พรีวิว OPPO Reno3 Pro ครั้งแรกในไทย สมาร์ทโฟนกล้องหน้าคู่ 44MP รุ่นแรกของโลก กับ 4 กล้อง 64MP พร้อมแบตชาร์จเร็ว VOOC 4.0 ในราคา 18,990 บาท
ในที่สุด OPPO ก็ได้ทำการเปิดตัวสมาร์ทโฟน OPPO Reno Series รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง OPPO Reno3 Pro ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว โดยเป็นการนำเอารุ่น OPPO Reno2 Series ที่เคยเปิดตัวในประเทศไทยเมื่อปีที่แล้ว มาพัฒนาต่อยอดในด้านดีไซน์ และคุณสมบัติภายในให้สดใหม่เหมาะกับสมาร์ทโฟนยุคปี 2020 มากยิ่งขึ้น และเนื่องในโอกาสที่ทีมงาน Thaimobilecenter ได้ทดลองใช้งาน OPPO Reno3 Pro เป็นกลุ่มแรกๆ ของประเทศไทย จึงไม่พลาดที่จะนำตัวจริงเสียงจริงมาทำการแกะกล่อง และพรีวิวให้ทุกท่านได้รับชมกัน หากพร้อมแล้ว ไปติดตามกันเลยครับ
สำหรับ OPPO Reno3 Pro นั้นมาในแพ็กเกจสีเขียวที่มีการเล่นลวดลายเป็นเส้นริ้ว โดยบริเวณหน้ากล่องจะมีการพิมพ์ชื่อรุ่น Reno3 Pro ด้วยตัวอักษรนูนให้เห็นแบบเด่นชัด
อุปกรณ์ภายในกล่องประกอบไปด้วย อแดปเตอร์สำหรับชาร์จแบตเตอรี่, คู่มือการใช้งาน, เอกสารการรับประกัน, เข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด, สายเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, หูฟังขนาด 3.5 มม. แบบ Earpods และเคสใส
อแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่ของ OPPO Reno3 Pro รองรับการจ่ายไฟที่กำลังสูงสุด 5V/6A (30W) ซึ่งเป็นการนำเอาเทคโนโลยี VOOC Flash Charge มาพัฒนาต่อยอดนั่นเอง แต่ครั้งนี้ OPPO Reno3 Pro ปรับระบบชาร์จเร็วเป็นเวอร์ชันใหม่ในชื่อ 30W VOOC Flash Charge 4.0 ทีถูกปรับจูนอัลกอริทึมในการจ่ายไฟใหม่ทั้งหมด พร้อมกำลังการจ่ายไฟสูงสุด 30W ส่งผลให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เต็มในเวลาที่รวดเร็วกว่าเดิม รวมทั้งยังได้ได้รับมาตรฐานจากสถาบันทดสอบด้านความปลอดภัยระดับโลกอย่าง TÜV Rheinland อีกด้วย
มาดูที่ตัวเครื่องกันบ้าง สำหรับ OPPO Reno3 Pro มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ Super AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ บนดีไซน์จอเจาะรูกล้องแบบคู่ที่เรียกว่า Dual Punch-Hole Display พร้อมรองรับการแสดงช่วงสีตามมาตรฐาน DCI-P3 และมีค่าความสว่างสูงสุดถึง 1200nits ตอบโจทย์การใช้งานกลางแจ้งได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังมีฟีเจอร์ตัดแสงสีฟ้าที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยจาก TÜV Rheinland
ที่ด้านบนของหน้าจอติดตั้งลำโพงสนทนา ที่ใช้เป็นลำโพงเสียงตัวที่สองในตัว พร้อมเซ็นเซอร์สำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Proximity Sensor หรือเซ็นเซอร์ตรวจวัดระยะห่าง เพื่อช่วยดับหน้าจออัตโนมัติเมื่อยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาแนบหู และ Ambient Light Sensor สำหรับปรับแสงของหน้าจอแสดงผลให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมแบบอัตโนมัติ ส่วนที่มุมทางด้านซ้ายของหน้าจอแสดงผล ติดตั้งชุดกล้องหน้าคู่ (Dual Punch-Hole Camera) ที่มีความละเอียดสูงสุดสุด 44 ล้านพิกเซลเป็นรุ่นแรกของโลก พร้อมรองรับฟีเจอร์การถ่ายภาพกลางคืนแบบ Ultra Night Selfie Mode เป็นรุ่นแรกของ OPPO รวมไปถึงฟีเจอร์ Dual Lens Bokeh สำหรับถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ โดยกล้องแต่ละตัวมีรายละเอียดดังนี้
- กล้องตัวหลักความละเอียด 44 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 พร้อมขนาดเซ็นเซอร์ 1/2.65 นิ้ว
- กล้อง Depth of Field ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 พร้อมขนาดเซ็นเซอร์ 1/5 นิ้ว
ที่ด้านล่างของหน้าจอแสดงผล มาพร้อมกับปุ่มควบคุมแบบสัมผัสบนหน้าจอ ประกอบไปด้วย ปุ่ม Recent Apps, ปุ่ม Home และปุ่ม Back
นอกจากนี้ ทาง OPPO ยังได้ติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบ Hidden Fingerprint Unlock 3.0 ที่สามารถปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือได้ในเวลาเพียง 0.34 วินาทีเท่านั้น
ที่ด้านบนของตัวเครื่องติดตั้งไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน
ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่อง มาพร้อมกับปุ่มปรับระดับเสียง และถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Triple-Slot
ที่ด้านขวาของตัวเครื่องมีปุ่ม Power สำหรับล็อกหน้าจอแสดงผล หรือเปิด-ปิด เครื่อง
ที่ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบไปด้วย ช่องเสียบหูฟังมาตรฐานขนาด 3.5 มม., ไมโครโฟนสำหรับสนทนา, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C และลำโพงเสียงตัวหลัก ที่รองรับไฟล์เสียงแบบ Hi-Res Audio และระบบเสียงแบบ Dolby Atmos
ที่ด้านหลังของตัวเครื่องมาพร้อมกับบอดี้ขอบโค้งผิวสัมผัสมันเงา พร้อมกับสีสันตัวเครื่องที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากท้องฟ้าในเวลาต่างๆ โดยสีที่ทีมงานได้รับมาทดลองใช้งานในวันนี้คือสีดำ Midnight Black ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืนนั่นเองครับ ส่วนสีที่นำเข้ามาวางจำหน่ายมีทั้งหมด 3 คือ สีดำ Midnight Black ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืน, สีน้ำเงิน Auroral Blue ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากท้องฟ้าทางยุโรปเหนือในยามค่ำคืน ซึ่งเป็นสถานที่ที่เรามักจะเห็นปรากฏการณ์แสงเหนือ (Aurora) และสี Sky White Limited Edition ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากท้องฟ้ายามเช้า
ที่ด้านบนติดตั้งชุดกล้องหลัง 4 ตัว (Quad Camera) แบ่งออกเป็น
- กล้อง Telephoto ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 รองรับการซูมภาพแบบ Hybrid Zoom ที่ระดับ 5 เท่า และรองรับการซูมภาพแบบ Digital Zoom ที่ระดับ 20 เท่า
- กล้องตัวหลัก Ultra-Clear Main Camera ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.8
- กล้อง Mono Lens ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f2/.4
- กล้อง Ultra Wide-angle Lens ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2 องศาในการรับภาพกว้าง 119.9 องศา
ความพิเศษของกล้อง OPPO Reno3 Pro คือการมาพร้อมกับเทคโนโลยี Ultra Clear 108MP ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพได้ที่ความละเอียดสูงสุด 108 ล้านพิกเซล ผ่านการทำ Sub-pixel เพื่อให้กล้องสามารถจับคู่ และเปรียบเทียบพิกเซลย่อยของภาพต้นฉบับที่มีพิกเซลต่ำ จากนั้นจะช่วยเติมพิกเซลที่ขาดหายไปเพื่อให้ไฟล์ภาพมีความละเอียดสูงที่สุด รวมไปถึงฟีเจอร์ Ultra Dark Mode ที่ช่วยถ่ายภาพกลางคืนได้อย่างคมชัดโดยไม่จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้อง แต่ครั้งนี้มีการอัปเกรดอัลกอริทึมใหม่ ซึ่งหากตรวจพบว่าสภาพแสงโดยรอบมีแสงต่ำกว่า 1 lux ก็จะทำการเปิดฟีเจอร์ Ultra Dark Mode ให้ใช้งานโดยทันที
ภายใต้ตัวเครื่องสวยๆ แบบนี้ยังติดตั้งแบตเตอรี่มาให้ขนาดค่อนข้างใหญ่ที่ 4025mAh ซึ่งเมื่อนำแบตเตอรี่ไปชาร์จกับระบบ 30W VOOC Flash Charge 4.0 แล้ว ทาง OPPO ระบุว่า OPPO Reno3 Pro จะสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-50% ได้ในเวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น
เปิดเครื่อง พร้อมทดสอบใช้งานในเบื้องต้น
สำหรับ OPPO Reno3 Pro มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย ColorOS 7 ซึ่งเป็นเวอร์ชันใหม่ล่าสุด โดยเน้นไปในเรื่องของประสิทธิภาพการใช้งานที่ลื่นไหล และดีไซน์ที่ดูสะอาดตา
สำหรับแอปพลิเคชันเคชันเด่นที่ติดตั้งมาให้จากโรงงานด้วยนั่นก็คือ Soloop หรือแอปพลิเคชันที่ช่วยให้การตัดต่อวิดีโอเป็นไปอย่างอย่างง่ายดายตอบโจทย์เหล่า Vlogger ได้เป็นอย่างดี และเป็นแอปพลิเคชันเดียวกันกับที่ติดตั้งไว้บนรุ่นเรือธงอย่าง OPPO Find X2 Series 5G นั่นเอง
ในส่วนของประสิทธิภาพการใช้งาน OPPO Reno3 Pro เลือกใช้ชิปเซ็ตตัวท็อปรุ่นใหม่จากแบรนด์ MediaTek กับรุ่น Helio P95 P95 ที่โดดเด่นเรื่องการเล่นเกม และการประมวลผลด้าน AI ประกบคู่กับหน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB และหน่วยความจำภายใน (ROM) ความจุ 256GB ซึ่งเมื่อนำไปทดสอบประสิทธิภาพด้านการทำงานโดยรวมด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu พร้อมเปิดฟีเจอร์ High Performance Mode สำหรับช่วยรีดประสิทธิภาพของตัวเครื่องให้ทำงานอยู่ในระดับสูงสุด ก็พบว่า OPPO Reno3 Pro สามารถทำคะแนน 229,171 คะแนน
ซึ่งเมื่อลองนำไปเล่นเกมยอดนิยมอย่าง RoV พร้อมปรับกราฟิกเป็นโหมดเฟรมเรทสูง ก็พบว่าสามารถเล่นได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด โดยมีค่า FPS อยู่ระหว่าง 58-60 ตลอดทั้งเกมครับ
เรียกได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนระดับกลางรุ่นใหม่ล่าสุดที่ค่อนข้างน่าสนใจอีกหนึ่งรุ่นเลยทีเดียว สำหรับ OPPO Reno3 Pro เปิดราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยเอาไว้ที่ 18,990 บาท มีให้เลือกเพียงรุ่นเดียวคือรุ่น RAM 8GB + ROM 256GB โดยเปิดให้สั่งจองระหว่างวันที่ 1-7 พฤษภาคม 2563 นอกจากนี้ ผู้ที่สั่งจอง OPPO Reno3 Pro ในช่วงเวลาดังกล่าวจะได้รับฟรี กระเป๋า OPPO Bag มูลค่า 1,490 บาท พร้อมประกันหน้าจอแตก E-VIP ระยะเวลา 1 ปี มูลค่า 6,000 บาท และส่วนลดพิเศษในวันรับเครื่อง 500 บาท รวมมูลค่าทั้งหมด 7,990 บาท (สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ ณ จุดขาย)
นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชันพิเศษจากผู้ให้บริการเครือข่าย AIS, dtac และ TrueMove H เมื่อซื้อเครื่อง OPPO Reno3 Pro พร้อมสมัครแพ็กเกจที่กำหนด จะได้รับส่วนลดสูงสุด 10,000 บาท ราคาเริ่มต้น 8,990 บาทเท่านั้น สำหรับใครที่สนใจก็สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ตามวัน และเวลาดังกล่าวนะครับ ส่วนรีวิวฉบับเต็มของ OPPO Reno3 Pro จากทีมงาน Thaimobilecenter รอติดตามได้ในเร็วๆ นี้ครับ
นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 29/4/2563
