เมื่อ Motorola กลายเป็นอดีตยักษ์ใหญ่แบรนด์เดียว ที่ดูเหมือนจะกลับมาในสงครามมือถืออันดุเดือด
ท่ามกลางการแข่งขันอันดุเดือดของสมาร์ทโฟนทุกระดับ จากการเข้ามาของมือถือแบรนด์ประเทศจีนที่เน้นแนวทางการผลิตมือถือสเปกดีในราคาที่ไม่แพงมากนัก ทำให้แบรนด์มือถือยักษ์ใหญ่หลายต่อหลายแบรนด์ที่เราคุ้นชื่อ เริ่มค่อย ๆ หายไปจากท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็น LG, BlackBerry, HTC หรือแม้แต่ Nokia
แม้ว่าบางแบรนด์อาจไม่ได้ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานในลำดับต้น ๆ เหมือนกับแต่ก่อน แต่พวกเขาเหล่านี้ก็ยังไม่หายไปไหน เพราะบางแบรนด์มีการถอยไปตั้งทัพใหม่เพื่อปรับกลยุทธ์ และกลับบุกตลาดอีกครั้ง เช่นเดียวกับแบรนด์ Motorola ที่กลับมาสร้างเสียงฮือฮาให้กับตลาดมือถือทั้งในประเทศ และต่างประเทศอีกครั้ง และดูเหมือนว่าจะเป็นอดีตยักษ์ใหญ่ที่ดูจะกลับมาได้ค่อนข้างสวยงามเลยทีเดียวครับ
ขายมือถือสเปกดี ในราคาที่สูสีกับแบรนด์จีนเจ้าตลาด
ก่อนหน้านี้ Motorola ทำสมาร์ทโฟนอยู่หลายซีรีส์ ซึ่งหนึ่งในซีรีส์ที่หลายคนจำกันได้นั่นก็คือ Moto Z Series ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนกลุ่มเรือธง แต่เมื่อปี 2019 ที่ผ่านมามือถือ Z Series รุ่นใหม่อย่าง Moto Z4 กลับไมม่ได้เป็นมือถือเรือธงเหมือนกับที่หลายคนคาดหวังไว้ เพราะ Moto Z4 กลับกลายเป็นมือถือระดับกลางที่ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 675 เท่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นสัญญาณที่ค่อนข้างเห็นได้ชัดว่า จริง ๆ แล้ว Motorola ต้องการปรับกลยุทธ์การปล่อยมือถือของตนเองตั้งแต่ตอนนั้น
moto g 5G Plus
ในปี 2020 แผนการดังกล่าวก็ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จ เพราะ Motorola ได้สร้างเสียงฮือฮาด้วยการเปิดตัวมือถือรุ่น Moto G 5G Plus ซึ่งชูจุดเด่นด้านการเป็นสมาร์ทโฟน 5G ที่มีสเปกพร้อมท้าชนทุกค่าย ทั้ง Snapdragon 765G, RAM 8GB, จอ 90Hz และแบต 5000mAh ในราคาวางจำหน่ายที่สูสีกับมือถือแบรนด์จีนเจ้าตลาด ที่ 9,990 บาทไทยเท่านั้น ซึ่ง Moto G 5G Plus นับว่าเป็นมือถือ 5G รุ่นแรก ๆ ในบ้านเราที่กล้าเปิดราคาขายไม่ถึง 10,000 บาท สวนทางกับการตั้งราคามือถือ 5G ของหลาย ๆ ค่ายในตอนนั้นพอสมควร
หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับ Moto G 5G Plus ทาง Moto ก็หันไปพัฒนามือถือตระกูล G Series รุ่นใหม่ ๆ อีกหลายต่อหลายรุ่น ซึ่ง Moto เน้นกลยุทธ์ไปที่ราคาวางจำหน่ายของมือถือที่ไม่เกิน 10,000 บาท แต่อัดสเปกเด่นบางอย่างที่เป็นที่ต้องการของตลาดมาให้แบบเต็มพิกัด เช่น Moto G30 ที่มาพร้อมจอ 90Hz และกล้อง 4 ตัว 64 ล้านพิกเซล ในราคาขาย 5,999 บาทไทย หรือจะเป็นมือถือรุ่นใหม่ที่เปิดตัวไปสด ๆ ร้อน ๆ อย่าง Moto 60 ที่มาพร้อมกล้องหลัง 108 ล้านพิกเซล, จอ 120Hz ละแบตอึด 6000mAh ซึ่ง Moto ตั้งราคาขายในอินเดียเพียงแค่ราว ๆ 7,500 บาทเท่านั้น ซึ่งเรียกได้ว่าราคาท้าชนกับคู่แข่งที่สเปกใกล้เคียงกันอย่าง Redmi Note 10 Pro เต็ม ๆ
เรือธงสเปกแรงในราคาที่เข้าถึงง่าย
ใช่ว่าการกลับมาของ Motorola รอบนี้จะเน้นแค่มือถือระดับกลางเพียงอย่างเดียว เพราะ Moto ยังขยับไปจับกลุ่มมือถือสเปกแรงระดับเรือธงอย่าง Motorola edge S ที่มาพร้อมกับสเปกแรงระดับเรือธงด้วยชิป Snapdragon 870, จอ Refresh Rate 90Hz, แบตชาร์จไว 5000mAh, รองรับ 5G และ Wi-Fi 6 ซึ่งสเปกทั้งหมดทั้งมวลนี้ Moto มัดรวมมาให้ในราคาขายที่จีนราว ๆ 9,300 บาทเท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า Moto ในตอนนี้ไม่ได้เน้นแข่งขันในมือถือเรือธงตลาดบนที่เน้นทำมือถือพรีเมียมราคาแพง แต่เน้นค่อย ๆ เจาะกลุ่มตลาดไปทีละนิด
ในส่วนของมือถือตลาดพรีเมียม Moto ก็ยังไม่ทิ้งไปไหน เพราะยังมีการเปิดตัว Motorola Edge+ เรือธงตัวจริงที่มาพร้อมกับชิป Snapdragon 865, RAM 12GB และกล้อง 108 ล้านพิกเซล แต่ด้วยราคาวางจำหน่ายที่สูงราว 32,000 บาท และเน้นวางจำหน่ายแค่เพียงบางประเทศ จึงอาจทำให้ Motorola Edge+ จะยังไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Hero Product ที่เน้นยอดขายสักเท่าไหร่ แต่การเปิดตัวมือถือเรือธงในกลุ่มนี้ก็แสดงให้เห็นว่า Moto ยังคงมีประสิทธิภาพในการพัฒนามือถือระดับไฮเอนด์อยู่นั่นเอง
นอกจากนี้ Motorola ยังแสดงให้เห็นว่า พวกเขายังมีความก้าวหน้าด้านนวัตกรรม เพราะก่อนหน้านี้ทาง Motorola ได้นำมือถือฝาพับสุดคลาสิกอย่าง Motorola razr มาปัดฝุ่นใหม่ในชื่อ razr 5G ซึ่งชูจุดเด่นมากับนวัตกรรมหน้าจอพับได้ในรูปแบบฝาพับ ซึ่งแบรนด์มือถือที่สามารถพัฒนามือถือจอพับลักษณะนี้ จนสามารถวางจำหน่ายแบบ Mass Product ได้ ก็มีเพียงแค่ 2 แบรนด์เท่านั้น นั่นก็คือ Samsung และ Motorola
การ Comback ครั้งนี้ยังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งหาก Motorola สามารถเจาะกลุ่มตลาดมือถือระดับกลาง และมือถือระดับรองท็อปที่มีการแข่งขันสูงได้สำเร็จ ในอนาคตก็ไม่แน่ว่าเราอาจได้เห็น Motorola กลับมาเป็นแบรนด์ทีครองส่วนแบ่งทางการตลาดในระดับ Top 5 ก็เป็นได้ครับ
นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 21/4/2564
