รีวิว Infinix XPAD แท็บเล็ตสุดคุ้มใส่ซิมได้ พร้อมผู้ช่วย AI เมมเยอะ 8+256GB ชิปแรง จอลื่น 90Hz ลำโพง 4 ตัว และกล้อง AI CAM บนบอดี้โลหะ ในราคาเพียง 5,999 บาท
หลายคนรอลุ้นกันอยู่ว่าแบรนด์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความคุ้มค่าอย่าง Infinix เมื่อไหร่จะตัดสินใจออกมาทำแท็บเล็ตป้อนสู่ตลาดบ้าง หลังจากสร้างชื่อด้วยสมาร์ตโฟนมานานหลายปี ในที่สุดตอนนี้ก็มีแท็บเล็ตรุ่นแรกของแบรนด์มาให้เราได้จับจองกันแล้ว นั่นคือ Infinix XPAD ซึ่งตัวจริงเสียงจริงก็มาอยู่ในมือของพวกเราทีมงาน Thaimobilecenter เป็นที่เรียบร้อย โดย Infinix XPAD นั้นก็ยังคงคอนเซ็ปต์เรื่องความคุ้มค่าอยู่เช่นเดิมตามเอกลักษณ์ของ Infinix ด้วยราคาเพียง 5,999 บาท ที่ใครก็เอื้อมถึง และมาพร้อมคุณสมบัติหลาย ๆ อย่างที่พร้อมตอบโจทย์ตั้งแต่ผู้ที่นำไปใช้งานพื้นฐาน, ผู้ที่ใช้งานด้านความบันเทิง หรือแม้กระทั่งเหล่าเกมเมอร์
ไม่ว่าจะเป็นการรองรับการใส่ซิมการ์ดในตัวเพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ต หรือโทรเข้า-โทรออก, หน่วยความจำที่ใส่มาให้เยอะเมื่อเทียบกับราคา ด้วย RAM 8GB+ROM 256GB, ชิปเซ็ตตระกูลเกมมิ่งอย่าง Helio G99 ที่มีประสิทธิภาพไว้ใจได้, จอขนาดใหญ่ 11 นิ้ว ที่ลื่นไหลในระดับ 90Hz, ลำโพงเสียง 4 ตัว พร้อมระบบเสียงแบบ DTS, กล้องถ่ายภาพที่รองรับการบันทึกวิดีโอแบบ 2K และมาพร้อมกับผู้ช่วย AI ส่วนตัวอย่าง Folax Voice Assistant ที่เราเรียกใช้งานได้ตลอดเวลา ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกใส่ไว้ภายในบอดี้โลหะแบบ Metal Unibody ที่บางเฉียบเรียบหรู ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ จะเป็นอย่างไร และจะใช้งานได้ดีแค่ไหน มาติดตามกันต่อได้เลยครับ
ดีไซน์แบบ Metal Unibody พร้อมลวดลายแบบ Starry อันเป็นเอกลักษณ์
ตัวเครื่องของ Infinix นั้นผลิตจากโลหะอะลูมิเนียมที่ผ่านกระบวนการขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกันแบบ Metal Unibody ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ด้านหลัง ไปจนถึงกรอบด้านข้างตัวเครื่องแบบไร้รอยต่อ ดังนั้นรูปลักษณ์โดยรวมจึงดูมีความพรีเมียม
นอกจากนี้ที่แถบด้านหลังยังเลือกใช้ลวดลายพิเศษแบบ Starry ซึ่งมีลักษณะเหมือนภาพดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ตัดกับมอดูลกล้องสีดำที่ดูคล้ายกับเป็นชุดกล้อง 3 ตัว แต่จริง ๆ แล้วจะมีกล้องแค่ 1 ตัวเท่านั้น
ด้านน้ำหนักตัวเครื่องนั้นจะอยู่ที่ 496 กรัม ซึ่งก็ถือว่าหนักอยู่สักหน่อย แต่ด้วยตัวเครื่องที่ค่อนข้างบางที่ 7.58 มิลลิเมตร โดยจึงสามารถพกพาได้คล่องตัว ไม่ดูเทอะทะแต่อย่างใด
ส่วนอุปกรณ์มาตรฐานที่มาพร้อมกับตัวเครื่องก็จะประกอบไปด้วยอะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่แบบ 18W, สาย USB-C, เข็มถอดถาดซิมการ์ด และฟิล์มกันรอยซึ่งติดตั้งมาให้เรียบร้อยแล้ว แต่ก็น่าเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้แถมเคสมาให้ด้วย
จอใหญ่เต็มตา 11 นิ้ว พร้อมความลื่นไหลระดับ 90Hz
จอแสดงผลของของ Infinix XPAD นั้นมีขนาดใหญ่กำลังดีที่ 11 นิ้ว โดยเป็นจอแบบ IPS In-Cell LCD ความละเอียดระดับ FHD+ (1920x1200 พิกเซล) พร้อมอัตราการรีเฟรชสูงสุดที่ 90Hz, อัตราการตอบสนองต่อระบบสัมผัส (Touch Sampling Rate) สูงสุดที่ 180Hz และมีความสว่างสูงสุดที่ 440 nits ซึ่งถ้าหากเป็นการใช้งานภายในอาคาร การแสดงผลก็ถือว่ามีสีสันที่สดใสสวยงาม และมีความสว่างที่เพียงพอ แต่สำหรับการใช้งานในที่กลางแจ้ง ก็อาจจะสู้แสงได้ไม่ดีนัก
ด้วยขอบสีดำของหน้าจอที่ค่อนข้างหนา จึงทำให้อัตราส่วนของพื้นที่แสดงผลต่อตัวเครื่อง (Screen to Body Ratio) นั้นเหลืออยู่ที่ 83% โดยมีอัตราส่วนของการแสดงผลแบบ 16:10
นอกจากนี้ด้วยการรองรับมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลแบบ WIDEVINE L1+ จึงทำให้ Infinix XPAD นั้นรองรับการใช้บริการสตรีมมิงต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่
ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของ Infinix XPAD ก็ถือมีการติดตั้งฟิล์มกันรอยมาให้ตั้งแต่แกะกล่อง พร้อมใช้งานทันทีโดยที่เราไม่ต้องลำบากไปหาซื้อเพิ่ม เพียงแต่ฟิล์มกันรอยที่ติดตั้งมาให้นี้เท่าที่ใช้งานดูก็รู้สึกว่าเกิดคราบมัน หรือรอยนิ้วมือได้ง่ายไปสักนิด
ชิปเซ็ต Helio G99 ประสิทธิภาพสูง พร้อม RAM 8GB+ROM 256GB
แม้จะเปิดตัวมาแล้วเกือบ 3 ปี แต่ชิปเซ็ตเกมมิ่งรุ่นยอดนิยมอย่าง Helio G99 นั้นก็ยังคงตอบโจทย์การใช้งานได้ดีในปัจจุบัน และควบคุมต้นทุนได้ไม่ยาก ทาง Infinix จึงเลือกที่จะนำมาใส่ใน XPAD รุ่นนี้ ซึ่งด้วยการที่ชิปเซ็ต Helio G99 นั้นเกิดมาเป็นชิปเกมมิ่ง ก็แน่นอนว่าสามารถรองรับการเล่นเกมทุกประเภทได้เป็นอย่างดี แม้กระทั่งเกมที่กราฟิกระดับสูง รวมทั้งสามารถจัดการกับพลังงานได้ดี และมีโมเด็ม 4G LTE ในตัว
นอกจากนี้ Infinix XPAD ยังมาพร้อมกับหน่วยความจำขนาดใหญ่กว่าแท็บเล็ตหลาย ๆ รุ่นในระดับราคาเดียวกัน ทั้งหน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB ที่มีฟีเจอร์ Extended RAM ซึ่งช่วยเพิ่มขนาดของหน่วยความจำ RAM เสมือน (Virtual RAM) ได้อีกสูงสุด 8GB รวมเป็น 16GB และมีหน่วยความจำ ROM ขนาด 256GB ซึ่งถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป แต่ถ้าหากไม่พอก็ยังสามารถใส่การ์ดหน่วยความจำเสริมแบบ microSD ได้อีกสูงสุด 1TB
และสำหรับเหล่าเกมเมอร์ก็จะมีแอปพลิเคชันเฉพาะทางอย่าง XArena ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ X-Boost ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งาน ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มความสะดวก, ช่วยตรวจสอบสถานะการทำงานของตัวเครื่อง และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกมได้
เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวมด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ก็พบว่าได้คะแนนรวมอยู่ที่ 443425 คะแนน
เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench 6 ก็พบว่าได้คะแนนในด้านการประมวลผลแบบ Single-Core ที่ 739 คะแนน และได้คะแนนในด้านการประมวลผลแบบ Multi-Core ที่ 1959 คะแนน
เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench 6 ก็พบว่าได้คะแนนรวมอยู่ที่ 1479 คะแนน
Folax Voice Assistant ผู้ช่วย AI อัจฉริยะ ที่พร้อมให้เรียกใช้งานตลอดเวลา
แท็บเล็ต หรือสมาร์ตโฟนในยุคนี้คงขาดความสามารถในเรื่องของ AI ไปไม่ได้ ซึ่งแม้แต่แท็บเล็ตราคาสบายกระเป๋าอย่าง Infinix XPAD รุ่นนี้ก็มีใส่มาให้เช่นกัน นั่นคือ Folax Voice Assistant ซึ่งเป็นผู้ช่วย AI อัจฉริยะที่มาพร้อมกับ ChatGPT อันโด่งดัง โดยสามารถช่วยเราทำงานได้หลากหลาย รวมทั้งถามข้อมูลต่าง ๆ ได้ เช่นสั่งให้เล่นเพลง/วิดีโอตามที่เราต้องการ, เปิดแอปพลิเคชัน, เล่ามุกตลกให้เราฟัง, ถ่ายภาพ, จดบันทึก, นำทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ, บอกผลการแข่งขันกีฬา, ให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ และอีกมากมายแล้วแต่เราจะสรรหามาพูดคุยกับ Folax
ซึ่งนอกจากจะพูดคุยกับ Folax ด้วยเสียงได้แล้ว เราก็ยังใช้การพิมพ์ผ่านคีย์บอร์ดแทนได้ด้วย แต่ก็น่าเสียดายที่การสั่งงานด้วยเสียงนั้นไม่รองรับภาษาไทย หากเราต้องการสั่งงานด้วยภาษาไทยก็ต้องทำผ่านคีย์บอร์ดเท่านั้น
กล้องหน้า-กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล พร้อมรองรับการบันทึกวิดีโอแบบ 2K
โดยปกติแล้วบรรดาแท็บเล็ตในตลาดต่างก็ไม่ได้เน้นเรื่องกล้องเหมือนกับสมาร์ตโฟน ซึ่ง Infinix XPAD ก็เช่นกัน แต่ก็ยังใส่มาให้ใช้งานเผื่อถึงคราวที่จำเป็น โดยกล้องหลักที่ด้านหลังนั้นเป็นกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ SmartSens SC820C ขนาด 1/2.1 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f2.0, ระบบโฟกัสอัตโนมัติ และไฟแฟลช LED
มีโหมดถ่ายให้เลือกใช้หลายอย่างทั้ง AI CAM, Beauty, Portrait, Panorama, Time-Lapse และ Video พร้อมฟังก์ชัน Auto HDR และมีฟิลเตอร์ให้ใส่หลายแบบ
ซึ่งเท่าที่ทดสอบดู ก็น่าจะเหมาะกับการใช้งานในที่มีแสงมากสักหน่อย เพราะหากเป็นในที่แสงน้อย จุดรบกวนจะเกิดขึ้นค่อนข้างเยอะ และความคมชัดจะหายไปพอสมควร อีกทั้งระบบโฟกัสอัตโนมัติก็ไม่ได้รวดเร็วมากนัก
สำหรับกล้องด้านหน้าก็มีความละเอียดอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซลเช่นกัน พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/3.5 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f2.0, ไฟแฟลช LED และระบบตรวจจับใบหน้า (Face Detection) รวมทั้งมีหลายโหมดหลายฟังก์ชันให้เลือกใช้ทั้ง AI CAM, Beauty, Portrait, Wide Selfie, Time-Lapse, Video, Auto HDR และ Filters
ส่วนการบันทึกวิดีโอนั้นรองรับได้สูงสุดที่ความละเอียดระดับ 2K QHD หรือ 1440P (2560x1440 พิกเซล) ที่ 30fps และที่สำคัญคือรองรับได้ทั้งกล้องหลัง-กล้องหน้า ซึ่งก็ถือว่าเกินคาดสำหรับแท็บเล็ตช่วงราคานี้
ทำงานร่วมกับหลายอุปกรณ์แบบ Multi-Device Collaboration
จากกรณีตัวอย่างที่เห็นคือกล้องที่มากับ Infinix XPAD นั้นยังถ่ายภาพได้ไม่ดีนัก ทั้งกล้องหลัง และกล้องหน้า แต่โดยปกติแล้วเรา ๆ ท่าน ๆ ก็คงจะไม่ได้ถ่ายภาพด้วยแท็บเล็ตกันอยู่แล้ว เพราะมีสมาร์ตโฟนเอาไว้ถ่ายภาพกันแทบทุกคน ดังนั้นด้วยความสามารถของการทำงานร่วมกันหลายอุปกรณ์ (Multi-Device Collaboration) บน Infinix XPAD ก็นับว่าเหมาะกับเคสนี้เลยทีเดียว เพราะสามารถแชร์ภาพ หรือแชร์ไฟล์จากสมาร์ตโฟนเข้ามาที่แท็บเล็ตได้โดยง่าย หรือแม้แต่แชร์เข้าเครื่องแล็ปท็อป ด้วยฟีเจอร์ Instant Transfer หรือ Quick Share
โดยฟีเจอร์ Instant Transfer สามารถรับ-ส่งไฟล์ระหว่างอุปกรณ์ได้โดยตรงโดยที่ไม่ต้องใช้ Mobile Data หรืออินเทอร์เน็ต อย่างไรก็ดีดูเหมือนจะรองรับการใช้งานร่วมกับสมาร์ตโฟน หรือแล็ปท็อปของแบรนด์ Infinix กับ TECNO บางรุ่นเท่านั้น
ใส่ซิมการ์ดได้ พร้อมใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่าย 4G
อีกหนึ่งสิ่งที่เพิ่มความคุ้มค่าให้กับ Infinix XPAD ก็คือการรองรับการใส่ซิมการ์ด โดยถาดใส่ซิมการ์ดนั้นจะอยู่ที่ด้านขวาของตัวเครื่อง ซึ่งเป็นถาดแบบ Dual Slot ที่รองรับซิมการ์ดแบบ Nano SIM ได้ 1 ซิม และการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD ได้ 1 การ์ด
ดังนั้นจึงพร้อมในการติดต่อสื่อสารทุกที่ทุกเวลา ไม่ต่างจากสมาร์ตโฟนทั่วไป ทั้งการโทรออก-รับสาย, รับ-ส่งข้อความ SMS, ใช้งานอินเทอร์เน็ต และการทำธุรกรรมที่สำคัญต่าง ๆ ที่มักจะต้องอาศัยการยืนยันตัวตนด้วยหมายเลขโทรศัพท์, การรับรหัส OTP หรือแม้กระทั่งการลงทะเบียนใช้งานแอปพลิเคชันธนาคารที่ต้องดำเนินการผ่านอินเทอร์เน็ตมือถือ (Mobile Data) เท่านั้น
ลำโพงเสียง 4 ตัว พร้อมระบบเสียง DTS และพอร์ตหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
เพื่ออรรถรสในด้านความบันเทิง นอกจาก Infinix XPAD จะมีจอใหญ่เต็มตาขนาด 11 นิ้วแล้ว ก็ยังใส่ลำโพงมาให้ถึง 4 ตัว พร้อมระบบเสียงแบบ DTS ที่มีโหมดเสียงมาให้เลือกทั้งแบบ Smart, Music, Video และ Game
ต่อมาคือสามารถเลือกใช้เสียงรอบทิศทางได้ 3 แบบได้แก่ Wide, In-Front และ Traditional นอกจากนี้ยังสามารถเลือกบูสเสียงที่ต้องการให้เด่นขึ้นมาได้ทั้งเสียงเบส, เสียงร้อง และเสียงแหลม หรือจะปรับเพิ่มเติมด้วย Equalizer อีกก็ได้เช่นกัน
ซึ่งคุณภาพเสียงเท่าที่ได้ทดสอบดู ก็พบว่าเสียงมีความโอบล้อมรอบทิศทาง มีมิติเสียงที่ดี รายละเอียดชัดใสมาครบ มีเบสพอประมาณแต่อาจจะไม่ได้นุ่มลึกมากนัก เหมาะกับคอนเทนต์ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นเพลง, ภาพยนตร์ หรือเกม อย่างไรทั้งนี้ทั้งนั้นลักษณะเสียงที่ออกมา ก็ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้โปรไฟล์เสียง หรือการปรับแต่ง Equalizer ด้วยเช่นกัน
ส่วนไมโครโฟนที่ติดตั้งมาให้นั้นมีอยู่ 2 ตัว เพื่อใช้เป็นไมโครโฟนตัวหลัก และไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวน ดังนั้นเสียงขณะคุยโทรศัพท์ หรือขณะบันทึกเสียง จึงมีความชัดเจน ไม่โดนกลบไปด้วยเสียงรบกวนจากสภาพแวดล้อม
นอกจากนี้ใครที่ยังนิยมการใช้งานหูฟังที่เชื่อมต่อผ่านสายอยู่ก็น่าจะถูกใจ เพราะ Infinix XPAD นั้นมาพร้อมกับพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร ด้วยนั่นเอง
แบตเตอรี่ 7000mAh พร้อมใช้ตลอดวัน และชาร์จไว 18W
Infinix XPAD นั้นมาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 7000mAh ซึ่งก็ถือว่าเป็นความจุที่เหมาะสมสำหรับแท็บเล็ตจอ 11 นิ้ว โดยชิปเซ็ต Helio G99 นั้นก็เป็นชิปเซ็ตอีกตัวหนึ่งที่จัดการกับพลังงานได้ดี เท่าที่ทดสอบก็พบว่ามีความอึดในระดับที่น่าพอใจ สามารถใช้งานได้นานตลอดวันโดยไม่ต้องชาร์จ นอกเสียจากจะใช้งานหนักจริง ๆ อย่างไรก็ดีหากจำเป็นต้องชาร์จในชั่วโมงเร่งรีบก็อาจจะไม่ทันใจนัก เพราะรองรับการชาร์จด้วยกำลังไฟสูงสุดเพียง 18W ซึ่งการจะชาร์จแบตเตอรี่ให้ได้ 50% ต้องอาศัยเวลาถึง 40 นาที ดังนั้นหากเป็นคนใช้งานหนัก ก็คงจะต้องวางแผนการชาร์จกันสักนิด
ใช้งานอย่างมั่นใจ ได้อัปเดตแพตช์ความปลอดภัย 2 ปี
ในด้านซอฟต์แวร์ของ Infinix XPAD นั้น ถูกพัฒนาอยู่บนพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ Android 14 โดยถูกครอบทับด้วย XOS 14 ของ Infinix เอง พร้อมการรับประกันว่าจะได้รับการอัปเดตแพตช์ความปลอดภัยอย่างน้อย 2 ปี จึงใช้งานได้อย่างมั่นใจ ส่วนจะได้รับการอัปเดตตัวระบบปฏิบัติการ Android 14 เป็นเวอร์ชันใหม่ในอนาคตด้วยหรือไม่ หรือได้กี่เวอร์ชัน ทางเรายังไม่มีข้อมูลในส่วนนี้
สรุปประสบการณ์หลังใช้งาน Infinix XPAD
ผ่านไปแล้วราว 1 สัปดาห์ กับการนำเอาแท็บเล็ต Infinix XPAD รุ่นนี้มาลองใช้งานในชีวิตประจำวัน ซึ่งสรุปโดยรวมแล้วก็ถือว่าเป็นแท็บเล็ตอีกรุ่นที่เรียกได้ว่ามีสเปกเกินราคา เหมาะกับยุคสมัยนี้ที่อะไร ๆ ก็ต้องเน้นความคุ้มค่าไว้ก่อน แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้สุดในทางใดทางหนึ่ง แต่หากเรานำเอาราคามาเป็นที่ตั้ง ด้วยค่าตัวแค่ไม่ถึง 6 พันบาทของ Infinix XPAD แต่ได้ความสามารถระดับนี้ก็ถือว่าเกินคุ้มแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจอขนาดใหญ่ที่ใช้งานได้ลื่นไหล, ประสิทธิภาพของหน่วยประมวลผลที่ดี, หน่วยความจำขนาดใหญ่, ลำโพงเสียงดีที่ช่วยเพิ่มอรรถรสด้านความบันเทิง, มีกล้องติดตัวไว้ใช้งานยามจำเป็น, มีผู้ช่วย AI ไว้ให้เรียกใช้งาน, ใส่ซิมการ์ดได้, แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ตลอดวัน, ทำงานร่วมกันได้หลายอุปกรณ์ และบอดี้โลหะที่สวยบางเฉียบดูมีราคา
สำหรับท่านใดที่อยากจับจองเป็นเจ้าของ Infinix XPAD ก็สามารถหาซื้อได้แล้ววันนี้ทั้งแบบออนไลน์ที่เว็บไซต์ BaNANA และแบบออฟไลน์ที่ร้าน BaNANA (ตรวจสอบสาขาใกล้บ้านท่าน) ในราคา 5,999 บาท ส่วนจะมีส่วนลดเพิ่มเติม หรือจะมีโปรโมชันพิเศษนอกจากนี้หรือไม่ คงต้องสอบถามกับทางตัวแทนจำหน่ายอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ สำหรับวันนี้พวกเราทีมงานก็คงต้องขอลาไปก่อน แล้วพบกันได้ใหม่ในรีวิวรุ่นต่อไป สวัสดีครับ
สรุปคุณสมบัติของ Infinix XPAD
ท่านสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ Infinix XPAD ได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้
สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ Infinix XPAD
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Infinix XPAD
- Folax Voice Assistant ไม่รองรับเสียงภาษาไทย
- จอแสดงผลไม่มีฟังก์ชันเพิ่ม-ลดความระดับความสว่างอัตโนมัติ
- ฟิล์มกันรอยที่ติดมาให้ค่อนข้างเป็นรอยนิ้วมือ หรือคราบเปื้อนได้ง่าย
- ไม่แถมเคสมาพร้อมชุดจำหน่ายมาตรฐาน
- มีให้เลือกสีเดียว (Stellar Grey)
วันที่ : 02/02/2025