haptic Touch, ฟังก์ชัน TrueTone และ Dark Mode
ในการเปลี่ยนพื้นหลังให้กลายเป็นสีดำ
- ชิปเซ็ตประมวลผล Hexa-Core 64-bit Apple A13 Bionic
บนสถาปัตยกรรมการผลิตระดับ 7 นาโนเมตร พร้อม Octa-Core Neural Engine 3rd Gen, เทคโนโลยี Core ML 3 และชิป U1
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Quad-Core Apple GPU
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นความจุ ได้แก่ 64GB, 256GB และ 512GB
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ iOS 13
กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ประกอบด้วย
- กล้องตัวหลักเลนส์ Wide Angle ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/1.8)
พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Optical (OIS) และ Focus Pixels 100%
- กล้องตัวที่สองเลนส์ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.4)
เก็บภาพมุมกว้างสุด 120 องศา
- กล้องตัวที่สามเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.0)
พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Optical (OIS) รองรับการซูมแบบ 2x Optical Zoom และ
6x Digital Zoom
รองรับโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอแบบ Portrait และฟีเจอร์การจัดแสงแบบ 3 มิติ
(Portrait Lighting) ทั้งหมด 6 รูปแบบ, ฟีเจอร์ Smart HDR,
ระบบป้องกันการสั่นแบบ Dual-OIS (Dual Optical Image Stabilization), โหมด
Night สำหรับถ่ายภาพเวลากลางคืน และที่แสงน้อยโดยเฉพาะ
ซึ่งรองรับการถ่ายวิดีโอคมชัดสูงสุดที่ระดับ 4K UHD (2160p : 3840x2160
พิกเซล : 60 fps) และถ่ายวิดีโอแบบ Slo-Mo สูงสุดที่ระดับ Full HD (1080p :
1920x1080 พิกเซล : 240 fps) รวมถึงระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS (Optical Image
Stabilization) สำหรับการถ่ายภาพวิดีโอ
- กล้องดิจิทัลด้านหน้า TrueDepth ความละเอียดระดับ 12 ล้านพิกเซล มีรูรับแสง
F/2.2 พร้อมโหมดถ่ายภาพแบบ Portrait และการจัดแสงแบบ 3 มิติ (Portrait
Lighting) ทั้งหมด 6 รูปแบบ รวมถึงฟังก์ชัน Animoji และ Memoji
สำหรับทำภาพอีโมจิให้แสดงอารมณ์
และลักษณะการเคลื่อนไหวบนใบหน้าแบบเดียวกับผู้ใช้
รวมถึงรองรับการถ่ายวิดีโอคมชัดสูงสุดที่ระดับ 4K UHD (2160p : 3840x2160
พิกเซล : 60 fps) และฟีเจอร์ Slo-Mo ระดับ Full HD (1080p : 1080x1920 พิกเซล
: 120 fps)
- ระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face ID) ที่เร็วขึ้น 30%
- ลำโพงเสียงแบบคู่ (Stereo) พร้อมรองรับระบบเสียงรอบทิศทางแบบ Dolby Atmos
- รองรับการใช้งานระบบซิมคู่ (Nano-SIM + eSIM)
- รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 4G LTE Cat16 สูงสุด 30 ย่านความถี่, 3G, EDGE, GPRS
และ WiFi 6 แบบ Dual Band (2.4GHz + 5GHz) พร้อมเทคโนโลยี 2x 2MIMO
- รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0 และ NFC
- ระบบ GPS+A-GPS ในตัว พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS ของประเทศรัสเซีย,
Beidou ของประเทศจีน, QZSS ของประเทศญี่ปุ่น และ GALILEO ของสหภาพยุโรป
- แบตเตอรี่ 3969 mAh พร้อมระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง (ชาร์จได้ 50% ในเวลา 30 นาที ด้วยอะแดปเตอร์แบบ 18W) และรองรับเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ไร้สาย
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ
iPhone 11 Pro Max
- ยังคงมีรอยบากขนาดใหญ่อยู่ที่ด้านบนของหน้าจอ
- การเข้าถึงเมนูด้วยการปัดนิ้วจากมุมหน้าจอ ทั้งด้านซ้าย
และขวาอาจไม่สะดวกต่อการใช้งานมือเดียว
- ไม่มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Touch ID
เป็นระบบรักษาความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง
- ไม่รองรับการเพิ่มการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD Card หรือแบบอื่นๆ
- ไม่มีช่องเชื่อมต่อหูฟังแบบ 3.5 มิลลิเมตร
- ราคาวางจำหน่ายค่อนข้างสูงมาก
เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน
สรุปคุณสมบัติตัวเครื่อง
ท่านสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ iPhone 11 Pro Max ได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้
สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ iPhone 11 Pro Max 64GB
สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ iPhone 11 Pro Max 256GB
สรุปคุณสมบัติ (สเปก)
และราคา ของ iPhone 11 Pro Max 512GB
วันที่ : 23/01/2020