ตอนนี้คุณอยู่ที่ >> หน้าแรก >> หน้ารวม รีวิวมือถือ mobile review >> รีวิวมือถือ Mobile Review
   
Date : 08/07/2024

รีวิว Infinix GT 20 Pro เกมมิ่งโฟน 120FPS สำหรับโปรเกมเมอร์ ด้วยชิปประมวลผลคู่ จอ 144Hz ลำโพงคู่ JBL และกล้อง OIS 108MP บนดีไซน์ Cyber Mecha สุดล้ำ ในราคาแค่หมื่นต้น ๆ
 

ใครมีเพื่อนสายเกมเมอร์ แล้วไม่แนะนำเกมมิ่งสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ให้ รับรองว่าเพื่อนมีเคืองแน่นอน สำหรับ Infinix GT 20 Pro เกมมิ่งสมาร์ตโฟนตัวแรงในราคาคุ้มค่า ด้วยนวัตกรรม Dual Chipset ที่มาพร้อมกับชิปประมวลผลคู่นั่นคือชิปเซ็ต Dimensity 8200 Ultimate ที่ทำงานผสานกับชิป Pixelworks X5 Turbo ซึ่งมาช่วยประมวลผลภาพขณะเล่นเกมโดยเฉพาะ ส่งผลให้กลายเป็นเกมมิ่งสมาร์ตโฟนรุ่นแรกในวงการที่สามารถเล่นเกม RoV ได้ที่เฟรมเรตสูงสุดถึง 120FPS รวมทั้งได้รับการรับรองให้เป็นสมาร์ตโฟนที่ใช้ในการแข่งขัน RoV Pro League 2024 อย่างเป็นทางการ

 

และไม่เพียงแค่นวัตกรรมด้านการประมวลผลที่พัฒนามาเพื่อประสิทธิภาพด้านการเล่นเกมเท่านั้น แต่รูปลักษณ์ภายนอกก็ถูกออกแบบมาเพื่อเอาใจเกมเมอร์ตัวจริงด้วยเช่นกัน ด้วยดีไซน์แบบ Cyber Mecha ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งมาพร้อมกับไฟ Mecha Loop LED ที่สามารถปรับแต่งเอฟเฟกต์แสงได้ตามความต้องการ รวมทั้งเลือกใช้ลวดลายแบบ Turbine Blade Pattern ที่บ่งบอกตัวตนของซีรีส์ GT ได้เป็นอย่างดี

 

นอกจากนี้คุณสมบัติในด้านอื่น ๆ ก็นับว่าน่าสนใจไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นจอดีไซน์ไร้ขอบที่ลื่นไหลระดับ 144Hz, ฟีเจอร์ผสาน RAM สูงสุด 24GB, ลำโพงคู่ที่ผ่านการปรับจูนโดย JBL, กล้องความละเอียดสูง 108MP พร้อมระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS, ระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 45W Hyper Charge, ระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber Liquid Cooling ที่ใหญ่ขึ้น และระบบปฏิบัติการ XOS 14 for GT ที่การันตีการอัปเดตไปอีก 2-3 ปี ซึ่งทั้งหมดนี้เราสามารถเป็นเจ้าของได้ในราคาเพียง 12,999 บาท เรียกว่าเป็นราคาที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับความสามารถ ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร เราไปติดตามกันต่อในรีวิว Infinix GT 20 Pro ได้เลยครับ

 

กล่องลวดลายพิเศษ อุปกรณ์ครบพร้อมใช้งาน อะแดปเตอร์ไม่ต้องหาซื้อเพิ่ม

เอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Infinix GT 20 Pro นั้นมีให้เห็นตั้งแต่ดีไซน์ของกล่องชั้นนอกสุดเลยทีเดียว ด้วยลวดลายพิเศษที่เกิดจากการร่วมมือกับ Garena RoV ที่มาในโทนสีดำ ตัดกับลวดลายสีฟ้า พร้อมระบุข้อความ “OFFICIAL GAMING PHONE OF RPL 2024 WINTER” เอาไว้อย่างชัดเจน

 

เมื่อเปิดกล่องชั้นนอกสุดออกมา ก็จะพบกับกล่องชั้นในซึ่งมีดีไซน์ที่น่าสนใจไม่เหมือนใครคือการแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคล้ายประตู 3 บาน คือบานซ้าย, บานขวา และบานบน พร้อมลวดลายแบบ Turbine Blade Pattern และระบุข้อความ “WELCOME TO THE GT WORLD” เอาไว้ที่ด้านบน

 

พอเปิดบานประตูออกมาก็จะพบกับกล่องอุปกรณ์เสริมที่วางอยู่ชั้นบน ซึ่งภายในประกอบไปด้วยเคสอย่างดีที่มีลวดลายเข้ากับตัวเครื่อง, กระจกกันรอย, เข็มถอดถาดซิมการ์ด, บัตร QR Code สำหรับเกม RoV, คู่มือการใช้งาน และใบรับประกัน

 

ถัดมาที่ชั้นกลางของกล่องจะเป็นตัวเครื่อง Infinix GT 20 Pro ส่วนที่ชั้นล่างสุดจะมีอะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่แบบ 45W กับสาย USB-A to USB-C ซึ่งจะเห็นว่าอุปกรณ์ที่แถมมาในชุดจำหน่ายมาตรฐานนั้นทาง Infinix ใส่มาให้ครบครันพร้อมใช้งาน และใส่ของดีมาให้เลย โดยที่ไม่ต้องไปเสียเงินเสียเวลาหาซื้อเพิ่มเติมในภายหลัง

 

ในบรรดาอุปกรณ์ที่มีมาให้ในกล่องนี้ ที่ประทับใจที่สุดก็เห็นจะเป็นเคส เพราะนี่ไม่ใช่เคสแบบพื้น ๆ เหมือนกับที่ใส่แถมมาให้กับสมาร์ตโฟนหลาย ๆ รุ่น แต่ทาง Infinix ตั้งใจออกแบบมาเพื่อใช้กับรุ่นนี้โดยเฉพาะ ด้วยลวดลายหล่อเท่แบบ Turbine Blade Pattern ที่เข้ากับดีไซน์ของตัวเครื่อง พร้อมการเว้นช่องเป็นรูปตัว C เพื่อให้พอดีกับไฟ Mecha Loop LED รวมทั้งกรอบตรงส่วนของมอดูลกล้องที่สูงพอที่จะปกป้องเลนส์กล้องได้พอดีโดยที่ไม่มีการยื่นออกมา จึงแทบไม่ต้องกังวลเรื่องการเกิดริ้วรอย

 

ดีไซน์ล้ำยุคแบบ Cyber Mecha Design พร้อมไฟวงแหวน Mecha Loop LED ที่ปรับแต่งได้

ถ้าไม่นับเรื่องประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมสำหรับการเล่นเกม สิ่งที่โดดเด่นที่สุดอย่างหนึ่งของ Infinix GT 20 Pro ก็เห็นจะเป็นดีไซน์ภายนอกนั่นเอง ด้วยคอนเซ็ปต์การออกแบบที่เรียกว่า Cyber Mecha Design ซึ่งมาพร้อมกับลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบ Turbine Blade Pattern ที่ให้อารมณ์เหมือนกับหุ่นยนต์ที่มาจากโลกอนาคต สื่อถึงความเป็นโลหะ, พลัง และความเร็ว รวมทั้งให้อารมณ์เหมือนกับอาวุธประจำกายของเกมเมอร์ระดับโปร ด้วยลวดลายบริเวณมอดูลกล้องที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรังผึ้ง กับลวดลายแบบใบพัดกังหัน

 

โดยเครื่อง Infinix GT 20 Pro ที่มีวางจำหน่ายในประเทศไทยนั้นจะมีให้เลือกด้วยกัน 3 สี ได้แก่ Mecha Blue (เครื่องที่นำมารีวิว), Mecha Orange และ Mecha Silver

 

และจุดที่มีความดึงดูดมากที่สุดของ Cyber Mecha Design ก็เห็นจะเป็นไฟ Mecha Loop LED ซึ่งเป็นไฟ RGB mini-LED รูปทรงตัว C ที่รองรับการผสมผสานกันของสีทั้ง 8 สี และเอฟเฟกต์ 4 รูปแบบ ได้แก่ Breath, Meteor, Rhythm และ Gradient

 

โดยเราสามารถตั้งค่าการทำงานของไฟ Mecha Loop LED นี้ได้ตามต้องการ ตั้งแต่การเปิด-ปิด, ระยะเวลาที่เปิดใช้เอฟเฟกต์แสง, รูปแบบเอฟเฟกต์แสงสำหรับสายโทรเข้า, รูปแบบเอฟเฟกต์แสงสำหรับการแจ้งเตือน, รูปแบบเอฟเฟกต์แสงสำหรับการชาร์จ, รูปแบบเอฟเฟกต์แสงสำหรับการเล่นเพลง, ตัวเลือก Party Mode ที่สามารถโชว์เอฟเฟกต์แสงได้ทั้งวัน แต่ก็จะบริโภคพลังงานมากขึ้นตามไปด้วย, ตัวเลือก GT Game Boost ที่จะโชว์เอฟเฟกต์แสงขณะเปิดใช้ XArena หรือเล่นเกม และการเปิดเอฟเฟกต์แสงเมื่อเริ่มต้นใช้งานโทรศัพท์

 

อย่างไรก็ดีสำหรับเอฟเฟกต์แสงไฟขณะเล่นเกมในปัจจุบันจะรองรับเพียงแค่ 3 เกมได้แก่ Mobile Legends: Bang Bang, PUBG Mobile และ Free Fire

 

ด้านมิติตัวเครื่องเมื่อเทียบกับรุ่นที่แล้วอย่าง Infinix GT 10 Pro ก็จะหนา-หนักขึ้นเล็กน้อย แต่ก็แทบไม่ต่างกัน รวมทั้งกรอบด้านข้างยังคงเป็นแบบแบน สามารถจับถือได้ถนัดมือ และพกพาได้สะดวก ส่วนพื้นผิวโดยรอบจะมีลักษณะมันเงา แม้จะช่วยให้ดูมีความพรีเมียมทันสมัย แต่ในอีกด้านก็ส่งผลให้มีโอกาสเกิดคราบมัน, รอยนิ้วมือ หรือรอยเปื้อนได้ค่อนข้างง่ายด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากใครไม่มีเวลาดูแลมากนัก ก็แนะนำให้ใส่เคสที่แถมมาในกล่องด้วยก็จะช่วยได้มาก

 

ที่ด้านบนของตัวเครื่องจะมีช่องลำโพงตัวที่สอง พร้อมทั้งมีข้อความ Sound by JBL สกรีนไว้เพื่อยืนยันว่าลำโพงนี้ผ่านการปรับจูนเสียงโดย JBL อย่างแน่นอน ใกล้ ๆ กันนั้นก็จะเป็น Infrared Port ที่ใช้เป็นรีโมตควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า และไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน

 

ที่ด้านล่างของตัวเครื่องจะมีช่องใส่ถาดซิมการ์ดที่รองรับระบบซิมคู่ (Nano SIM+Nano SIM), ไมโครโฟนตัวหลัก, พอร์ต USB Type-C และลำโพงเสียงตัวหลัก

 

ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่องไม่มีอะไรนอกจากพื้นผิวเรียบ ๆ ส่วนที่ด้านขวาของตัวเครื่องจะมีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง กับปุ่มพาวเวอร์

 

นอกจากนี้ตัวเครื่องของ Infinix GT 20 Pro ยังมีคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นในระดับ IP54 นั่นคือสามารถทนต่อละอองน้ำ หรือการโดนน้ำในสถานการณ์ทั่ว ๆ ไปได้ หากไม่ถึงกับทำหล่นจมอยู่ใต้น้ำก็หายห่วง

 

นวัตกรรมชิปประมวลผลคู่ ครั้งแรกของประสบการณ์การเล่นเกมในระดับ 120FPS

จุดขายไฮไลต์ของ Infinix GT 20 Pro ก็คือความสามารถในการเล่นเกมยอดนิยมที่มีกราฟิกสวย ๆ ได้ที่เฟรมเรตสูงสุดถึงระดับ 120FPS รวมทั้งเป็นสมาร์ตโฟนแอนดรอยด์รุ่นแรกที่รองรับการเล่นเกม RoV ที่เฟรมเรต 120FPS ด้วยนวัตกรรมชิปประมวลผลคู่ (Dual Chipset) ที่นอกจากจะมีชิปเซ็ตประมวลผลหลักตัวแรงอย่าง MediaTek Dimensity 8200 Ultimate แล้ว ก็ยังมีชิป Pixelworks X5 Turbo ติดตั้งมาให้เพื่อใช้ช่วยประมวลผลเฟรมภาพขณะเล่นเกมโดยเฉพาะในระดับฮาร์ดแวร์ (Display Chip) พร้อมเทคโนโลยี MEMC (Motion Estimation and Motion Compensation) และ Gaming Visual Enhancement ซึ่งจะนำข้อมูลกราฟิกที่ประมวลผลได้จากชิปเซ็ตหลักมาประมวลผลต่อ จนสามารถดันเฟรมเรตจากปกติที่ 60FPS ไปที่ 120FPS ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Stable Frame-Rate Engine ที่ช่วยให้เฟรมเรตมีความเสถียรคงที่ตลอดการเล่น และฟีเจอร์ SDR to HDR ที่ช่วยปรับ Dynamic Range ของภาพในเกมให้ดีขึ้น ทั้งในเรื่องของสีสัน, แสงเงา และมิติภาพ ซึ่งการที่มีชิปประมวลผลภาพเกมแยกออกมาเฉพาะแบบนี้ จะช่วยให้ลดการใช้พลังงานลงได้กว่า 29% เมื่อเทียบกับสมาร์ตโฟนที่ไม่มีชิปประมวลผลภาพเกมแยก

 

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีฟีเจอร์พิเศษที่ทาง Infinix พัฒนาขึ้นมาเองที่เรียกว่า XBoost โดยภายในจะมีตัวเลือกสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะอยู่มากมายให้เราปรับแต่งได้ตามต้องการ ซึ่งหากต้องการประสิทธิภาพสูงสุดก็ให้เราเลือกไปที่ “โหมดประสิทธิภาพ” (Boost) หรือเปิดตัวเลือก “Ultra Frame Rate” เอาไว้ แต่ก็แน่นอนว่าโหมดประสิทธิภาพสูงสุดนี้ก็จะบริโภคพลังงานจากแบตเตอรี่มากกว่าปกติด้วยเช่นกัน โดยในเบื้องต้นเกมที่รองรับตัวเลือก Ultra Frame Rate ที่ประมวลผลด้วยชิป Pixelworks X5 Turbo นี้จะมีทั้ง RoV, Mobile Legends: Bang Bang, PUBG MOBILE, Call of Duty, Free Fire, Genshin Impact และ Honkai: Star Rail

 

โดยหลังจากที่ได้ลองทดสอบเล่นเกมยอดนิยมหลาย ๆ เกม ก็ได้ผลทดสอบที่น่าประทับใจมากเลยทีเดียว เริ่มที่เกมพระเอกประจำรุ่นอย่าง RoV นั้นสามารถเปิดกราฟิกได้ในระดับสูงสุด และแน่นอนว่าสามารถเล่นที่เฟรมเรต 120FPS ได้เป็นรุ่นแรกในฝั่งแอนดรอยด์ และมีความเสถียรตลอดการเล่นไม่มีอาการเฟรมดรอป เรียกว่าเรื่องนี้เอาไปขิงกับเพื่อนในก๊วน RoV ได้อย่างมั่นใจ ซึ่งประสบการณ์ที่ได้จากเฟรมเรตระดับ 120FPS นั้นเรียกว่าลื่นไหลเนียนตากว่า 60FPS อย่างรู้สึกได้ อย่างไรก็ดีการเล่นเกม RoV ที่เฟรมเรต 120FPS นั้นสามารถเล่นต่อเนื่องได้นานสูงสุดที่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งก็ต้องมารอลุ้นกันต่อว่าจะมีการอัปเดตให้สามารถเล่นต่อเนื่องได้นานกว่านี้หรือไม่

 

ส่วนเกมอื่น ๆ นอกจากเเกม RoV นั้น จากการทดสอบจะสามารถเล่นได้ที่เฟรมเรตสูงสุดแตกต่างกันไปดังนี้

- เกม Mobile Legends: Bang Bang ได้เฟรมเรตสูงสุดที่ 120FPS
- เกม PUBG MOBILE ได้เฟรมเรตสูงสุดที่ 120FPS
- เกม Call of Duty ได้เฟรมเรตสูงสุดที่ 90FPS
- เกม Free Fire ได้เฟรมเรตสูงสุดที่ 90FPS
- เกม Genshin Impact ได้เฟรมเรตสูงสุดที่ 120FPS (ใช้เทคนิคการแทรกเฟรม : Interpolated)
- เกม Honkai: Star Rail ได้เฟรมเรตสูงสุดที่ 120FPS (ใช้เทคนิคการแทรกเฟรม : Interpolated

 

และไม่เพียงแค่เรื่องของชิปเซ็ตที่ตอบโจทย์เกมเมอร์เท่านั้น แต่ Infinix GT 20 Pro ยังมาพร้อมกับการตอบสนองสำหรับการเล่นเกมอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยระบบ Gyroscope Environment ที่คอยตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของการจับถือตัวเครื่องได้รอบทิศทาง และมอเตอร์ระบบสั่นแบบ X-Axis Linear Motor ที่สามารถตอบสนองต่อจังหวะตื่นเต้นในเกมด้วยระบบสั่นได้อย่างสมจริง

 

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวมด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ก็พบว่าสามารถทำคะแนนรวมได้ที่ 937715 คะแนน

 

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของการประมวลผลด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench 6 ก็พบว่าสามารถทำคะแนนการประมวลผลแบบ Single-Core ได้ที่ 1106 คะแนน และทำคะแนนการประมวลผลแบบ Multi-Core ได้ที่ 3646 คะแนน

 

โหมดพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์โดยเฉพาะ

อีกจุดเด่นที่ทาง Infinix พัฒนาขึ้นมาเพื่อเหล่าเกมเมอร์โดยเฉพาะก็คือ Esports Mode ที่สามารถมอบประสิทธิภาพของการเล่นเกมได้เทียบเท่าเครื่องคอนโซล โดยเฉพาะการที่จะไม่มีอะไรมารบกวนขณะเล่นเกมเลยแม้แต่น้อย (Zero-Disruption) สามารถปิดกั้นได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือน, สายโทรเข้า, นาฬิกาปลุก, การควบคุมด้วยท่าทาง, Status Bar และ Game Assistant Panel รวมทั้งสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานในด้านต่าง ๆ สำหรับการเล่นเกมได้ด้วยไม่ว่าจะเป็นหน่วยประมวลกลาง, หน่วยประมวลผลกราฟิก, ความเสถียรของเฟรมเรต, การเคลียร์สิ่งตกค้างในเบื้องหลัง, เครือข่าย, ความรู้สึกขณะเล่นเกม และการตอบสนองของระบบสัมผัส

 

นอกจากนี้ก็ยังมีส่วนของ XArena ซึ่งเป็นศูนย์รวมเกมภายในเครื่อง พร้อมฟีเจอร์ต่าง ๆ และส่วนของ Game Space ที่รองรับการปรับแต่งค่า ๆ ต่างสำหรับการเล่นเกมแต่ละเกมได้ตามที่เราต้องการไม่ว่าจะเป็นเฟรมเรต, การใช้พลังงาน, คุณภาพของกราฟิก, อุณหภูมิ และการควบคุมเกม

 

จอ Bezel-less AMOLED ขอบบางเฉียบ พร้อมความลื่นระดับ 144Hz

 

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประสบการณ์การใช้งาน Infinix GT 20 Pro นั้นน่าประทับใจก็คือหน้าจอดีไซน์แบบไร้ขอบ (Bezel-less AMOLED) ขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ ที่แม้จะไม่ได้ไร้ขอบ 100% แต่ขอบก็บางเฉียบมาก ประโยชน์ก็คือแม้จะมีจอขนาดใหญ่ แต่เครื่องก็ไม่ได้ใหญ่ตามไปด้วย โดยขอบดำที่ด้านบนบางเพียง 1.65 มิลลิเมตร, ขอบดำที่ด้านล่างบางเพียง 2.1 มิลลิเมตร และขอบดำที่ด้านซ้ายบางเพียง 1.3 มิลลิเมตร รวมแล้วอัตราส่วนของพื้นที่แสดงผลต่อตัวเครื่องนั้นอยู่ที่ 94.3% ดังนั้นการแสดงผลจึงดูเต็มตาได้อรรถรส

 

เรื่องสีสัน หรือรายละเอียดภาพก็ถือว่าสวยสดคมชัดดีเลยทีเดียว ด้วยการที่สามารถแสดงผลสีได้ในระดับ 1.07 พันล้านสี (10-bit) พร้อมค่าความผิดเพี้ยนของสีตามมาตรฐาน JNCD ที่น้อยกว่า หรือเท่ากับ 1.5, รองรับการแสดงผลช่วงสีแบบ DCI-P3 ได้ 100%, มีความสว่างสูงสุดที่ 1300 nits จึงสามารถมองเห็นในที่กลางแจ้งได้แบบสบาย ๆ และมีเทคโนโลยี High Frequency PWM Dimming ที่ความถี่ 2304Hz ซึ่งช่วยถนอมสายตาจากการกะพริบของหน้าจอได้ โดยเฉพาะการใช้งานในที่แสงน้อย

 

จุดเด่นที่น่าสนใจอีกอย่างของหน้าจอบน Infinix GT 20 Pro ก็คือการรองรับอัตราการรีเฟรชได้สูงสุดถึงระดับ 144Hz ดังนั้นการแสดงผลจึงมีความลื่นไหลเนียนตามากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะขณะที่กำลังเล่นเกม อย่างไรก็ดีก็ต้องแลกมาด้วยการบริโภคพลังงานที่มากขึ้น แต่นอกจากตัวเลือก 144Hz แล้วก็ยังมีอีก 3 ตัวเลือกให้เราเลือกใช้งานตามความเหมาะสม ได้แก่ 120Hz, 60Hz และสลับอัตราการรีเฟรชอัตโนมัติ โดยแบบอัตโนมัตินี้ซอฟต์แวร์จะวิเคราะห์ และปรับเปลี่ยนอัตราการรีเฟรชให้เหมาะสมกับการใช้งาน โดยคำนึงถึงความลื่นไหล และปริมาณแบตเตอรี่เป็นสำคัญ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีอัตราการตอบสนองต่อระบบสัมผัสสูงสุดถึง 1500Hz (Instant Touch Sampling Rate) ซึ่งเกมเมอร์ระดับโปรที่ต้องการการตอบสนองที่รวดเร็วแม่นยำน่าจะถูกใจสิ่งนี้

 

ความสามารถถัดมาของหน้าจอนี้ก็คือมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอติดตั้งมาให้ เพื่อใช้สำหรับการยืนยันตัวตน ซึ่งประสิทธิภาพของการสแกนก็ถือว่ารวดเร็วแม่นยำตามมาตรฐาน

 

อีกลูกเล่นที่น่าสนใจไม่น้อยก็คือ Dynamic Bar ซึ่งเป็นการใช้พื้นที่รอบบริเวณรูกล้องหน้าให้เป็นประโยชน์ โดยการนำมาใช้สำหรับแสดงสถานะการทำงาน หรือการแจ้งเตือนภายในแคปซูลสีดำที่ยืดหดได้ ซึ่งรองรับการใช้งานร่วมกับการปลดล็อกด้วยใบหน้า, การโทร, เครื่องบันทึกเสียง และการชาร์จแบตเตอรี่ เช่นหากเรากำลังชาร์จแบตเตอรี่ ก็จะมีตัวเลขเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่แสดงให้เห็น หรือระหว่างที่เราบันทึกเสียง ก็จะมีปุ่มให้เรากดหยุดได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องเปิดเข้าไปที่แอปพลิเคชัน

 

นอกจากนี้หากเราเริ่มเบื่อแล้วอยากเปลี่ยนหน้าตาของ UI เดิม ๆ ให้เป็นสไตล์อื่น ๆ บ้างเราก็สามารถเข้าไปที่แอปพลิเคชัน XTheme เพื่อดาวน์โหลดธีม หรือภาพพื้นหลังที่เราชอบมาติดตั้งใช้งานได้แบบง่าย ๆ

 

ผสาน RAM รวมสูงสุด 24GB เพื่อความลื่นไหลของการใช้งานทุกรูปแบบ

สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังประสิทธิภาพของการเล่นเกมที่ยอดเยี่ยมของ Infinix GT 20 Pro ก็คือหน่วยความจำ RAM นั่นเอง และโดยพื้นฐานแล้ว Infinix GT 20 Pro นั้นมาพร้อมกับ RAM แบบ LPDDR5X ที่มีขนาดใหญ่ถึง 12GB ซึ่งถือว่าเหลือเฟือสำหรับการใช้งานทุกรูปแบบ แต่ไม่เพียงแค่นั้น เพราะ Infinix GT 20 Pro นั้นยังมาพร้อมกับฟีเจอร์พิเศษที่เรียกว่า Memory Fusion ที่สามารถนำเอา Virtual RAM มาผสานเข้ากับ Physical RAM ได้อีกสูงสุด 12GB จึงทำให้เสมือนมีหน่วยความจำ RAM ในระบบรวมมากถึง 24GB ดังนั้นแม้จะใช้เล่นเกมหนัก ๆ หรือจะเปิดแอปพลิเคชันมากแค่ไหน การทำงานก็ยังคงลื่นไหลไม่สะดุด

 

ลำโพงคู่เสียงดี ที่ผ่านการปรับจูนโดย JBL

นอกจากจะเด่นเรื่องการแสดงผลภาพแล้ว คุณภาพเสียงของ Infinix GT 20 Pro ก็เป็นอีกส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกม หรือการใช้งานด้านความบันเทิงได้มาก ด้วยการที่มีลำโพงเสียงแบบคู่ซึ่งผ่านการปรับจูนมาเป็นอย่างดีโดยแบรนด์เครื่องเสียงชั้นนำอย่าง JBL จนได้เสียงที่มีมิติ มีรายละเอียดครบถ้วน โดยเด่นที่เสียงในย่านความถี่กลาง (เสียงกลาง) ถึงย่านความถี่สูง (เสียงแหลม) ส่วนเสียงในย่านความถี่ต่ำ (เสียงทุ้ม หรือเสียงเบส) อาจจะไม่เด่นมากนัก นอกจากนี้ยังรองรับระบบเสียงรอบทิศทางแบบ DTS Sound และรองรับการเปิดเล่นไฟล์เสียงความละเอียดสูง (Hi-Res) อีกด้วย

 

กล้อง AI ความละเอียดสูง 108MP พร้อมระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS

ด้วยการที่ Infinix GT 20 Pro นั้นเกิดมาเพื่อเป็นเกมมิ่งสมาร์ตโฟน ดังนั้นก็แน่นอนว่าคุณสมบัติของกล้องถ่ายภาพก็อาจจะไม่ได้จัดเต็มมากนัก แต่อย่างน้อยภาพที่ได้จากกล้องหลักก็ถือว่ามีคุณภาพที่ไว้ใจได้เลยทีเดียว ด้วยความละเอียดของเซนเซอร์รับภาพ Samsung ISOCELL HM6 ที่มากถึง 108MP พร้อมระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS ส่วนกล้องเสริมอีก 2 ตัวนั้นเป็นกล้อง Macro กับกล้อง Depth รวมเป็น 3 ตัว (Triple Camera) ซึ่งกล้องแต่ละตัวนั้นมีคุณสมบัติดังนี้

- กล้อง Wide (Main) ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Samsung ISOCELL HM6 ขนาด 1/1.67 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.64 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.75, ทางยาวโฟกัส 24 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 83.63°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติ, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
- กล้อง Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 

โดยจุดหนึ่งที่น่าเสียดายก็น่าจะเป็นการที่ขาดกล้องมุมกว้างพิเศษ (Ultra Wide) ไป ส่วนการซูมแน่นอนว่าด้วยราคาเพียงเท่านี้ และเป็นรุ่นที่จัดเต็มเรื่องการเล่นเกมมากกว่า จึงมีเพียงการซูมแบบดิจิทัลซึ่งไกลสูงสุดที่ 10x แต่หากจะให้ได้คุณภาพที่ดีด้วยก็ขอแนะนำให้ซูมไม่เกินที่ระยะ 3x จึงจะพอนำไปใช้งานได้จริง

 

สำหรับโหมดถ่ายภาพที่น่าสนใจโหมดแรกก็คือโหมด AI CAM ซึ่งมีการนำความฉลาดของ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์รูปแบบของฉาก หรือสถานการณ์ที่อยู่หน้ากล้อง แล้วปรับเรื่องแสง, สี, โทนภาพ, เงา หรือรายละเอียดให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ที่เราทำก็เพียงแค่ยกกล้องขึ้นมาถ่ายเท่านั้น และด้วยความละเอียดของเซนเซอร์ที่มากถึง 108MP เมื่อนำมาทำงานร่วมกับเทคนิคการรวมพิกเซลแบบ 9-in-1 จนได้ภาพสุดท้ายที่ความละเอียด 12MP ก็จะช่วยให้ภาพมีแสงเงาที่ดีขึ้น มีรายละเอียดที่คมชัดขึ้น และแน่นอนว่าสามารถช่วยให้การเก็บภาพย้อนแสง หรือภาพ HDR ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นด้วย

ส่วนโหมดกลางคืนก็มี AI เข้ามาช่วยประมวลผลภาพด้วยเช่นกัน เมื่อเราถ่ายภาพในที่แสงน้อย หรือถ่ายภาพในเวลากลางคืน ระบบก็จะช่วยชดเชยให้ภาพมีความสว่างมากขึ้น

 

ต่อมาคือโหมด Portrait หรือโหมดถ่ายภาพบุคคล ด้วยการที่มีกล้อง Depth เข้ามาช่วยในการวัดระยะชัดของวัตถุโดยเฉพาะ จึงช่วยให้การแยกบุคคลออกจากฉากหลังนั้นทำได้ดี โดยรวมสามารถตัดขอบได้สวยเนียน แทบไม่มีจุดผิดพลาดให้เห็น สามารถวัดกับสมาร์ตโฟนคู่แข่งในระดับราคาเดียวกันได้สบาย

 

และด้วยการที่มีกล้อง Macro ติดตั้งมาให้โดยเฉพาะ จึงช่วยให้การถ่ายวัตถุในระยะใกล้นั้นสามารถทำได้โดยง่าย ส่วนผลลัพธ์ที่ได้หากเป็นในตอนกลางวัน หรือในที่ที่มีความสว่างค่อนข้างมาก ภาพที่ได้ก็จะมีความคมชัด แต่หากเป็นในที่ที่มีแสงน้อย คุณภาพก็อาจจะดรอปลงไปบ้าง ซึ่งโดยรวมอาจจะยังไม่เหมาะกับการถ่าย Macro แบบจริงจังเท่าไรนัก ด้วยเซนเซอร์รับภาพที่มีความละเอียดเพียงแค่ 2MP นั่นเอง

นอกจากนี้ก็ยังมีอีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจพิเศษที่ชื่อว่า Sky Shop ซึ่งจะใช้ AI วิเคราะห์หาส่วนที่เป็นท้องฟ้าภายในภาพ แล้วเราก็สามารถเลือกแทนที่ท้องฟ้าในส่วนนั้นให้กลายเป็นท้องฟ้าในรูปแบบอื่น ๆ ได้ตามต้องการ เช่นดวงจันทร์, แสงเหนือ, สายรุ้ง, ทางช้างเผือก และอื่น ๆ เรียกว่าเป็นลูกเล่นที่ช่วยให้การใช้งานกล้องสนุกขึ้น

 

ซึ่งโดยรวมแล้วกล้องของ Infinix GT 20 Pro นั้นสามารถทำงานได้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้านี้อย่าง Infinix GT 10 Pro ค่อนข้างชัดเจน สามารถหวังผลในด้านคุณภาพได้มากขึ้น

ส่วนการบันทึกวิดีโอก็ถือว่าทำได้คมชัดตามมาตรฐานสมาร์ตโฟนในช่วงราคาเดียวกัน นั่นคือรองรับการบันทึกวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD ด้วยเฟรมเรต 30/60fps หรืออยากจะบันทึกวิดีโอแบบ Slow Motion ก็ทำได้สูงสุดที่เฟรมเรต 240fps บนความละเอียดระดับ 1080P FHD และมีฟีเจอร์สนุก ๆ อย่าง Dual Video ให้ใช้งาน

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดอัตโนมัติ (AI CAM)

 

ตัวอย่างการเปลี่ยนภาพท้องฟ้าด้วยฟีเจอร์ Sky Shop

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดกลางคืน (Night)

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดรูปบุคคล (Portrait)

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดมาโคร (Macro)

 

 

กล้องหน้า 32MP มีฟีเจอร์ปรับแต่งใบหน้า และรองรับ HDR

สำหรับกล้องด้านหน้าก็ไม่ได้ใส่มาให้เล่น ๆ และถ่ายได้ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม ด้วยความละเอียดคมชัดมากถึง 32MP พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 88.9° (ทางยาวโฟกัส 22 มิลลิเมตร) และมีระบบ AI ที่เข้ามาช่วยปรับแต่งใบหน้าให้สวยหล่ออย่างเป็นธรรมชาติ รวมทั้งสามารถปรับเปลี่ยนฟีเจอร์สำหรับปรับแต่งใบหน้าได้ตามต้องการ และรองรับการเซลฟี่แบบย้อนแสงด้วยฟังก์ชัน HDR

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า

 

แบตเตอรี่ใหญ่ 5000mAh พร้อมพลังชาร์จ 45W และการชาร์จแบบ Bypass

คุณสมบัติด้านพลังงานของ Infinix GT 20 Pro นั้นก็ถือว่าเหมาะกับการเป็นเกมมิ่งสมาร์ตโฟน ด้วยความจุของแบตเตอรี่ที่ 5000 mAh ซึ่งใหญ่กำลังดี สามารถใช้งานแบบปกติได้ยาวนานตลอดวันโดยไม่ต้องกังวลว่าแบตเตอรี่จะหมดระหว่างวัน แต่หากต้องใช้งานหนักเป็นพิเศษโดยเฉพาะการเล่นเกม ก็จะใช้งานได้ราว 7-8 ชั่วโมง แต่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะชาร์จช้า เพราะรองรับเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 45W Hyper Charge ที่นอกจากจะชาร์จได้เร็วแล้ว ก็ยังมีความปลอดภัยด้วยเช่นกัน โดยสามารถชาร์จจาก 0-100% ได้ภายในเวลาราว 1 ชั่วโมง

 

ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับบรรดาเกมเมอร์ที่เล่นเกมอย่างหนักหน่วง ก็สามารถเล่นเกมไปชาร์จไปแบบยาว ๆ ได้โดยที่เครื่องไม่ร้อน และสามารถถนอมสุขภาพของแบตเตอรี่ได้ ด้วยโหมดชาร์จแบบ Bypass ที่สามารถการจ่ายไฟไปที่แผงวงจรโดยตรงโดยที่ไม่ต้องผ่านแบตเตอรี่ รวมทั้งรองรับเทคโนโลยีการชาร์จแบบ PD 3.0 (Power Delivery 3.0)

 

ระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber Liquid Cooling System ที่ใหญ่ขึ้น

เบื้องหลังการประมวลผลหนัก ๆ หรือการเล่นเกมกราฟิกระดับสูงที่ราบรื่นต่อเนื่องก็คือระบบระบายความร้อนที่ยอดเยี่ยม ซึ่ง Infinix GT 20 Pro นั้นให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ด้วยระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber Liquid Cooling ที่ใหญ่ขึ้น โดยชั้น Vapor Chamber Liquid Cooling ที่จะเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลวนั้นมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นถึง 73% ส่วนชั้น PCM Graphite Sheet ก็มีขนาดใหญ่ขึ้นถึง 68% จึงสามารถทนต่อความร้อนแฝงได้ดีขึ้น

 

นอกจากนี้ด้วยการออกแบบการวางระบบระบายความร้อนรอบตัวชิปเซ็ตแบบ 360° จึงช่วยให้สามารถนำพาความร้อนได้ดีขึ้นกว่า 66% และยังมาพร้อมกับระบบระบายความร้อนอัจฉริยะที่จะคอยตรวจสอบอุณหภูมิก่อนถึงขีดจำกัด ดังนั้นไม่ว่าจะใช้งานหนักแค่ไหน ก็มั่นใจได้ว่าเครื่องจะมีความเสถียรอยู่ตลอดเวลา

 

การันตีการอัปเดตแอนดรอยด์ 2 เวอร์ชัน และอัปเดตระบบความปลอดภัย 3 ปี

นอกจากฮาร์ดแวร์ภายในตัวเครื่องที่ตอบโจทย์แล้ว อีกเรื่องที่ผู้ซื้อสมาร์ตโฟนให้ความสำคัญก็คือการสนับสนุนด้านซอฟต์แวร์ ซึ่งสำหรับ Infinix GT 20 Pro ที่มากับระบบปฏิบัติการ XOS 14 for GT บนพื้นฐานของ Android 14 รุ่นนี้เรามั่นใจได้เลยว่าจะสามารถถือใช้งานได้แบบยาว ๆ เนื่องจากจะมีการอัปเดตซอฟต์แวร์ให้ทันสมัยอยู่ตลอด ไม่มีคำว่าถูกลอยแพอย่างแน่นอน เพราะทาง Infinix การันตีไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าจะมีการอัปเดตแอปดรอยด์ให้อีก 2 เวอร์ชัน (อัปเดตถึง Android 16) และจะมีการอัปเดตระบบความปลอดภัยให้อีก 3 ปี

โดยระบบปฏิบัติการ XOS 14 for GT ที่มากับ Infinix GT 20 Pro นี้มีความพิเศษคือมันถูกออกแบบให้อยู่ในแนวทางของตระกูล GT ที่เหมาะกับการใช้งานของเหล่าเกมเมอร์ รวมทั้งยังพัฒนาในคอนเซ็ปต์ Clean & Pure OS 2.0 นั่นคือภายในเครื่องจะมีการติดตั้งแอปพลิเคชันที่จำเป็นมาให้เท่านั้น ไม่มีแอปพลิเคชันจำพวก Bloatware แอบแฝงอยู่ หรือไม่มีแอปพลิเคชันเบ็ดเตล็ดที่ไม่สำคัญมารบกวน เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด

 

สรุปประสบการณ์หลังใช้งาน Infinix GT 20 Pro

หลังจากที่มีโอกาสได้สวมวิญญาณเกมเมอร์ แล้วเลือกพก Infinix GT 20 Pro เครื่องนี้ไว้เป็นเครื่องมือต่อสู้ฟาดฟันกับคู่แข่งในเกมต่าง ๆ ก็ต้องยอมรับว่าทำผลงานได้ดีไม่แพ้สมาร์ตโฟนเรือธงราคาแพง ๆ เลยทีเดียว ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะ Infinix GT 20 Pro นั้นเกิดมาเพื่อตอบโจทย์เหล่าเกมเมอร์เป็นหลัก ด้วยชิปประมวลผลหลักตัวแรง ที่ทำงานผสานกับชิปประมวลผลภาพโดยเฉพาะ กับหน้าจอแสดงผลชั้นดี และแรมขนาดใหญ่ ซึ่งช่วยให้สามารถเล่นเกมกราฟิกสวย ๆ ในเฟรมเรตสูง ๆ ในระดับ 120FPS ได้อย่างราบรื่นต่อเนื่อง และมีการตอบสนองที่รวดเร็วไม่ดีเลย์ รวมทั้งสามารถจัดการกับเรื่องความร้อน กับเรื่องของการบริโภคพลังงานจากแบตเตอรี่ได้เป็นอย่างดี

อีกเรื่องที่ต้องให้ดาวก็คือดีไซน์ภายนอกแบบ Cyber Mecha ที่มาพร้อมไฟ Mecha Loop LED กับลวดลายแบบ Turbine Blade Pattern ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สะท้อนความเป็นเกมมิ่งสมาร์ตโฟนออกมาได้ดี โดยเฉพาะไฟ Mecha Loop LED ที่เปล่งแสงออกมาขณะใช้งานนั้นนอกจากจะมีความสวยเด่นแล้ว ดูไปดูมาก็เหมือนเป็นพลังแฝงที่เอาไว้ข่มขวัญเกมเมอร์คู่แข่งได้เลยทีเดียว

 

ส่วนความสามารถในด้านอื่น ๆ นั้นก็นับว่ากำลังดี ไม่ว่าจะเป็นลำโพงเสียงแบบคู่ที่ผ่านการปรับจูนโดย JBL, แบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh ที่รองรับพลังชาร์จสูงสุด 45W กับรองรับการชาร์จแบบ Bypass อีกทั้งภายในชุดจำหน่ายมาตรฐานก็ยังมาพร้อมกับอุปกรณ์ที่ครบครันพร้อมใช้งานโดยไม่ต้องไปซื้อเพิ่มในภายหลัง, การันตีการอัปเดตระบบปฏิบัติการ Android นาน 2 เวอร์ชัน และการันตีการอัปเดตระบบความปลอดภัยนาน 3 ปี

อย่างไรก็ดีด้วยการที่ Infinix GT 20 Pro นั้นเกิดมาเพื่อเป็นเกมมิ่งสมาร์ตโฟน ดังนั้นทีมพัฒนาจึงให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพของฮาร์ดแวร์ กับซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับการเล่นเกมเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้การใช้งานในด้านอื่น ๆ ก็อาจจะไม่โดดเด่นมากนัก เช่นหากเป็นใครที่ต้องการกล้องถ่ายภาพระดับโปร สมาร์ตโฟนรุ่นนี้ก็คงจะไม่ใช่คำตอบ แต่หากเป็นการถ่ายภาพทั่ว ๆ ไป กล้องของ Infinix GT 20 Pro ก็นับว่าถ่ายสวยในระดับที่น่าพอใจ

 

สรุปแล้ว Infinix GT 20 Pro รุ่นนี้นับว่าเหมาะกับเหล่าเกมเมอร์ที่ต้องการเกมมิ่งสมาร์ตโฟนที่พร้อมลุยกับคู่แข่งได้ทุกเกมอย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมกับคุณสมบัติในด้านอื่น ๆ ที่ครบเครื่อง และที่สำคัญคือสามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ไม่ยาก ด้วยค่าตัวที่คุ้มค่าเพียง 12,999 บาท ถ้าเกมเมอร์ท่านใดสนใจก็เลื่อนลงไปดูรายละเอียดของโปรโมชันกันต่อได้เลยครับ

 

ราคา และโปรโมชันของ Infinix GT 20 Pro

Infinix GT 20 Pro รุ่น RAM 12GB+ROM 256GB เริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้วที่ราคา 12,999 บาท ท่านใดสนใจสามารถสั่งซื้อแบบออนไลน์ได้ที่ Shopee, Lazada และ TikTok หรือสั่งซื้อแบบออฟไลน์ผ่านร้านค้าตัวแทนจำหน่ายได้ที่ BaNANA, Jaymart, TG, IT CITY และ CSC

 

ล่าสุดกับโปรโมชัน 7.7 ระหว่างวันที่ 5-9 กรกฎาคม 2567 สำหรับท่านที่สั่งซื้อ Infinix GT 20 Pro ผ่านทาง Shopee, Lazada และ TikTok รับส่วนลดรวมสูงสุด 2,000 บาท พร้อมผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน นอกจากนี้ยังได้รับฟรี Game Power Gift Boxset มูลค่า 1,599 บาท (หูฟังไร้สาย+พัดลมระบายความร้อน) (ของแถมมีจำนวนจำกัด โปรดสอบถามตัวแทนจำหน่ายอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ)

รายละเอียดเพิ่มเติม

 

สรุปคุณสมบัติเด่นของ Infinix GT 20 Pro

- ดีไซน์ตัวเครื่องแบบ Cyber Mecha Design ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยลวดลายแบบ Turbine Blade Pattern
- ไฟ RGB LED ที่ด้านหลังตัวเครื่องแบบ Mecha Loop LED พร้อมรองรับการปรับแต่งได้อย่างอิสระ
- เอฟเฟกต์แสงไฟขณะเล่นเกม และใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ (บางฟีเจอร์)
- เปลี่ยนไฟ LED ได้ 8 สี และเปลี่ยนเอฟเฟกต์แสงไฟได้ 4 รูปแบบ (Breathe, Meteor, Rhythm และ Gradient)
- ระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber Liquid Cooling System
- พื้นที่ระบายความร้อนมากกว่าเดิม 73% (เทียบกับรุ่น GT 10 Pro)
- Phase Change Material (PCM Graphite Sheet) ที่ใหญ่ขึ้น 68%
- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นตามมาตรฐาน IP54
- มี 3 สีมาตรฐานให้เลือก (Mecha Blue, Mecha Orange และ Mecha Silver)

----------------------------------

- จอแสดงผลแบบ AMOLED LTPS ขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2436x1080 พิกเซล : 388 PPI)
- อัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุดที่ 144Hz (144Hz/120Hz/60Hz/Auto)
- อัตราการตอบสนองของระบบสัมผัส (Touch Sampling Rate) สูงสุดที่ 360Hz หรือที่ 1500Hz (Instant Touch Sampling Rate)
- ความสว่างสูงสุด 1300 nits
- เทคโนโลยี 2304Hz High Frequency PWM Dimming สำหรับช่วยถนอมสายตาจากการกะพริบของหน้าจอ
- แสดงผลสีได้ 1.07 พันล้านสี (10-bit)
- รองรับการแสดงผลช่วงสีแบบ DCI-P3 ได้ 100%
- ค่า JNCD น้อยกว่า หรือเท่ากับ 1.5
- อัตราส่วนจอแสดงผลต่อตัวเครื่อง 94.30%
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ (Under Display Fingerprint Sensor)

----------------------------------

- ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 8200 Ultimate
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G610 MC6
- ชิป Pixelworks X5 Turbo สำหรับการประมวลผลภาพขณะเล่นเกมโดยเฉพาะ
- รองรับการเพิ่มเฟรมเรตในเกมจาก 60fps ไปจนสูงสุดที่ 120fps
- ฟีเจอร์ Stable Frame-Rate Engine
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5X ขนาด 12GB
- ฟีเจอร์ Memory Fusion สำหรับช่วยขยายขนาด RAM ด้วย ROM (Virtual RAM) เพิ่มเติมได้สูงสุด 12GB
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล (ROM) แบบ UFS 3.1 ขนาด 256GB
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 14 พร้อมครอบทับด้วย XOS 14 for GT
- รับประกันการอัปเดตระบบปฏิบัติการ 2 เวอร์ชัน (ถึง Android 16)
- รับประกันการอัปเดตระบบความปลอดภัย 3 ปี

----------------------------------

- แบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh
- ระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 45W Fast Charge
- รองรับการชาร์จแบบ Bypass
- โหมด Hyper Charge

----------------------------------

กล้องตัวหลักด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ประกอบด้วย

- กล้อง Wide (Main) ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Samsung ISOCELL HM6 ขนาด 1/1.67 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.64 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.75, ทางยาวโฟกัส 24 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 83.63°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติ, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
- กล้อง Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4

รวมทั้งมีไฟแฟลชแบบ Quad LED Flash, โหมด Sky Shop, โหมด Dual Video และรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD (3840x2160 พิกเซล : 30/60 fps)

กล้องด้านหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล

พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2, ทางยาวโฟกัส 22 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 88.9°) และรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 1440P 2K (2560x1440 พิกเซล : 30 fps)

----------------------------------

- เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax, 5G, 4G LTE, 3G WCDMA และ 2G EDGE/GPRS
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth, NFC และ Infrared (IR Remote Control)
- ระบุตำแหน่ง และนำทางผ่านระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, Glonass, BeiDou และ Galileo
- พอร์ต USB Type-C 2.0
- ลำโพงเสียงแบบคู่ พร้อมการปรับแต่งเสียงโดย JBL
- รองรับระบบเสียง DTS และรองรับไฟล์เสียงความละเอียดสูง (Hi-Res)
- รองรับ WIDVINE L1
- Esports Mode ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์สำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ
- มอเตอร์ระบบสั่นแบบ X-Axis Linear Vibration Motor

สรุปคุณสมบัติโดยละเอียด (สเปก) และราคา ของ Infinix GT 20 Pro

 

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Infinix GT 20 Pro

- ฟีเจอร์ Ultra Frame Rate รองรับเฉพาะบางเกม
- การเล่นเกม RoV ที่เฟรมเรต 120FPS เล่นได้ต่อเนื่องสูงสุดเพียง 1 ชั่วโมง
- พื้นผิวโดยรอบตัวเครื่องมีลักษณะมันวาว ดังนั้นจึงมีโอกาสเกิดรอยนิ้วมือ หรือรอยเปื้อนได้ง่าย
- ไม่มีกล้องมุมกว้างพิเศษ (Ultra Wide)
- กล้อง Depth กับ Macro มีความละเอียดค่อนข้างน้อย (2MP)
- ไม่รองรับการใส่การ์ดหน่วยความจำเสริมแบบ microSD หรือแบบอื่น ๆ
- ไม่มีพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร

 

 

วันที่ : 08/07/2024

Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy