หน้าแรกมือถือ > รวมข่าวมือถือ > หน้าบทความ ข่าวมือถือ
   
Date : 13/1/2567

[TMC Awards 2023] สมาร์ตโฟนยอดเยี่ยมประจำปี 2023 โดย Thaimobilecenter

 

หากมองย้อนไปดูภาพรวมของวงการสมาร์ตโฟนในปี 2023 ที่ผ่านมา แม้ว่าในเรื่องของนวัตกรรม หรือเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ อาจจะดูไม่หวือหวามากนัก และอาจจะยังไม่ถึงขั้นพลิกโฉมวงการ ถ้าเทียบกับการพัฒนาแบบก้าวกระโดดในฝั่งของนวัตกรรมในวงการ AI ที่มีอะไรใหม่ ๆ มาให้ตื่นเต้นกันไม่เว้นแต่ละวัน อย่างไรก็ดี สมาร์ตโฟนแต่ละค่ายต่างก็พยายามพัฒนาต่อยอด เติมเต็มจุดขายที่มีอยู่แล้วให้มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น และตอบโจทย์การใช้งานได้ดีกว่าเดิม จนสุดท้ายแล้วก็มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ ๆ ออกมาสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องไม่แพ้หลายปีที่ผ่านมา พร้อมโปรโมชันที่น่าสนใจมากมายซึ่งก็สามารถช่วยกระตุ้นยอดขาย และเพิ่มความคึกคักของตลาดสมาร์ตโฟนได้เป็นอย่างดี

โดยในบรรดาสมาร์ตโฟนจำนวนมากมายที่เปิดตัว และทีมงาน Thaimobilecenter ของเรามีโอกาสได้สัมผัสใช้งานในปี 2023 ที่ผ่านมา หากต้องเลือกรุ่นที่ดีที่สุดในแต่ละประเภทก็ต้องยอมรับว่าเลือกได้ไม่ง่ายนัก เพราะในระยะหลัง ๆ มานี้ เทคโนโลยี, ระบบพื้นฐาน หรือนวัตกรรมหลาย ๆ อย่างของแต่ละแบรนด์ก็ไม่ได้ทิ้งห่างกัน เรียกว่าฮาร์ดแวร์บางส่วนอาจจะเป็นตัวเดียวกันเสียด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายแล้วก็จะมีรุ่นที่โดดเด่นที่สุดในแต่ละด้าน จนสร้างความประทับใจให้กับทีมงาน และได้รับรางวัลสมาร์ตโฟนยอดเยี่ยมแห่งปี 2023 ในสาขาต่าง ๆ หรือ TMC Awards 2023 นี้ไปครอง ส่วนจะมีรุ่นใดบ้างนั้น ไปติดตามกันได้เลยครับ

 

สมาร์ตโฟนยอดเยี่ยม (Best Smartphone)

แน่นอนว่าการที่สมาร์ตโฟนรุ่นหนึ่งจะได้ชื่อว่าเป็น “สมาร์ตโฟนยอดเยี่ยม” นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเราต้องพิจารณาคุณสมบัติอย่างละเอียดในทุก ๆ ด้าน ตั้งแต่การใช้งานที่ต้องตอบโจทย์ผู้ใช้ได้ทุกรูปแบบ, ประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยม, ฮาร์ดแวร์ที่ดี, นวัตกรรมชั้นเลิศ, ซอฟต์แวร์ที่เสถียรใช้งานง่าย, ดีไซน์ที่เหมาะกับคนส่วนใหญ่, ความยืดหยุ่นในการใช้งานที่ทำได้ทุกอย่างในเครื่องเดียว, มีการสนับสนุนที่ยาวนานด้านซอฟต์แวร์-ฮาร์ดแวร์ ไปจนถึงความพร้อมด้านบริการหลังการขาย หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์เสริมที่รองรับในตลาด สุดท้ายแล้ว สมาร์ตโฟนที่มีองค์ประกอบข้างต้นครบถ้วนมากที่สุด และได้รับการคัดเลือกจากเราในปีนี้ก็คือ Samsung Galaxy S23 Ultra

Samsung Galaxy S23 Ultra เป็นสมาร์ตโฟนเรือธงตัวท็อปที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากผู้ใช้ชาวไทย แม้ว่าจะเปิดตัวมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2023 และมีสมาร์ตโฟนเรือธงจากค่ายอื่นออกมาต่อกรมากมาย แต่ในท้ายที่สุดแล้ว Samsung Galaxy S23 Ultra ก็ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของผู้บริโภคชาวไทยมาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี

ในแง่มุมของการดีไซน์ ถึงแม้ว่า Galaxy S23 Ultra จะทำมาในแนวเรียบหรูดูมินิมอล ไม่หวือหวา ชุดเลนส์กล้องหลังก็ไม่ได้ดูใหญ่เด่นสะดุดตา หรือไม่ได้มีฝาหลังที่สะท้อนแสงไล่เฉดสีแต่อย่างใด อาจจะดูธรรมดาเมื่อเทียบกับเรือธงรุ่นอื่น ๆ แต่ก็เป็นดีไซน์ที่ดูภูมิฐาน และเข้ากับผู้ใช้งานทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าใครถือก็ดูดี

สำหรับคุณสมบัติด้านในก็ต้องเรียกว่า Samsung Galaxy S23 Ultra คือศูนย์รวมของนวัตกรรมที่ดีที่สุดที่ Samsung สามารถมอบให้ผู้ใช้ได้ ณ ช่วงเวลาที่เปิดตัว ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ที่มีอัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz, ชิปเซ็ตตัวท็อปอย่าง Snapdragon 8 Gen 2, หน่วยความจำ RAM มาตรฐาน LPDDR5X กับ ROM มาตรฐาน UFS 4.0 ที่เร็วที่สุดในตลาด, พอร์ตเชื่อมต่อ USB 3.2 Gen 1 ที่ส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว, ชุดกล้องหลัง 4 ตัว ความละเอียดสูงสุด 200MP พร้อมพลังการซูม 100 เท่าที่ใช้งานได้จริง และอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้นเรื่องประสบการณ์ในการใช้งานจึงหายห่วง เพราะนี่คือสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่สมาร์ตโฟน Samsung จะให้คุณได้แล้วในปีนี้

หากพูดถึงเรื่องการถ่ายภาพ กล้องของ Galaxy S23 Ultra ถือว่าเป็นที่สุดของ Samsung แล้ว เรื่องประสิทธิภาพจึงไม่เป็นที่กังขา สามารถถ่ายรูปได้อย่างน่าประทับใจ และถ่ายได้หลากหลายสไตล์ ครบทุกมมุมอง อีกทั้งยังมีความโดดเด่นด้านภาพ และวิดีโอกลางคืน และที่ขาดไม่ได้คือฟีเจอร์ 100x Space Zoom ที่ปรับปรุงคุณภาพให้ดียิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการใช้งาน เรียกว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มสมาร์ตโฟนที่มีกล้องที่ดีที่สุดในปีนี้

ที่สำคัญคือ Samsung Galaxy S23 Ultra ยังคงยกเอาความดีความงามของสมาร์ตโฟนตระกูล Galaxy Note มาใส่เอาไว้ในเครื่องเดียว ด้วยปากกาในตัว หรือ S Pen ที่เรารู้จักกันดี ทำให้ Galaxy S23 Ultra รองรับการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้นอีกระดับ เปิดทางสู่ฟังก์ชันใหม่ ๆ ที่เรือธงรุ่นอื่นไม่มี นับว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ Galaxy S23 Ultra โดดเด่น และเป็นที่จดจำกว่าสมาร์ตโฟนเรือธงแบรนด์อื่น ๆ ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ Samsung Galaxy S23 Ultra จึงได้รับตำแหน่งสมาร์ตโฟนยอดเยี่ยมประจำปี 2023 (Best Smartphone) จากเราไปครอง

 

สมาร์ตโฟนเรือธงคุ้มค่ายอดเยี่ยม (Best Value Flagship Smartphone)

คุณสมบัติของสมาร์ตโฟนเรือธงที่คุ้มค่า จะต้องมีคุณสมบัติโดยรวมที่อยู่ในระดับไฮเอนด์, ชิปเซ็ตประมวลผลรุ่นท็อป, มีกล้องถ่ายภาพ และกล้องวิดีโอที่ยอดเยี่ยม, หน้าจอแสดงผลคุณภาพสูง, ฟีเจอร์การใช้งานที่ครบเครื่อง พร้อมมอบประสบการณ์การใช้งานในระดับแฟล็กชิป และรองรับการทำงานทุกรูปแบบได้อย่างดีเยี่ยม ในราคาที่คุ้มค่าที่สุด ซึ่งสมาร์ตโฟนที่โดดเด่นที่สุด และได้รับตำแหน่งสมาร์ตโฟนเรือธงคุ้มค่ายอดเยี่ยม (Best Value Flagship Smartphone) จากเราในปีนี้ไปก็คือ Xiaomi 13T Pro

ความคุ้มค่าอย่างแรกของ Xiaomi 13T Pro คือชุดกล้องที่พัฒนาร่วมกับ Leica เพราะโดยทั่วไปแล้ว สมาร์ตโฟนที่มีกล้อง Leica มักจะเป็นสมาร์ตโฟนเรือธงที่มีราคา 30,000 บาทขึ้นไป

โดยความพิเศษของกล้อง Leica บน Xiaomi 13T Pro คือชุดเลนส์ Summicron ที่ทาง Xiaomi ร่วมออกแบบกับ Leica เพื่อจำลองคุณสมบัติของเลนส์ VARIO-SUMMICRON 1:1.9-2.2/15-50mm ASPH. บนกล้องโปรลงมาบนสมาร์ตโฟน พร้อมโปรไฟล์การถ่ายภาพ Leica Authentic/Vibrant ที่ช่วยให้ภาพถ่ายมีโทนสีเหมือนถ่ายจากกล้องโปร อีกทั้ง Xiaomi 13T Pro ยังรองรับการบันทึกวิดีโอทั้งแบบ 8K, 10-bit Log, Ultra Night และ HDR10+ อีกด้วย จึงตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้ทั่วไป และช่างภาพมือโปร

ในเชิงประสิทธิภาพ Xiaomi 13T Pro มากับชิปเซ็ตเรือธงตัวท็อปของค่าย MediaTek อย่าง Dimensity 9200+ ซึ่งประสิทธิภาพด้านการประมวลผลจัดว่าอยู่ในระดับแถวหน้าของวงการ ณ เวลานี้ จึงมั่นใจได้ว่าเร็วแรง ทุกการใช้งาน ขณะเดียวกัน ยังใช้หน่วยความจำมาตรฐานใหม่ล่าสุด ทั้ง RAM แบบ LPDDR5X และ ROM แบบ UFS 4.0 ซึ่งเร็วที่สุดในวงการสมาร์ตโฟนแล้วในตอนนี้ ต่างจากสมาร์ตโฟนรุ่นอื่น ๆ ในช่วงราคาเดียวกันที่มักจะให้หน่วยความจำมาตรฐานเก่ากว่า

ที่สำคัญคือให้ RAM มาสูงสุดถึง 16GB และใส่ ROM มาให้ที่ความจุสูงสุดถึง 1TB จึงเก็บไฟล์ได้จุใจหายห่วง และรองรับการทำงานทุกรูปแบบได้เร็วเต็มสปีดแน่นอน

ความคุ้มค่าอีกอย่างหนึ่งของ Xiaomi 13T Pro คือระบบชาร์จไว 120W ซึ่งแม้ว่าสมาร์ตโฟนราคาระดับนี้จะมีระบบชาร์จไวทุกรุ่น แต่ในปี 2023 นี้ ไม่มีสมาร์ตโฟนในไทยรุ่นใดเลยที่ให้ชาร์จไวสูงถึงระดับ 120W เหมือนกับ Xiaomi 13T Pro ในราคาที่ต่ำกว่า 20,000 บาท อีกทั้งยังมีอแดปเตอร์มาให้พร้อมสรรพในกล่อง ไม่ต้องเสียเงินซื้อเพิ่ม เรื่องนี้อาจจะดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานทุกฟีเจอร์ของสมาร์ตโฟนได้อย่างเต็มที่ทันทีตั้งแต่แกะกล่อง โดยไม่รู้สึกว่าโดน “กั๊ก”

นอกจากคุณสมบัติข้างต้นแล้ว Xiaomi 13T Pro ยังมากับหน้าจอคุณภาพสูง โดยเป็นจอ CrystalRes AMOLED Flat DotDisplay ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 2712x1220 พิกเซล นอกจากนี้ยังรองรับอัตราการรีเฟรชสูงสุดที่ระดับ 144Hz ซึ่งสูงกว่าสมาร์ตโฟนเรือธงหลายรุ่น และยังรองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบ HDR10+ อีกทั้งยังมีหน้าจอที่สว่างสุด ๆ ถึง 2,600 nits ทำให้สามารถสู้แดดกลางแจ้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นด้วยคุณสมบัติทั้งหมดข้างต้นนี้ จึงทำให้ Xiaomi 13T Pro สามารถเทียบชั้นกับสมาร์ตโฟนเรือธงราคาแพงหลายหมื่นในปัจจุบันได้อย่างสูสี ในราคาเริ่มต้นเพียงแค่ 19,990 บาทเท่านั้น

 

สมาร์ตโฟนระดับกลางยอดเยี่ยม (Best Mid-Range Smartphone)

หนึ่งในกลุ่มสมาร์ตโฟนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปี 2023 ก็คือสมาร์ตโฟนระดับกลาง ด้วยแรงจูงใจสำคัญคือราคาที่จับต้องได้ แต่อัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์ชั้นเยี่ยม บนดีไซน์พรีเมียม เรียกว่าน่าให้ประสบการณ์โดยรวมที่ไม่แพ้สมาร์ตโฟนเรือธงราคาแพงเลยทีเดียว ซึ่งทุกแบรนด์ต่างก็หมายมั่นปั้นมือกับตลาดกลุ่มนี้ ผลัดกันเปิดตัวสมาร์ตโฟนระดับกลางรุ่นใหม่ของตัวเองมาตลอดทั้งปี แต่สุดท้ายรุ่นที่ดูโดดเด่นที่สุดประจำปี 2023 ในสายตาทีมงานของเราจนได้รับรางวัลสมาร์ตโฟนระดับกลางยอดเยี่ยม (Best Mid-Range Smartphone) ไปครองก็คือ realme 11 Pro+ 5G

สำหรับความน่าสนใจของ realme 11 Pro+ 5G นั้นเรียกว่ามีอยู่รอบด้านเลยทีเดียว เพราะด้วยราคาเปิดตัวที่เอื้อมถึงได้ไม่ยากเพียง 16,999 บาท แต่ภายในนั้นเต็มไปด้วยฟีเจอร์เด็ดในระดับน้อง ๆ สมาร์ตโฟนเรือธง ไม่ว่าจะเป็นจอขอบโค้ง 61° อันสวยหรูแบบ AMOLED Curved Vision ที่ลื่นไหลระดับ 120Hz พร้อมแสดงผลสีสันได้ในระดับ 1.07 พันล้านสี กับขอบของหน้าจอที่บางเฉียบเพียง 2.33 มิลลิเมตร, กล้อง OIS SuperZoom ความละเอียดสูง 200MP พร้อมเทคโนโลยี In-Sensor Zoom, กล้องด้านหน้าความละเอียด 32MP, แบตเตอรี่ชาร์จไว 100W SUPERVOOC, ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7050 ที่เร็วแรง, หน่วยความจำ RAM ขนาดใหญ่ 12GB, หน่วยความจำ ROM ขนาดจุใจ 512GB และลำโพงคู่แบบ Super Linear Dual Spakers ที่มาพร้อมกับระบบเสียงแบบ Dolby Atmos

ไม่เพียงแค่คุณสมบัติที่ดีเยี่ยมเท่านั้น เพราะ realme 11 Pro+ 5G มาพร้อมกับรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยพรีเมียมโดดเด่นเป็นพิเศษ ซึ่งเกิดจากออกแบบโดย Matteo Menotto ดีไซน์เนอร์จากแบรนด์ GUCCI ด้วยวัสดุด้านหลังตัวเครื่องแบบหนังวีแกนเกรดพรีเมียม (Premium Vegan Leather) ที่แม้จะเป็นหนังเทียม แต่ก็ให้สัมผัสที่แทบไม่ต่างจากหนังแท้ พร้อมการเก็บรายละเอียดของรอยเย็บที่ประณีตสวยงาม ด้วยเทคโนโลยีการทอแบบ 3D Woven Texture พร้อมตะเข็บแบบ 3D Conture-Level Seam เรียกได้ว่าถือใช้งานแล้วดูดีไม่แพ้สมาร์ตโฟนเรือธงราคาหลายหมื่น แต่เราสามารถเป็นเจ้าของได้ในราคาแค่หมื่นกลาง ๆ เท่านั้น

 

สมาร์ตโฟนราคาต่ำกว่าหมื่นยอดเยี่ยม (Best Under 10000 Smartphone)

หนึ่งในกลุ่มสมาร์ตโฟนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในบ้านเราในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงปี 2023 ก็คือสมาร์ตโฟนที่มีราคาไม่เกิน 10,000 บาท เนื่องจากเป็นช่วงราคาที่คนส่วนใหญ่สามารถจับต้องได้ง่าย และเมื่อเทียบกับฟีเจอร์ที่ได้รับกลับมาถือว่าคุ้มค่า รวมทั้งสามารถตอบโจทย์การใช้งานทุกรูปแบบได้เป็นอย่างดี ซึ่งหากเป็นผู้ใช้งานที่ไม่ได้คาดหวังความเป็นเลิศในทุกองค์ประกอบ หรือไม่ได้เน้นฟีเจอร์ใดเป็นพิเศษ สมาร์ตโฟนกลุ่มนี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว และท่ามกลางสมาร์ตโฟนราคาต่ำกว่าหมื่นมากมายหลายรุ่นที่เปิดตัวในปี 2023 สุดท้ายแล้วรุ่นที่ดูจะมีความคุ้มค่าในภาพรวมมากที่สุดก็เห็นจะเป็น Infinix Note 30 5G ซึ่งเราก็ขอมอบตำแหน่งสมาร์ตโฟนราคาต่ำกว่าหมื่นยอดเยี่ยม (Best Under 10000 Smartphone) ในครั้งนี้ให้ไป

ด้านคุณสมบัติเด่นของ Infinix Note 30 5G นั้นก็เริ่มตั้งแต่ชิปเซ็ตประสิทธิภาพภาพสูงอย่าง MediaTek Dimensity 6080 5G, หน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB ที่ขยายเพิ่มด้วยฟีเจอร์ Extended RAM ได้อีกสูงสุด 8GB รวมเป็น 16GB, กล้องด้านหลัง 3 ตัว โดยเฉพาะกล้องหลักนั้นใช้เซนเซอร์ใหม่อย่าง ISOCELL HM6 ที่มีความละเอียดมากถึง 108 ล้านพิกเซล, หน้าจอ 120Hz FHD+ ขนาด 6.78 นิ้ว ที่มีความเร็วในการตอบสนองต่อการสัมผัสที่ 240Hz พร้อม Eye-Care Mode ที่ได้รับการรับรองจากสถาบัน TÜV Rheinland, แบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh ที่ชาร์จได้ไวในระดับ 45W หรือชาร์จแบตเตอรี่ได้ 75% ภายในเวลาเพียง 30 นาที, รองรับการชาร์จแบบ Bypass ซึ่งเป็นการจ่ายพลังงานไปที่เมนบอร์ดโดยตรงขณะเล่นเกม จึงให้อุณหภูมิของตัวเครื่องต่ำ พร้อมเป็นการถนอมอายุของแบตเตอรี่ไปในตัว, ลำโพงเสียงแบบคู่ระดับคุณภาพที่ได้รับการปรับจูนโดย JBL พร้อมรองรับไฟล์เสียงความละเอียดสูง (Hi-Res), เทคโนโลยี Ultra Powerful Signal ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการรับสัญญาณ และทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการที่สดใหม่อย่าง XOS 13 ที่พัฒนาอยู่บนพื้นฐานของ Android 13

โดยคุณสมบัติอันครบเครื่องทั้งหมดข้างต้นนี้ ถูกใส่ไว้ในตัวเครื่องดีไซน์ขอบแบนใหม่แบบ Flash Finishing ที่เปลี่ยนโทนสีไล่เฉดไปตามทิศทางของแสง ด้วยเทคโนโลยีการเคลือบผิวแบบ NCVM (Non-Conductive Vacuum Metalize) เพื่อไม่ให้เป็นสื่อนำไฟฟ้า รวมทั้งยังมีคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นในระดับ IP53 จึงช่วยให้เราใช้งานได้อย่างมั่นใจมากขึ้น


สำหรับ Infinix Note 30 5G นั้นมีราคาเริ่มต้นในบ้านเราที่เพียง 7,499 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ใครก็เอื้อมถึงได้ไม่ยาก และคุณสมบัติที่ Infinix Note 30 5G ใส่มาให้ด้านในดังรายละเอียดข้างต้นนั้นก็เรียกได้ว่าคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง สามารถตอบโจทย์ได้ดีตั้งแต่การใช้งานทั่วไป, การเล่นเกมกราฟิกสวย ๆ, การถ่ายรูป, การใช้งานโซเชียล, การใช้งานด้านความบันเทิง และอื่น ๆ รวมทั้งมีแบตเตอรี่ความจุสูงที่ชาร์จได้ไว และมีดีไซน์ที่สวยพรีเมียม เรียกว่าไม่ต้องจ่ายแพงก็สามารถเป็นเจ้าของสมาร์ตโฟนสเปกดี ๆ ได้แล้ว

 

สมาร์ตโฟนเรือธงยอดนิยม (Best Popular Flagship Smartphone)

หากพูดถึงสมาร์ตโฟนเรือธงที่คนนิยมใช้งานกัน ไม่รวมถึงสมาร์ตโฟนระดับเริ่มต้น-ระดับกลาง ถ้าลองมองไปรอบ ๆ ตัวจะเห็นว่า รุ่นที่พบว่ามีการใช้งานกันมากที่สุดก็คงจะเป็น iPhone 15 Pro Max นั่นเอง จึงไม่น่าแปลกใจว่าเวลาที่เราไปไหนมาไหนก็มักจะเห็นคนทุกเพศทุกวัยถือ iPhone 15 Pro Max ขึ้นมาใช้งานอยู่จนชินตา ราวกับว่าเป็นสมาร์ตโฟนราคาย่อมเยา ทั้งที่อันที่จริงแล้วเป็นสมาร์ตโฟนราคาแพงค่าตัวกว่าครึ่งแสน หากไม่เชื่อ หรืออยากพิสูจน์ด้วยตัวเอง วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือลองออกไปตามสถานที่ท่องเที่ยวที่มีคนรวมตัวกันเยอะ ๆ และมีสิ่งสวย ๆ งาม ๆ ให้ถ่ายภาพ ในจังหวะที่แต่ละคนยกสมาร์ตโฟนของตัวเองขึ้นมาถ่ายภาพนั้น ให้คุณลองนับดูว่าคุณเห็นสมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นใดมากที่สุด ซึ่งเมื่อคุณลองนับดูแล้วก็คงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม iPhone 15 Pro Max จึงได้รับรางวัลสมาร์ตโฟนเรือธงยอดนิยม (Best Popular Flagship Smartphone) ไปครอง

ในเรื่องดีไซน์ภายนอกของ iPhone 15 Pro Max แม้แทบจะไม่แตกต่างจากรุ่นก่อนอย่าง iPhone 14 Pro Max มากนัก แต่อันที่จริงแล้ว iPhone 15 Pro Max ก็มีการอัปเกรดใหม่ ๆ ที่น่าสนใจอยู่หลายอย่างเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นกรอบตัวเครื่องที่อัปเกรดมาใช้วัสดุใหม่แบบไทเทเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ พร้อมปุ่ม Action แบบใหม่ที่ด้านข้าง ซึ่งด้วยการเลือกใช้ไทเทเนียมนอกจากจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเครื่องแล้ว ยังทำให้เป็นไอโฟนรุ่น Pro ที่มีน้ำหนักเบาที่สุดเท่าที่เคยมีมา, ชิปเซ็ต Apple A17 Pro ที่ประมวลผลได้เร็วแรงไม่แพ้เรือธงตัวท็อปรุ่นใด, รองรับ Ray Tracing ที่เร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์ ทำให้สามารถเล่นเกมฝั่งของเครื่องเล่นเกมคอนโซลได้ อย่างเช่น Resident Evil Village ซึ่งสมาร์ตโฟนรุ่นอื่นยังไม่รองรับ นอกจากนี้พอร์ตการเชื่อมต่อก็เป็นไอโฟนรุ่นแรกที่เปลี่ยนจากพอร์ต Lightning มาเป็นพอร์ต USB-C ที่รองรับมาตรฐาน USB 3.2 Gen 2 ที่สามารถถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วสูงสุดถึง 10Gbps หรือเร็วขึ้นกว่าเดิมสูงสุด 20 เท่า และรองรับการส่งสัญญาณวิดีโอ HDR ระดับ 4K ที่เฟรมเรต 60 fps อีกด้วย

สำหรับสายถ่ายภาพ iPhone 15 Pro Max มีการปรับปรุงระบบกล้องให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น รองรับการถ่ายภาพครบทุกระยะ ซึ่งกล้องหลัก ความละเอียด 48 ล้านพิกเซลนั้น สามารถสลับทางยาวโฟกัสได้ถึง 3 ระยะด้วยกันคือ 24mm, 28mm และ 35mm ส่วนกล้อง Telephoto เป็นเลนส์แบบ Tetraprism ที่ช่วยให้ซูมแบบ Optical ได้ไกลขึ้เป็น 5 เท่า และรองรับการซูมแบบดิจิทัลได้สูงสุด 25 เท่า หรือจะเป็นการถ่ายภาพมุมกว้างกับมาโคร iPhone 15 Pro Max ก็รองรับเช่นกัน
และไม่เพียงแค่มีกล้องถ่ายภาพที่อยู่ในระดับหัวแถวเท่านั้น เพราะเรื่องของการบันทึกวิดีโอนั้นถือได้ว่ายืนหนึ่งในวงการ จนได้รับรางวัลสมาร์ตโฟนกล้องวิดีโอยอดเยี่ยม (Best Camcorder Smartphone) ของเราประจำปี 2023 ไปครอง ซึ่งทุกท่านสามารถเลื่อนลงไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมกันได้

โดยความนิยมของ iPhone 15 Pro Max ไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น ยังได้รับความนิยมในอีกหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกอีกด้วย

 

สมาร์ตโฟนแบรนด์ใหม่ยอดเยี่ยม (Best New Brand Smartphone)

สำหรับสมาร์ตโฟนแบรนด์ใหม่ที่เข้ามาทำตลาดในไทย ส่วนใหญ่ก็มักจะมาในรูปแบบของการเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นที่ราคาจับต้องได้ง่าย พร้อมฟีเจอร์ที่คุ้มค่ามาลองตลาดก่อน เพื่อหยั่งเชิงผู้บริโภคในไทยก่อนว่าจะมีผลตอบรับไปในทิศทางใด ซึ่งมีอยู่ไม่กี่แบรนด์ที่จะกล้านำเอาผลิตภัณฑ์ระดับท็อปมานำเสนอไปพร้อม ๆ กับการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ของตัวเอง เพื่อสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการ ซึ่งแบรนด์ที่ดูจะเข้าตาเรามากที่สุดก็เห็นจะเป็น iQOO แบรนด์ลูกของ vivo ที่เพิ่งเปิดตัวในบ้านเราไปเพียงแค่ราว 1 ปีเท่านั้น เรียกว่าเป็นแบรนด์น้องใหม่มาแรง และล่าสุดก็ได้ส่งสมาร์ตโฟนเรือธงตัวท็อปใหม่ล่าสุดของตัวเองมาสร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับวงการอีกครั้ง ด้วย iQOO 12 5G

สำหรับ iQOO 12 5G นั้นเกิดมาเพื่อเป็นเกมมิ่งโฟนระดับพรีเมียม ด้วยฟีเจอร์พิเศษที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อเหล่าเกมเมอร์โดยเฉพาะ กับการเป็นสมาร์ตโฟนกลุ่มแรกที่มาพร้อมกับขุมพลังของชิปเซ็ตเรือธงตัวท็อปใหม่ล่าสุดของค่าย Qualcomm อย่าง Snapdragon 8 Gen 3 ผสานกับชิปพิเศษอย่าง Supercomputing Q1 ที่ทาง iQOO ปรับแต่งขึ้นมาเองเพื่อยกระดับประสิทธิภาพของการเล่นเกมโดยเฉพาะที่รองรับเฟรมเรตแบบ Super Frame Rate ได้สูงสุดถึง 144 เฟรมต่อวินาที รวมทั้งมีชิปประมวลผลกราฟิก Adreno 750, หน่วยความจำแบบ Fast Memory (LPDDR5X) ขนาด 16GB และพื้นที่จัดเก็บข้อมูลความเร็วสูงแบบ Flash Storage (UFS 4.0) ขนาด 512GB ซึ่งทั้งหมดทำงานประสานกันเพื่อมอบประสบการณ์ด้านการเล่นเกมในระดับสูงสุด อีกทั้งยังมีระบบระบายความร้อนที่ยอดเยี่ยมแบบ Vapor Chamber ขนาด 6K แบบ 4 โซน ติดตั้งอยู่ภายใน

นอกจากประสิทธิภาพด้านการประมวลผลที่อยู่ในระดับท็อปแล้ว คุณสมบัติในด้านอื่น ๆ ก็นับว่าอยู่ในระดับไฮเอนด์เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นจอ LTPO AMOLED ความละเอียดระดับ 1.5K ที่รองรับอัตราการรีเฟรชสูงสุดที่ 144Hz และสว่างสูงสุดถึง 3000 nits, กล้องถ่ายภาพ 3 ตัวระดับโปรที่ใช้เซนเซอร์รับภาพขนาดใหญ่ 1/1.3 นิ้ว ซึ่งประกอบไปด้วยกล้องหลักความละเอียด 50MP+กล้อง Periscope Telephoto (3X Optical Zoom) ที่ซูมได้ไกลสูงสุดถึง 100 เท่า (100X Digital Zoom) ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล+กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 50MP พร้อมระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS 2.0 และรองรับการบันทึกวิดีโอแบบ 8K, แบตเตอรี่แบบ Pro-Performance Graphite ขนาด 5000 mAh ได้รองรับพลังชาร์จสูงสุดถึง 120W และลำโพงคู่ที่วางตำแหน่งแบบสมมาตร

โดยฟีเจอร์ทั้งหมดนี้ถูกอัดแน่นอยู่ภายในตัวเครื่องดีไซน์พรีเมียมที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก BMW M Motorsport ที่สำคัญคือมีราคาที่จับต้องได้ง่ายกว่าเรือธงตัวท็อปหลาย ๆ รุ่น ด้วยค่าตัวเพียง 27,990 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ยั่วยวนใจ เมื่อเทียบกับคุณสมบัติระดับนี้ ดังนั้นด้วยปัจจัยต่าง ๆ ข้างต้นจึงทำให้ iQOO 12 5G รุ่นนี้ได้รับรางวัล “สมาร์ตโฟนแบรนด์ใหม่ยอดเยี่ยม (Best New Brand Smartphone)” ของเราในปีนี้ไปครอง

 

สมาร์ตโฟนกล้องยอดเยี่ยม (Best Camera Smartphone)

นับว่าเป็นรางวัลที่ใหญ่ที่สุดรางวัลหนึ่งก็ว่าได้ สำหรับรางวัล “สมาร์ตโฟนกล้องยอดเยี่ยม (Best Camera Smartphone)” เพราะไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟนรุ่นเล็ก, รุ่นกลาง หรือรุ่นใหญ่ ต่างก็ให้ความสำคัญกับเรื่องของกล้องถ่ายภาพมาเป็นอันดับแรก ๆ อยู่เสมอ ด้วยไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานสมาร์ตโฟนในยุคปัจจุบันที่หันมาใช้สมาร์ตโฟนถ่ายภาพแทนกล้องจริง ๆ กันแทบทุกคน ด้วยข้อได้เปรียบในเรื่องของการพกพา และคุณภาพของภาพถ่ายที่นับวันจะใกล้เคียงกับกล้องใหญ่ขึ้นไปทุกที เรียกว่าหากไม่ได้จำเป็นต้องถ่ายภาพเพื่อนำไปใช้งานในระดับจริงจัง หลายคนก็คงไม่อยากพกกล้อง+เลนส์ตัวใหญ่ไปให้หนักกระเป๋า

ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ารางวัลนี้ตัดสินได้ไม่ง่าย ด้วยการที่กล้องถ่ายภาพบนเรือธงตัวท็อปหลาย ๆ รุ่นในปี 2023 นั้นให้ผลลัพธ์โดยรวมที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน อีกทั้งนวัตกรรม หรือเทคโนโลยีด้านการถ่ายภาพก็ไม่ได้หนีกันมากนัก เรียกว่ามีดีไปคนละแบบ แต่เมื่อพิจารณาจากการถ่ายภาพในสถานการณ์ต่าง ๆ (เน้นเรื่องการถ่ายภาพนิ่ง) สุดท้ายแล้วสมาร์ตโฟนที่เราคิดว่าเหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากที่สุดก็คือ HUAWEI P60 Pro นั่นเอง

สำหรับ HUAWEI P60 Pro แม้จะไม่ได้พัฒนากล้องร่วมกับ Leica เหมือนกับหลาย ๆ รุ่นที่ผ่านมาอีกต่อไป แต่ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาอย่างยาวนาน จึงสามารถพัฒนาเทคโนโลยีด้านการถ่ายภาพระดับสูงของตัวเองขึ้นมาได้ในนามว่า XMAGE ซึ่งหลัก ๆ แล้วประกอบไปด้วยระบบ Optical ที่เลือกใช้เลนส์คุณภาพสูงให้เหมาะกับกล้องแต่ละตัว, กลไกม่านรูรับแสงที่แม่นยำ, เซนเซอร์รับภาพแบบ RYYB ที่ช่วยรับแสงเข้ามาได้มากขึ้น และเทคโนโลยีการประมวลผลภาพแบบ XD Fusion Pro ที่ทำงานร่วมกับอัลกอริทึมการเรียนรู้ของ AI ที่ให้ผลลัพธ์ของสี แสง เงา ราวกับที่เรามองเห็นด้วยตาเปล่า

ด้านกล้องหลักแบบ Ultra Lighting Main Camera นั้นมาพร้อมกับกลไกรูรับแสงที่ปรับได้ตั้งแต่ f1.4-f4.0 เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมแต่ละแบบ พร้อมเซนเซอร์รับภาพแบบ RYYB ที่รับแสงได้ดีเยี่ยม บวกกับสไตล์ XMAGE ที่ช่วยปรับปรุงเรื่องของสีสันให้มีความโดดเด่นยิ่งขึ้น

ด้านกล้องเทเลโฟโต้แบบ Ultra Lighting Telephoto ที่รองรับการซูมแบบ 3X Optical Zoom และ 100X Digital Zoom ก็มีความพิเศษตรงที่มีรูรับแสงขนาดใหญ่ระดับ f2.1 ซึ่งใหญ่กว่ากล้องเทเลโฟโต้ในสมาร์ตโฟนทั่วไป ที่ช่วยให้สามารถรับแสงได้มากขึ้นถึง 178% เมื่อเทียบกับรุ่นพี่อย่าง HUAWEI P50 Pro รวมทั้งมีการทำงานร่วมกับอัลกอริทึม XD Optics ดังนั้นภาพระยะไกลที่ได้จึงมีความคมชัด เก็บรายละเอียดได้ดี และไม่เบลอ ไม่ว่าจะถ่ายในเวลาใดก็ตาม อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้ง่ายด้วยวงแหวน Camera Zoom Ring กับ Quick Menu

กล้องของ HUAWEI P60 Pro ไม่ได้มีเพียงแค่ความโดดเด่นด้านการถ่ายภาพนิ่งเท่านั้น แต่ด้านการบันทึกวิดีโอก็นับว่าอยู่ในระดับสูงเช่นกัน โดยเฉพาะเทคโนโลยี Ultra Light Video ที่ช่วยให้เราสามารถบันทึกวิดีโอได้อย่างคมชัด ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกในระยะปกติ หรือในระยะเทเลโฟโต้ พร้อมเทคโนโลยี HDR Vivid Video ที่ช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าวิดีโอในแต่ละเฟรมจะมีรายละเอียดที่ดีเยี่ยม ทั้งเรื่องของสีสัน, ความคมชัด และแสงเงา

นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ระดับสูงที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง เช่นโหมด Telephoto Super Macro และเซนเซอร์ป้องกันการสั่นไหวระดับสูงแบบ Anti-Shake Sensor Rotation โดยฟีเจอร์ระดับสูงข้างต้นนี้ถูกนำมาใส่ไว้ในมอดูลกล้องดีไซน์คลาสสิกที่ดูสวยพรีเมียมอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

 

สมาร์ตโฟนกล้องถ่ายภาพบุคคลยอดเยี่ยม (Best Portrait Smartphone)

ปัจจุบันนี้เราสามารถหาสมาร์ตโฟนที่ถ่ายรูปพอร์ตเทรตสวย ๆ ได้ไม่ยาก แต่สำหรับปี 2023 นี้คงไม่มีรุ่นไหนจะเชี่ยวชาญด้านการถ่ายพอร์ตเทรตได้เท่ากับ vivo X100 Pro อีกแล้ว

vivo X100 Pro มากับคุณสมบัติเฉพาะตัวที่นับว่าเกิดมาเพื่อการถ่ายภาพพอร์ตเทรตเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากฮาร์ดแวร์ของตัวกล้องแล้ว ก็ยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อการถ่ายภาพพอร์ตเทรตโดยเฉพาะเบื้องหลังเลนส์กล้องอีกด้วย สะท้อนให้เห็นว่า vivo นั้นให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างแท้จริง

กล้องหลักด้านหลังของ vivo X100 Pro เลือกใช้เซนเซอร์รับภาพ Sony IMX989 ความละเอียด 50MP ขนาด 1 นิ้ว ซึ่งนับว่าเป็นขนาดที่ใหญ่มากสำหรับสมาร์ตโฟนในปัจจุบัน โดยเซนเซอร์ที่ใหญ่ขึ้นก็จะช่วยให้รับแสงได้มากขึ้น เก็บรายละเอียดได้ดีกว่า และยังช่วยให้ถ่ายรูปในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น ขณะเดียวกัน ตัวเลนส์ยังคงมีการพัฒนาร่วมกับบริษัทผลิตเลนส์กล้องชั้นนำของโลกอย่าง ZEISS พร้อมเคลือบสารลดแสงสะท้อน ZEISS T* 

ขณะเดียวกัน กล้อง Telephoto ของ vivo X100 Pro ก็ไม่ใช่แค่เลนส์ซูมธรรมดา แต่ระบบเลนส์เป็นดีไซน์แบบ Floating Element ที่สามารถปรับระยะห่างระหว่างชิ้นเลนส์ภายในให้เหมาะสมกับระยะโฟกัสได้ ช่วยป้องกันการบิดเบี้ยวของภาพจากการซูม อีกทั้งเลนส์ที่ใช้ยังเป็นเลนส์ ZEISS APO ที่ช่วยลดความผิดเพี้ยนของสีเหมือนเลนส์ของกล้องระดับมืออาชีพอีกด้วย

นอกจากกล้องหลัก และกล้อง Telephoto แล้ว vivo X100 Pro ยังมีกล้อง Super Wide-Angle ความละเอียด 50MP มาให้ด้วย แม้จะเป็นเลนส์ Landscape สำหรับถ่ายภาพทิวทัศน์ในมุมกว้าง แต่ด้วยเทคโนโลยีเลนส์ ZEISS Multifocal Portrait ทำให้ผู้ใช้สามารถถ่ายรูปพอร์ตเทรตได้อย่างสวยงามในทุกระยะเลนส์ แม้จะใช้เลนส์ Super Wide-Angle ก็ตาม ผู้ใช้จึงสามารถสร้างสรรค์ภาพถ่ายแนวพอร์ตเทรตได้หลากหลายกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่น ตั้งแต่แนว Landscape Portrait, Street Portrait ไปจนถึงแบบ Close-Up

ความพิเศษของกล้อง vivo X100 Pro ไม่ได้มีแค่เลนส์ ZEISS และฮาร์ดแวร์ของตัวกล้องเท่านั้น แต่ยังมีชิป vivo V3 ที่ช่วยประมวลผลภาพ และวิดีโอโดยเฉพาะ ช่วยเสริมการประมวลผลร่วมกับ ISP ของตัวชิปเซ็ตให้ทรงพลังยิ่งขึ้นไปอีก

นอกจากความโดดเด่นด้านการถ่ายภาพแล้ว คุณสมบัติด้านอื่น ๆ ของ vivo X100 Pro ก็นับว่าอยู่ในระดับแนวหน้าสมกับที่เป็นเรือธงประจำค่าย โดยมากับพลังของชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 9300 รุ่นใหม่ล่าสุด ที่เพิ่มพลังการประมวลผลด้วยสถาปัตยกรรมแบบ All-Big-Core, หน่วยความจำ RAM ขนาดใหญ่สูงสุด 16GB ที่เพิ่มได้อีก 16GB ผ่านระบบ Extended RAM, หน่วยความจำภายในแบบ UFS 4.0 หน้าจอแสดงผลแบบ 8T LTPO AMOLED คุณภาพสูง ให้สีสันแม่นยำ พร้อมอัตราการรีเฟรชสูงสุดที่ 120Hz นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นในระดับ IP68 อีกด้วย

 

สมาร์ตโฟนกล้องวิดีโอยอดเยี่ยม (Best Camcorder Smartphone)

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในระยะหลัง ๆ ความสามารถด้านการบันทึกวิดีโอของสมาร์ตโฟนนั้น ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมาก และในบางกรณีสามารถใช้ทดแทนกล้องดิจิทัลตัวใหญ่ ๆ ได้อย่างสบาย ซึ่งในปีนี้ สมาร์ตโฟนรุ่นที่ยังคงรักษาความสามารถด้านการบันทึกวิดีโอในระดับสูงสุดไว้ได้น่าประทับใจ สมกับตำแหน่ง สมาร์ตโฟนกล้องวิดีโอยอดเยี่ยม (Best Camcorder Smartphone) ก็คือ iPhone 15 Pro Max นั่นเอง

โดยสิ่งใหม่ที่ถูกใส่มาเป็นครั้งแรกใน iPhone 15 Pro Max ก็คือการเป็นสมาร์ตโฟนรุ่นแรกที่รองรับ ACES หรือ Academy Color Encoding System ซึ่งเป็นมาตรฐานด้านสีระดับโลกสำหรับงานโปรดักชันภาพยนตร์ รวมถึงของใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวแบบสด ๆ ร้อน ๆ ในเดือนนี้หลังจากอัปเดต iOS 17.2 แล้วก็คือ iPhone 15 Pro Max สามารถถ่ายวิดีโอเชิงมิติพื้นที่ หรือ Spatial Video ซึ่งเป็นการเก็บบันทึกความประทับใจในรูปแบบของ 3 มิติ โดยจะเป็นการบันทึกที่ความละเอียดระดับ 1080P (30fps) และมีการบีบอัดไฟล์แบบ HEVC ทำให้ใช้พื้นที่ในการจัดเก็บไม่มากนัก

นอกจากนี้ iPhone 15 Pro Max ยังคงรองรับ Cinematic Mode ที่สามารถบันทึกวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอได้คล้ายกับกล้องภาพยนตร์, เลือกจุดโฟกัสได้ทั้งขณะถ่าย-หลังถ่าย, การเคลื่อนจุดโฟกัสที่นุ่มนวล, มีโบเก้ที่สวยงาม, สามารถปรับค่ารูรับแสงได้อย่างอิสระ และที่น่าสนใจอีกอย่างคือ Cinematic Mode สามารถบันทึกในรูปแบบของ HDR ได้สูงสุดที่ความละเอียดระดับ 4K (30fps) อีกด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น กล้องของ iPhone 15 Pro Max ยังรองรับการบันทึกวิดีโอแบบ ProRes ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K ทั้งกล้องหน้า-กล้องหลัง และสามารถบันทึกใส่ตัวจัดเก็บข้อมูลภายนอกได้
นอกจากกล้องด้านหลังของ iPhone 15 Pro Max ที่สามารถเก็บความประทับใจในรูปแบบของวิดีโอได้อย่างมือโปรแล้ว กล้องด้านหน้า TrueDepth Camera ก็มีความสามารถด้านการบันทึกวิดีโอไม่แพ้กล้องด้านหลังเช่นกัน ทั้งการบันทึกวิดีโอแบบ Dolby Vision HDR ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K ที่ 60 fps, การบันทึกวิดีโอด้วย Cinematic Mode รวมถึงการบันทึกวิดีโอแบบ ProRes

อีกหนึ่งนวัตกรรมที่ทำให้การบันทึกวิดีโอมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น ก็คือระบบป้องกันการสั่นแบบ Sensor-Shift Optical Image Stabilization รุ่นที่สอง สำหรับกล้องหลัก, ระบบ Optical Image Stabilization สำหรับการบันทึกวิดีโอในระยะ 3x Telephoto และระบบ 3D Sensor-Shift Optical Image Stabilization สำหรับการบันทึกวิดีโอในระยะ 5x Telephoto ที่ช่วยทำให้ฟุตเทจดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น รวมทั้งมีช่วงซูมวิดีโอแบบ Optical Zoom สูงสุด 10 เท่า (5x Zoom In รวมกับ 2x Zoom Out) และมีช่วงซูมวิดีโอแบบ Digital Zoom สูงสุด 15 เท่า นอกจากนี้ยังสามารถถ่ายภาพนิ่งความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ขณะบันทึกวิดีโอระดับ 4K ได้อีกด้วย

เรียกได้ว่าเรื่องงานวิดีโอของ iPhone 15 Pro Max นั้นสามารถทำให้จบทุกอย่างได้ภายในเครื่องเดียวแบบ End-to-End ตั้งแต่การถ่าย-ตัดต่อ-แชร์ รวมถึงการบันทึกในรูปแบบของ Dolby Vision หรือ ProRes และที่สำคัญคือมีคุณภาพที่ไว้ใจได้ไม่เว้นแม้แต่การทำงานในระดับมืออาชีพ

 

สมาร์ตโฟนจอพับยอดเยี่ยม (Best Foldable Smartphone)

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งรางวัลที่ตัดสินใจได้ยากพอสมควร เพราะในช่วงหลัง ๆ แบรนด์สมาร์ตโฟนชั้นนำต่างก็พัฒนาสมาร์ตโฟนจอพับชั้นดีของตัวเองมานำเสนอในตลาดอย่างพร้อมหน้า เรียกว่าเทคโนโลยีจอพับได้นั้นอยู่ในช่วงเวลาที่เข้าที่เข้าทางดีแล้ว ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ซึ่งทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละแบรนด์จะเอาเทคโนโลยีจอพับได้มาต่อยอดอย่างไร หรือจะเติมเต็มด้วยฟีเจอร์ใดให้มีความแตกต่างจากคู่แข่ง

สุดท้ายแล้วสมาร์ตโฟนจอพับในปี 2023 ที่มีการพัฒนาขึ้นอย่างชัดเจน และดูเอาจริงเอาจังมากที่สุดในสายตาของทีมงาน จนได้รับตำแหน่งสมาร์ตโฟนจอพับยอดเยี่ยม (Best Foldable Smartphone) ในปีนี้ก็คือ OPPO Find N3 ซึ่งถือว่าเป็นสมาร์ตโฟนจอพับที่ใช้งานได้ลงตัวที่สุดรุ่นหนึ่ง โดยรุ่นนี้ได้รับการพัฒนาต่อยอดให้ดีขึ้นจาก OPPO Find N2 หลายจุดด้วยกัน ทั้งดีไซน์ที่สวยพรีเมียมโดดเด่นมากขึ้น, มีความบางเฉียบกว่าเดิมเหลือเพียง 5.8 มิลลิเมตรขณะพับ หรือ 11.7 มิลลิเมตรขณะกาง เรียกว่าแม้จะพับอยู่ แต่ก็ไม่หนาไปกว่าสมาร์ตโฟนปกติมากนัก, หน้าจอทั้งจอหลัก และจอด้านนอก มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 7.82 นิ้ว และ 6.31 นิ้วตามลำดับ โดยเฉพาะจอด้านนอกนั้นมีขนาด และอัตราส่วนเดียวกับสมาร์ตโฟนปกติ เรียกว่าแค่ใช้งานจอด้านนอกก็ตอบโจทย์ได้ครบทุกอย่างแล้ว แถมยังมีคุณสมบัติของการแสดงผลระดับสูงใกล้เคียงกับจอหลักด้านใน นอกจากนี้ก็ยังมีการอัปเกรดกล้อง กับประสิทธิภาพด้านการประมวลผลให้ดีขึ้น และอื่น ๆ อีกมากมาย

โดย OPPO Find N3 เป็นมือถือดีไซน์พับแบบปีกผีเสื้อตัวแรกของ OPPO ที่วางขายในตลาดโลก หลังจากที่วางขายเฉพาะที่ประเทศจีนเพียงประเทศเดียว ซึ่งจุดเด่นของ OPPO Find N3 ก็คือ ดีไซน์บางเฉียบ ซึ่งตอนกางตัวเครื่องจะมีความบางเพียง 5.8 มิลลิเมตร และขณะพับจะบางเพียง 11.7 มิลลิเมตรเท่านั้น อีกทั้งยังมีน้ำหนักเบาเพียง 239 กรัม มิติโดยรวมจึงเรียกได้ว่าใกล้เคียงกับมือถือเรือธงดีไซน์ปกติบางรุ่นเลยก็ว่าได้

อีกสิ่งสำคัญของสมาร์ตโฟนจอพับก็คือเรื่องของความแข็งแกร่ง ซึ่งบานพับของ OPPO Find N3 ได้รับการการันตีจาก TÜV Rheinland ว่าสามารถทนต่อการพับเครื่องได้สูงสุดถึง 1,000,000 ครั้ง นั่นคือหากเราพับวันละ 100 ครั้ง เราก็จะสามารถใช้งานได้นานถึง 16 ปี ซึ่งในความเป็นจริงก็คงไม่มีใครใช้งานยาวนานขนาดนั้นอย่างแน่นอน อีกทั้งยังมีความฝืดที่พอดี เปิดค้างได้หลายองศา ซึ่งกลไกที่อยู่เบื้องหลังก็คือบานพับ Flexion Hinge รุ่นที่ 3 ซึ่งใช้วัสดุโลหะเหลวเซอร์โคเนียมที่มีความแข็งเป็นพิเศษ นอกจากนี้รอยพับก็มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นจนแทบจะไม่เห็นรอยพับ และแทบจะไม่รู้สึกถึงรอยพับเวลาลากนิ้วผ่าน เรียกได้ว่า เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ทาง OPPO ทำได้อย่างน่าประทับใจ

อีกจุดขายสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า OPPO นั้นตั้งใจกับสมาร์ตโฟนจอพับรุ่นนี้มากขนาดไหน นั่นคือการนำเอากล้องถ่ายภาพระดับแฟล็กชิปที่พัฒนาร่วมกับ Hasselblad มาติดตั้งไว้ พร้อมโหมด Hasselblad Portriat กับฟีเจอร์ Hasselblad Colour Recognition เรียกว่าจัดเต็มไม่แพ้กล้องบนเรือธงตัวท็อปรุ่นอื่น ๆ ของค่าย ตั้งแต่กล้อง Ultra-Sensing Wide-Angle 48MP ที่ใช้เซนเซอร์รับภาพแบบซ้อน ซึ่งสามารถรับแสง กับเก็บรายละเอียดได้ดีขึ้น พร้อมเลนส์ ALC High Transmission กับระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS, กล้อง Ultra-Sensing Periscope Telephoto 64MP ที่มาพร้อมระบบซูม 3x Optical Zoom กับระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และกล้อง Ultra Wide 48MP เรียกได้ว่า OPPO Find N3 เป็นสมาร์ตโฟนจอพับที่มีกล้องดีที่สุดในชั่วโมงนี้

และด้วยดีไซน์ที่เป็นสมาร์ตโฟนจอพับ ทำให้สามารถพับปรับองศาของหน้าจอได้หลายระดับ เช่น การใช้งานใน FlexForm ซึ่งจะแบ่งหน้าจอออกเป็น 2 ส่วน เหมาะกับการถ่ายภาพเซลฟี่แบบแฮนด์ฟรี โดยหน้าจอส่วนบนจะเป็นหน้าจอพรีวิวภาพ และหน้าจอส่วนล่างจะเป็นปุ่มชัตเตอร์ และเมนูต่าง ๆ หรือเปิดใช้งานพร้อมกัน 2 หรือ 3 หน้าต่างพร้อมกันด้วย Smart Split Screen และอีก 1 หน้าต่างแบบ Pop-Up Window รวมเป็น 4 หน้าต่างบนหน้าจอหลักขนาด 7.82 นิ้ว

ส่วนคุณสมบัติอื่น ๆ ก็จัดเต็มไม่แพ้เรือธงตัวท็อปรุ่นใดในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 2, หน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR5X ขนาด 16GB, หน่วยความจำ ROM แบบ UFS 4.0 ขนาด 512GB, แบตเตอรี่ความจุ 4805 mAh พร้อมระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 67W SUPERVOOC 2.0, ลำโพงเสียง 3 ตัว พร้อมระบบเสียงแบบ Spatial Audio กับ Dolby Atmos และปุ่ม Alert Slider ที่ด้านข้างตัวเครื่อง

 

สมาร์ตโฟนประสิทธิภาพยอดเยี่ยม (Best Performance Smartphone)

หากถามว่าสมาร์ตโฟนรุ่นไหน “แรง” ที่สุด iPhone คงเป็นรุ่นแรก ๆ ที่หลายคนนึกถึง เพราะเป็นที่รู้กันว่าชิปเซ็ตตระกูล A Series นั้นทรงประสิทธิภาพแค่ไหน อีกทั้งยังทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการ iOS ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และสำหรับในปีนี้ iPhone 15 Pro Max ก็ไม่ทำให้เราผิดหวังอีกเช่นเคยครับ

iPhone 15 Pro Max ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Apple A17 Pro รุ่นใหม่ล่าสุด ผลิตด้วยกระบวนการระดับ 3 นาโนเมตร พลังการประมวลผลของ CPU เร็วขึ้น 10% และ GPU เร็วขึ้น 20% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ประสิทธิภาพจัดว่าอยู่ในระดับท็อปของวงการ โดยเฉพาะ GPU ที่นอกจากจะทรงพลังแล้ว ยังรองรับระบบ Ray Tracing ที่ช่วยยกระดับการแสดงแสงเงาในเกมให้สมจริง โดยเป็นการทำงานในระดับฮาร์ดแวร์ ซึ่งเร็วกว่าซอฟต์แวร์ในรุ่นที่แล้วถึง 4 เท่า อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี MetalFX Upscaling ที่ใช้ประโยชน์จาก AI ของ Neural Engine ในการเพิ่มความละเอียดของกราฟิกในเกมให้คมกริบทุกอณู ซึ่งใช้พลังงานน้อยกว่า และช่วยลดภาระการประมวลผลของ GPU ไปด้วยในตัว ผลลัพธ์ที่ได้คือภาพกราฟิกในเกมที่ลื่นไหล สวยคม และสมจริง ยากที่ชิปเซ็ตรุ่นอื่นจะเทียบได้

เมื่อพูดถึง Neural Engine ในส่วนนี้ก็มีการอัปเกรดขึ้นเช่นกัน โดยประมวลผล AI เร็วขึ้น 2 เท่า หรือ 35 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาที ช่วยให้การทำงานต่าง ๆ ที่ต้องใช้ AI มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผลกราฟิก หรือการปรับแต่งรูปถ่าย และวิดีโอ 

นอกจากนี้ ภายในชิปเซ็ต A17 Pro ยังมีเอนจินพิเศษเพิ่มเข้ามา อย่าง ProRes codec สำหรับประมวลผลไฟล์วิดีโอ ProRes, Pro Display Engine สำหรับประมวลผลอัตราการรีเฟรชใน ProMotion และ AV1 decoder ที่ช่วยให้การสตรีมมิงวิดีโอมีคุณภาพดีขึ้นอีกด้วย

สำหรับระบบกล้องของ iPhone 15 Pro Max อาจจะไม่ถึงกับเป็นที่สุดเมื่อเทียบกับสมาร์ตโฟนรุ่นอื่น แต่ก็ครอบคลุมความต้องการส่วนใหญ่ของผู้ใช้ และใช้งานง่าย อีกทั้งยังรองรับการใช้งานระดับมือชีพด้วยฟีเจอร์ ProRES และ ProRAW ที่ให้ภาพถ่าย และวิดีโอความละเอียดสูง ซึ่งนำไปทำงานต่อได้ง่ายไม่ว่าจะรีทัช หรือตัดต่อ เรียกได้ว่าสามารถนำไปใช้แทนกล้องดิจิทัลตัวใหญ่ ๆ ได้หลายสถานการณ์

นอกจากนี้ iPhone 15 Pro Max ยังได้เปลี่ยนปุ่มปิดเสียงด้านข้างตัวเครื่องไปเป็นปุ่มแอ็กชัน ซึ่งสามารถตั้งค่าการใช้งานได้หลากหลาย ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเปิด-ปิดเสียงอย่างเดียวเหมือนที่ผ่านมา ทำให้การใช้งานในชีวิตประจำวันมีความยืดหยุ่น และสะดวกมากยิ่งขึ้น


อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ iPhone 15 Pro Max เป็น iPhone รุ่นแรกที่รองรับมาตรฐาน USB 3.0 สามารถถ่ายโอนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับการทำงานร่วมกับอุปกรณ์อื่น ๆ ยิ่งถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ตระกูล Apple อยู่แล้ว เช่น MacBook ยิ่งช่วยให้ workflow ที่ดีอยู่แล้วยิ่งดีขึ้นไปอีก ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ iPhone 15 Pro Max จึงคว้าตำแหน่งสมาร์ตโฟนประสิทธิภาพยอดเยี่ยมประจำปี 2023 ของเราไปได้อย่างไม่ยากเย็นครับ

 

สมาร์ตโฟนเพื่อการทำงานยอดเยี่ยม (Best Business Smartphone)

สำหรับสมาร์ตโฟนที่ตอบโจทย์คนรักงานได้ดีที่สุด จนได้รับตำแหน่งสมาร์ตโฟนเพื่อการทำงานยอดเยี่ยม (Best Business Smartphone) ประจำปี 2023 ก็คือ Samsung Galaxy Z Fold5 ซึ่งถูกปรับปรุงอัปเกรดใหม่จาก Galaxy Z Fold4 รุ่นพี่ทั้งในด้านฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเท่าใดนัก เพราะรุ่นนี้ถือว่าเป็นสมาร์ตโฟนเรือธงที่มาพร้อมกับฟังก์ชันที่คนทำงานต้องการอยู่อย่างครบครันภายในเครื่องเดียว และด้วยรูปลักษณ์ภายนอก เมื่อใครต่อใครได้เห็น ก็จะให้ภาพลักษณ์ของนักธุรกิจนำมาเลยทีเดียว

โดยสไตล์พื้นฐานของตัวเครื่องอยู่ในรูปแบบของสมาร์ตโฟนจอพับ (Foldable) จึงเป็นได้ทั้งสมาร์ตโฟนหน้าจอขนาด 6.2 นิ้ว สำหรับการใช้งานทั่วไปที่ต้องอาศัยความคล่องตัว และเมื่อกางออกก็จะกลายเป็นแท็บเล็ตขนาดย่อม ๆ ที่มีหน้าจอขนาด 7.6 นิ้ว สำหรับการใช้งานที่จริงจังมากขึ้น อีกทั้งมีการเปลี่ยนมาใช้กลไกบานพับแบบใหม่รุ่นที่ 3 แบบ Double Rail Hinge ที่พับประกบกันได้แนบสนิท จึงช่วยให้ตัวเครื่องขณะพับมีความบางกว่าเดิม ที่สำคัญคือรองรับการใช้งานร่วมกับปากกา S Pen ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการทำงานแบบจริงจัง ทำให้ Galaxy Z Fold5 กลายเป็นแชมป์ของสมาร์ตโฟนเพื่อการทำงานยอดเยี่ยมอย่างไร้ข้อกังขา

นอกจากนี้ Samsung Galaxy Z Fold5 ยังมีฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย สามารถใช้งาน Multitasking ได้อย่างเต็มรูปแบบ, รองรับการใช้งานแบบ Flex Mode ขณะพับหน้าจอในลักษณะคล้ายเครื่องแล็ปท็อป, แบ่งหน้าจอแบบ Multi Window ได้สูงสุด 3 หน้าจอ, แถบ Taskbar รองรับแอปพลิเคชันได้สูงสุด 12 รายการ, ไดคัทรูปภาพจากเว็บไซต์มาใช้งาน หรือจะเป็นการ Drag and Drop ส่งรูปข้ามแอป และฟีเจอร์ที่ข่วยยกระดับการทำงานให้สมบูรณ์แบบไปอีกขั้นก็คือ การเชื่อมต่อการใช้งานในรูปแบบของเครื่องเดสก์ท็อปผ่านฟีเจอร์ Samsung DeX ทั้งแบบไร้สาย และผ่านสาย

ด้านประสิทธิภาพโดยรวมก็แน่นอนว่าเร็วแรงลื่นไหลระดับท็อปตามสไตล์เรือธง ด้วยชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 2 พร้อมหน่วยความจำ ROM แบบ UFS 4.0 ขนาดสูงสุด 1TB ที่ถ่ายโอนข้อมูลได้รวดเร็ว และมีหน่วยความจำ RAM ขนาด 12GB กับฟีเจอร์ RAM Plus ที่สามารถนำเอา ROM มาทำเป็น Virtual RAM เพิ่มได้อีกสูงสุด 8GB เสมือนมี RAM รวมในระบบเป็น 20GB

และแน่นอนว่าการทำงานบางอย่างก็ต้องใช้ภาพถ่ายสวย ๆ มาประกอบด้วย ซึ่ง Galaxy Z Fold5 เอาอยู่ได้แบบสบาย ๆ เพราะมากับกล้อง 5 ตัว ความละเอียดสูงสุด 50MP ที่พร้อมเก็บภาพทุกระยะทุกรูปแบบ ทั้งกล้อง Wide, Ultra Wide และ Telephoto ที่ซูมแบบ Optical ได้ 3 เท่า (3x Optical Zoom) อีกทั้งยังสามารถบันทึกวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดถึงระดับ 8K (30fps) เลยทีเดียว และด้วย Flex Mode เราจึงสามารถตั้งเครื่องไว้เสมือนเป็นขาตั้งกล้องได้ทั้งกล้องด้านหน้า และกล้องด้านหลัง ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานได้มากกว่าที่สมาร์ตโฟนทั่วไปจะทำได้

นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุสูง ที่สามารถชาร์จไวได้ทั้งแบบใช้สาย และไร้สาย จึงสามารถรองรับการทำงานได้อย่างเต็มที่ตลอดทั้งวัน

 

สมาร์ตโฟนเล่นเกมยอดเยี่ยม (Best Gaming Smartphone)

ในฐานะ “เกมมิ่งโฟน” ROG Phone 7 Ultimate นับว่าเป็นรุ่นที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะหาได้แล้วในปี 2023 ด้วยคุณสมบัติที่ครอบคลุมทุกความต้องการของเกมเมอร์ในทุกรายละเอียด ตั้งแต่พลังการประมวลผล, ดีไซน์ ไปจนถึงรายละเอียดเล็ก ๆ ที่สมาร์ตโฟนส่วนใหญ่มองข้ามอย่างเช่นช่องต่อหูฟัง และระบบชาร์จแบบจ่ายไฟตรง

ROG Phone 7 Ultimate มากับขุมพลัง Snapdragon 8 Gen 2 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตที่แรงที่สุด ณ เวลาที่เปิดตัว เรื่องพลังการประมวลผลจึงไม่เป็นที่กังขา ขณะเดียวกัน ยังมาพร้อมกับหน่วยความจำ RAM มาตรฐาน LPDDR5X ขนาดสูงสุด 16GB และ ROM มาตรฐาน UFS 4.0 ขนาดสูงสุด 512GB ซึ่งมีอัตราการอ่าน-เขียนข้อมูลเร็วที่สุดในตลาดสมาร์ตโฟนในปัจจุบัน จึงสามารถเรียกใช้แอปพลิเคชัน และโหลดเข้าเกมได้อย่างรวดเร็ว และมอบประสบการณ์การเล่นที่ลื่นไหลตลอดทั้งเกม

ความพิเศษอย่างหนึ่งที่ทำให้ ROG Phone 7 Ultimate กลายเป็นสมาร์ตโฟนเกมมิ่งตัวจริง คือเทคโนโลยี Ray Tracing ที่ทำให้แสงเงาในเกมมีความสมจริงยิ่งขึ้น ซึ่งปกติแล้วเทคโนโลยีนี้จะอยู่บนการ์ดจอของคอมพิวเตอร์ PC และมีสมาร์ตโฟนเพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้นที่รองรับเทคโนโลยีนี้ ทำให้กราฟิกในเกมสวยงามสมจริงกว่าเมื่อเทียบกับสมาร์ตโฟนรุ่นอื่น แม้ว่าจะใช้ชิปเซ็ตตัวเดียวกันก็ตาม

อย่างไรก็ดีกราฟิกที่สวยคงไม่มีประโยชน์หากต้องมาแสดงผลอยู่บนหน้าจอที่ไม่มีคุณภาพ ROG Phone 7 Ultimate จึงจัดหน้าจอสเปกสูงมาให้ โดยเป็นจอ AMOLED ที่มีความแม่นยำของสีสูงระดับ Delta-E < 1 พร้อมความสว่างสูงสุด 1500 nits และที่สำคัญยังมีอัตราการตอบสนองของระบบสัมผัส (Touch Sampling Rate) สูงถึง 720Hz จึงไวต่อการสัมผัสเป็นอย่างมาก ช่วยให้ผู้ใช้ได้เปรียบในทุกแมตช์ เพราะมีการควบคุมได้ละเอียด แม่นยำ และรวดเร็วกว่า

ในส่วนของระบบเสียง ROG Phone 7 Ultimate มากับลำโพงสเตอริโอที่ดังกว่าสมาร์ตโฟนทั่วไป พร้อมรองรับระบบเสียง Hi-Res ทั้งแบบผ่านสาย และไร้สาย แถมยังมีช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรมาให้ด้วย ทำให้ใช้งานร่วมกับหูฟังคุณภาพสูงได้ ให้ผู้ใช้ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศของเกมได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเสียงดีเลย์

ดีไซน์ก็เป็นคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญสำหรับเกมมิ่งโฟน ซึ่ง ROG Phone 7 Ultimate นั้นมาในดีไซน์สไตล์ Futuristic ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร แต่ซ่อนความดุดันเอาไว้ และไม่ดูรกจนเกินไป นอกจากนี้ยังมีจอ LED ขนาดเล็กด้านหลังที่โชว์กราฟิกได้หลายแบบ ไม่ใช่แค่ไฟ RGB เหมือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังมีลูกเล่น Air Trigger หรือปุ่มพิเศษตรงขอบเครื่อง เพิ่มความยืดหยุ่นในการเล่น และให้อารมณ์ที่คล้ายกับการเล่นเกมคอนโซลอีกด้วย

อีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเกมมิ่งโฟนคือระบบระบายความร้อนที่ดี ซึ่ง ROG Phone 7 Ultimate มากับระบบระบายความร้อน GameCool 7 ที่ระบายความร้อนของชิปเซ็ตได้หลายทิศทาง ยิ่งได้ใช้ร่วมกับพัดลม AeroActive Cooler 7 ด้วยแล้ว ก็จะยิ่งระบายความร้อนได้เร็วขึ้นอีก จึงช่วยรับมือกับความร้อนของ Snapdragon 8 Gen 2 ได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ROG Phone 7 Ultimate ยังมีระบบ Direct Charging หรือชาร์จแบบจ่ายไฟตรงโดยไม่ผ่านแบตเตอรี่ จึงช่วยให้สามารถเล่นเกมไปชาร์จไปได้โดยไม่ต้องกลัวแบตเตอรี่เสื่อม เรียกว่าช่วยแก้ปัญหาเกมเมอร์ที่ชอบชาร์จไปเล่นไปได้อย่างตรงจุด หากเกมเมอร์ท่านใดไม่ติดขัดเรื่องงบ ROG Phone 7 Ultimate ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน

 

สมาร์ตโฟนเล่นเกมคุ้มค่ายอดเยี่ยม (Best Value Gaming Smartphone)

แน่นอนว่าสมาร์ตโฟนสำหรับการเล่นเกมที่สามารถตอบโจทย์เหล่าเกมเมอร์ได้ดี โดยพื้นฐานแล้วก็ต้องมาพร้อมกับหน่วยประมวลผลที่เร็วแรง, หน่วยความจำขนาดใหญ่, หน้าจอแสดงผลที่ลื่นไหล, การระบายความร้อนที่ดี, ฟีเจอร์พิเศษที่ช่วยเติมเต็มประสบการณ์ด้านการเล่นเกม, ลำโพงที่ให้เสียงดีมีมิติ, แบตเตอรี่ที่อึดทน และระบบชาร์จที่รวดเร็วทันใจ แต่ก็ไม่ใช่ว่าต้องมีราคาค่าตัวที่แพงเสมอไป เพราะในปี 2023 ก็มีอยู่หลายแบรนด์ที่เข้ามาเล่นในตลาดสมาร์ตโฟนเกมมิ่งรุ่นย่อมเยาราคาหลักพัน และรุ่นที่ดูคุ้มค่าเข้าตาทีมงานมากที่สุดจนได้รับตำแหน่งสมาร์ตโฟนเล่นเกมคุ้มค่ายอดเยี่ยม (Best Value Gaming Smartphone) ในครั้งนี้ไปครองก็คือ Tecno Pova 5 Pro 5G นั่นเอง

สำหรับ Tecno Pova 5 Pro 5G นั้นแม้จะมีราคาเริ่มต้นเพียง 6,699 บาท แต่คุณสมบัติที่ให้มานั้นถือว่าครบเครื่องเหล่าเกมเมอร์เลยทีเดียว ด้วยชิปเซ็ตเกมมิ่งประสิทธิภาพสูงอย่าง MediaTek Dimensity 6080 5G ที่เร็วแรงเหลือเฟือ แต่ประหยัดพลังงาน พร้อมรองรับเครือข่าย 5G ได้ในตัว, หน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB ที่ขยายเพิ่มด้วยฟีเจอร์ Extended RAM ได้อีกสูงสุด 8GB รวมเป็น 16GB, ระบบระบายความร้อนที่มาพร้อมพื้นที่กระจายความร้อนรวมถึง 12979 ตารางมิลลิเมตร, แบตเตอรี่ความจุ 5000mAh ที่มากับระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 68W Ultra Charge ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 100% ได้ภายในเวลาเพียง 45 นาที รวมทั้งมีความพิเศษอีกอย่างก็คือการรองรับการชาร์จแบตเตอรี่แบบ Bypass ซึ่งเป็นการจ่ายพลังงานไปที่เมนบอร์ดโดยตรงขณะเล่นเกม โดยไม่ต้องผ่านแบตเตอรี่ เพื่อไม่ให้แบตเตอรี่เกิดความร้อน หรือเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควรจะเป็น, จอแสดงผลแบบ 120Hz FHD+ ขนาด 6.78 นิ้ว ที่แสดงผลได้ลื่นไหลในระดับ 120 เฟรมต่อวินาที พร้อมตอบสนองต่อการสัมผัสได้ฉับไวในระดับ 240Hz, เซนเซอร์ Hard Gyroscope ที่ช่วยให้การควบคุมเกมมีความแม่นยำมากขึ้น, ลำโพงเสียงแบบคู่ที่รองรับระบบเสียงแบบ DTS พร้อมรองรับไฟล์เสียงความละเอียดสูง (Hi-Res), ฟีเจอร์ Game Space 2.0 และฟีเจอร์ Panther Engine 3.0 โดยทั้งหมดนี้ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ HiOS 13 ที่พัฒนาบนพื้นฐานของ Android 13

นอกจากคุณสมบัติภายในที่ตอบโจทย์เหล่าเกมเมอร์ได้เป็นอย่างดีแล้ว ดีไซน์ภายนอกก็ทำมาเอาใจเหล่าเกมเมอร์ด้วยเช่นกัน ด้วยดีไซน์แบบเมคาไลท์เทอร์โบที่มาพร้อมลวดลาย 3 มิติแนวหุ่นยนต์ ซึ่งความพิเศษก็คือมีแถบไฟ LED 9 สี แบบตอบโต้ได้ที่ด้านหลังตัวเครื่อง ที่สามารถโชว์แสงไฟได้หลายรูปแบบตามสถานะการทำงาน จึงช่วยเพิ่มความโดดเด่นสะดุดตาขณะจับถือใช้งานได้เป็นอย่างดี โดยพื้นผิวตัวเครื่องนี้เลือกใช้กระบวนการเคลือบแบบ NCVM (Non-Conductive Vacuum Metalize) เพื่อไม่ให้เป็นสื่อนำไฟฟ้า โดยรวมแล้วใครที่กำลังมองหาสมาร์ตโฟนราคาเบา ๆ ไว้เล่นเกมสักเครื่อง Tecno Pova 5 Pro 5G รุ่นนี้ตอบโจทย์ท่านได้อย่างแน่นอน

 

สมาร์ตโฟนดีไซน์ยอดเยี่ยม (Best Design Smartphone)

สำหรับเกณฑ์การพิจารณารางวัลสมาร์ตโฟนดีไซน์ยอดเยี่ยม (Best Design Smartphone) ในปีนี้ เราไม่ได้พิจารณาจากเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามแต่เพียงด้านเดียวเท่านั้น แต่จะนำเอาเรื่องของการออกแบบการใช้งานมาพิจารณาร่วมด้วย กล่าวคือต้องมีปัจจัยครบทั้งตัวเครื่องภายนอกที่สวยงามโดดเด่นมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง, วัสดุเกรดพรีเมียม, ความแข็งแรงทนทาน และการใช้งานที่สะดวกคล่องตัวซึ่งเกิดจากการออกแบบมาเป็นอย่างดี ซึ่งสุดท้ายแล้วสมาร์ตโฟนที่ได้รับตำแหน่งนี้ไปครองก็คือ Samsung Galaxy Z Flip5 นั่นเอง

อย่างแรก ด้วยการเป็นสมาร์ตโฟนจอพับไซส์เล็ก จึงมีขนาดที่กะทัดรัด พกพาได้สะดวกคล่องตัว โดยเมื่อพับจอ ตัวเครื่องจะมีขนาดเพียง 85.1x 71.9x15.1 มิลลิเมตรเท่านั้น โดยมีการปรับดีไซน์ให้สวยขึ้น และลงตัวมากขึ้นจาก Galaxy Z Flip4 รุ่นที่แล้ว ซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดก็คือจอ Flex Window ด้านนอกขนาด 3.4 นิ้วที่ใหญ่ขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าถึง 3.78 เท่า สามารถใช้งานได้แทบไม่ต่างจากจอหลัก และเราสามารถใช้ประโยชน์จากจอนอกนี้ได้มากกว่าเดิมหลายเท่าตัว พร้อมแกนพับแบบ Dual Rail รุ่นที่ 3 ที่ช่วยให้จอพับทั้ง 2 ฝั่งประกบกันได้แนบสนิท ทำให้เมื่อพับแล้วบางลงกว่าเดิม รวมทั้งมีความแข็งแรงแน่นหนามากขึ้นเพื่อต้องพับจอในองศาต่าง ๆ และแม้เมื่อพับแล้วจะดูเล็กกะทัดรัด แต่เมื่อกางออก ก็จะพบกับหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 6.7 นิ้วเลยทีเดียว เรียกว่าไม่ได้ตอบโจทย์สายแฟชั่นแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ด้านวัสดุที่ใช้ก็มีการอัปเกรดมาใช้กระจก Gorilla Glass Victus 2 ทั้งด้านที่เป็นหน้าจอด้านนอก และที่ด้านหลังตัวเครื่อง ซึ่งสามารถทนทานต่อการตกกระแทกจากที่สูงราว 1-2 เมตรได้มากขึ้น โดยเฉพาะกับพื้นผิวที่มีความแข็งสูง เช่นพื้นคอนกรีต หรือพื้นยางมะตอย ในขณะที่รอยขีดข่วนก็ยังคงป้องกันได้ดีเยี่ยม ส่วนที่บานพับ กับกรอบตัวเครื่องก็ยังคงเลือกใช้วัสดุที่แข็งแกร่งแบบ Armor Aluminum เช่นเคย ส่วนที่หน้าจอหลักนั้นมีการครอบทับด้วยกระจก Ultra Thin Glass ซึ่งรองรับการพับสูงสุด 200,000 ครั้ง และแน่นอนว่าตัวเครื่องยังคงมีคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นในระดับ IPX8

นอกเหนือจากความสะดวกในการพกพา, ดีไซน์ที่สวยหรูลงตัว และวัสดุระดับพรีเมียมแล้ว Samsung Galaxy Z Flip5 ก็ยังถูกออกแบบมาให้ช่วยเพิ่มความสะดวกต่อการใช้งานต่าง ๆ ได้ในรูปแบบที่สมาร์ตโฟนทั่วไปไม่สามารถทำได้ โดยเฉพาะการใช้งานแบบ Flex Mode พร้อมฟีเจอร์ Flex Mode Panel เช่นการถ่ายภาพ เมื่อพับครึ่งเราสามารถใช้ฐานตัวเครื่องเป็นขาตั้งกล้องได้ ทำให้ถ่ายภาพเซลฟี่ได้ง่ายขึ้น รวมถึงถ่ายภาพด้วยกล้องด้านหลังได้แบบไม่ตกเฟรม เพราะจอด้านนอกสามารถใช้พรีวิวภาพก่อนถ่ายได้ หรือจะใช้จอด้านนอกเก็บภาพถ่ายโดยไม่ต้องกางตัวเครื่อง ก็สามารถทำได้เช่นกัน

สำหรับคุณสมบัติอื่น ๆ นั้นก็ถือว่าอยู่ในระดับเรือธง ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอหลักแบบ Dynamic AMOLED 2X Infinity Flex Display ที่มีความสว่างสูงสุด 1750 nits พร้อมอัตราการรีเฟรชแบบ Adaptive Refresh Rate ที่ 1-120Hz, ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 8 Gen 2, กล้อง Dual Camera พร้อมระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS ที่รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K (60 fps) และลำโพงเสียงแบบคู่ที่รองรับระบบเสียงแบบ Dolby Atmos และ Dolby Digital Plus

 

สมาร์ตโฟนเครื่องนอกยอดเยี่ยม (Best Import Smartphone)

จริงอยู่ที่สมาร์ตโฟนที่มีวางจำหน่ายในบ้านเรานั้น มีให้เลือกซื้อทุกรุ่นแทบไม่แตกต่างกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะรุ่น หรือแบรนด์ที่เป็นที่นิยมกัน แต่ก็ยังมีมือถืออีกหลายรุ่นที่ยังไม่มีการนำเข้ามาวางจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการ ฉะนั้น อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการจับจองเป็นเจ้าของ ก็คือ การหาซื้อเครื่องนอกที่บรรดาร้านค้าต่าง ๆ หิ้ว หรือสั่งเข้ามาเอง

สำหรับสมาร์ตโฟนเครื่องนอกที่มีความน่าสนใจที่สุดในปีนี้ในความคิดเห็นของทีมงาน จนได้รับตำแหน่งสมาร์ตโฟนเครื่องนอกยอดเยี่ยม (Best Import Smartphone) ก็คือ Google Pixel 8 Pro เรือธงตัวใหม่ของ Google ซึ่งไม่ว่าจะออกมากี่รุ่น ทาง Google ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะนำเข้ามาทำตลาดในไทยอย่างเป็นทางการ แต่เนื่องจาก Pixel 8 Pro มาพร้อมกับคุณสมบัติระดับไฮเอนด์มากมาย พร้อมจุดขายสำคัญด้านซอฟต์แวร์ ทำให้มีหลายท่านที่พร้อมจะยอมจ่ายแพงกว่าปกติในการจับจองเป็นเจ้าของสมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นนี้

โดย Pixel 8 Pro ชูจุดเด่นด้าน AI ที่จะเข้ามาช่วยประมวลผลแบบจัดเต็ม พร้อมรองรับการอัปเดตระบบปฏิบัติการ Android และซอฟต์แวร์ได้นานถึง 7 ปี ฉะนั้นแม้เราจะต้องลงทุนจ่ายค่าตัวที่สูงในตอนนี้ แต่ก็สามารถใช้งานได้แบบยาว ๆ หลายปีโดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลอยแพ หรือถูกปล่อยให้ซอฟต์แวร์เป็นเวอร์ชันเก่าล้าสมัย

ด้านการประมวลผล รุ่นนี้มาพร้อมกับชิปเซ็ต Google Tensor G3 ที่เน้นเรื่องการประมวลผลด้าน AI มากขึ้น และมีการออกแบบร่วมกับ Google DeepMind เพื่อปรับแต่งให้รันโมเดล AI ของ Google ได้

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ถือว่ามีความโดดเด่นไม่แพ้กันนั่นก็คือกล้องถ่ายรูป ซึ่งประกอบด้วยกล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาดใหญ่ 1/1.31 นิ้ว กับระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS, กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล และกล้อง Telephoto ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล พร้อมระบบซูมแบบ 5x Optical Zoom ที่สำคัญคือได้มีการนำ Google AI มาช่วยในเรื่องของการถ่ายภาพ และวิดีโอ พร้อมกับเพิ่ม 2 ฟีเจอร์ใหม่ นั่นก็คือ Best Take ซึ่งจะเป็นการใช้ AI เพื่อเปลี่ยนใบหน้าของผู้คนเพื่อสร้างช็อตที่ต้องการ และอีกฟีเจอร์ก็คือ Magic Editor ที่สามารถย้ายวัตถุ หรือจัดองค์ประกอบต่าง ๆ ในภาพได้ ไม่เพียงเท่านั้น การถ่ายภาพในที่แสงน้อยก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะมีการใช้ AI มาช่วยประมวลผลเช่นกัน

นอกจากนี้ หน้าจอแสดงผลยังเป็นแบบ LTPO AMOLED ที่รองรับ Refresh Rate แบบยืดหยุ่นตั้งแต่ 10-120Hz ซึ่งได้เปรียบด้านการประหยัดพลังงาน พร้อมครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass Victus 2 สุดแกร่งเวอร์ชันใหม่ล่าสุด รวมถึงคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 ทำให้ Pixel 8 Pro เป็นมือถือเรือธงที่ดีที่สุดเท่าที่ Google เคยมีมา และเป็นสมาร์ตโฟนเครื่องนอกที่คุ้มค่าการลงทุนในระยะยาว

 

สรุปส่งท้าย

และทั้งหมดข้างต้นก็คือผลสรุปของรางวัล TMC Awards 2023 ที่มอบให้กับสมาร์ตโฟนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในแต่ละประเภทประจำปี 2023 ซึ่งแน่นอนว่าการคัดเลือกนี้ เป็นเพียงความคิดเห็นที่มาจากประสบการณ์ของทีมงาน Thaimobilecenter เท่านั้น และบางท่านอาจจะมีตัวเลือกในใจ หรือมุมมองที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งก็สามารถแวะเวียนมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ เพราะเราก็อยากทราบทรรศนะของท่านเช่นเดียวกัน ส่วนในปี 2024 นี้ จะมีสมาร์ตโฟนใหม่ ๆ รุ่นใดมาสร้างสีสันให้กับวงการอีกบ้าง แน่นอนว่าเราก็จะคอยอัปเดตข่าวสารความเคลื่อนไหวให้ทุกท่านได้ติดตามกันอย่างต่อเนื่องอีกเช่นเคย สำหรับวันนี้พวกเราทีมงานก็คงต้องขอลาไปก่อน ขอให้ทุกท่านมีความสุขในปี 2024 นี้ สวัสดีครับ


วันที่ : 13/1/2567

Tags :
  

Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy