ตอนนี้คุณอยู่ที่ >> หน้าแรก >> หน้ารวม บทความโทรศัพท์มือถือน่าสนใจ >> เปรียบเทียบ Apple Watch กับ Android Wear ฝั่งไหนคือ SmartWatch ที่ดีที่สุด?


เปรียบเทียบ Apple Watch กับ Android Wear ฝั่งไหนคือ SmartWatch ที่ดีที่สุด?


บทความนี้จะทำการเปรียบเทียบ Apple Watch และ Android Wear ในแง่มุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านรูปลักษณ์, การดีไซน์, หน้าตาอินเตอร์เฟสภายใน, หน้าจอ, แบตเตอรี่, ระบบการ Tracking ต่างๆ รวมไปถึงด้านราคาด้วย คาดว่าคงจะมีประโยชน์ไม่น้อยสำหรับผู้ที่คิดจะซื้อ SmartWatch มาใช้งานสักเรือน พร้อมแล้วไปดูกันเลยครับ

 

ด้านรูปลักษณ์และการออกแบบ

ทางฝั่ง Apple Watch นั้นจะมีให้เลือก 3 รุ่น คือ Apple Watch Sport, Apple Watch และ Apple Watch Edition ซึ่งตัวเรือนจะมีให้เลือกแบบ 38 มิลลิเมตร และ 42 มิลลิเมตร หน้าปัดมีลักษณะสี่เหลี่ยม มีความโค้งมน ด้านข้างมีเม็ดมะยมและปุ่มพาวเวอร์

อีกทั้ง Apple Watch นั้น สามารถเข้ากันได้กับสายหลากหลายแบบ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความหรูหราโดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่น Apple Watch Edition ที่ตัวเรือนทำมาจากทองคำ 18 กะรัต

ส่วน Android Wear นั้น ด้านรูปลักษณ์และการออกแบบก็ขึ้นอยู่กับยี่ห้อต่างๆ เช่น Moto 360 นั้นมีหน้าปัดเป็นวงกลม ดูเรียบง่าย ส่วน LG G Watch R นั้นมีหน้าปัดเป็นวงกลมเช่นเดียวกับ Moto 360 แต่รูปทรงโดยรวมดูสปอร์ตกว่า และ Asus ZenWatch หน้าเป็นเป็นทรงสี่เหลี่ยม มีความโค้งมน ขอบด้านข้างสีเงิน

ซึ่งในส่วนของการดีไซน์ด้านรูปลักษณ์ภายนอกนั้น เป็นมุมมองความงามของแต่ละปัจเจกบุคคล อีกทั้ง Apple Watch และ Android Wear นั้น ผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนสายได้ตามความต้องการอีกด้วย

 

อินเทอร์เฟส

ในด้านอินเทอร์เฟสภายในนั้น Apple Watch จะดูสะอาดตา อีกทั้งไอคอนแอปพลิเคชันก็มีหน้าตาคล้ายใน iPhone และ iPad ทำให้ผู้ใช้ที่เคยใช้งาน iOS มาก่อนนั้น ก็สามารถที่จะใช้ Apple Watch ได้อย่างง่ายดาย ในส่วนของ Android Wear นั้น อินเทอร์เฟสด้านในมีความคล้ายคลึงกับ Google Now มากกว่า และความสามารถในการเพิ่มเติมหลากหลายของหน้าปัดนาฬิกานั้น ทั้งสองค่ายก็สามารถทำได้ดีในระดับที่พอกันครับ

 

ราคา

เป็นที่แน่นอนว่า Apple Watch นั้น มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ $349 ซึ่งเป็นราคาต่ำที่สุดของ Apple Watch แล้ว ผิดกับฝั่ง Android Wear ที่มีตัวเลือกในด้านราคาที่หลากหลายกว่า เช่น Asus ZenWatch มีราคาเริ่มต้นที่ $199 หรือจะเป็น LG G Watch R ที่มีราคา $299 ส่วน Moto 360 นั้น ก็มีราคาเริ่มต้นที่ $249 ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาของฝั่ง Android Wear นั้น มีราคาต่ำกว่า Apple Watch ทั้งสิ้น

 

หน้าจอและแบตเตอรี่

Apple Watch ขนาด 38 มม. มีขนาดหน้าจอ 1.5 นิ้ว ความละเอียด 272x340 Pixels ส่วนขนาด 42 มม. นั้น หน้าจอมีขนาด 1.65 นิ้ว 312x390 Pixels ซึ่งภาพที่ให้ก็มีความคมชัด ส่วนขนาดหน้าจอของ Android Wear นั้นก็มีหลายหลายเช่นกัน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่น อย่างเช่น LG G Watch R มีขนาดหน้าจอ 1.3 นิ้ว ความละเอียด 320 x 320 Pixels และรุ่น LG G Watch มีหน้าจอขนาด 1.65 นิ้ว ความละเอียด 280 x 280 Pixels ซึ่งขนาดหน้าจอขนาดเล็กอาจจะเหมาะกับผู้หญิง ส่วนหน้าจอขนาดที่ใหญ่คงเหมาะกับผู้ชายเช่นกัน

ในส่วนของการเปรียบเทียบด้านแบตเตอรี่นั้น Apple Watch เมื่อใช้งานตามปกติจะใช้งานได้ถึง 18 ชั่วโมงด้วยกัน แต่ถ้าเป็น Android Wear ความสามารถในด้านแบตเตอรี่ก็ยอมเปลี่ยนไปตามรุ่นต่างๆ  อย่างเช่น Samsung Gear Live ที่มีแบตเตอรี่ให้ 300 mAh จะใช้งานได้เพียงวันต่อวันเท่านั้น แต่ Sony Smartwatch 3 มีแบตเตอรี่ให้ 420 mAh ถือว่ามากที่สุดในตระกูล Android Wear สามารถใช้งานตามปกติได้ยาวนานถึง 2 วันด้วยกัน

 

แอปพลิเคชันและการเชื่อมต่อ

ทางฝั่ง Apple Watch นั้น มีแอปพลิเคชันที่หลากหลาย รวมถึงในการเชื่อมต่อระหว่าง iPhone กับ Apple Watch ก็ทำได้อย่างดี ส่วนทางฟากของ Android Wear นั้นก็มีแอปพลิเคชันที่รองรับการใช้งานไม่น้อยหน้าเช่นกัน เพราะหลายแอปพลิเคชันชันเริ่มมีการพัฒนาเข้าให้กับอุปกรณ์ Android Wear อยู่ไม่น้อย

ในด้านการเชื่อมต่อเข้ากับสมาร์ทโฟน จะเห็นว่าทางฝั่ง Android จะเหนือกว่าเล็กน้อยเพราะสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน Android ได้หลากหลายรุ่น รวมถึงการเชื่อมต่อ Wi-Fi ที่เป็นอิสระ ส่วน Apple Watch นั้น การเชื่อมต่อโดยหลักยังคงต้องพึ่งพา iPhone อยู่เป็นหลัก

 

ระบบ Tracking

ฝั่ง Android Wear นั้น ระบบการ Tracking ก็สามารถทำได้เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นการนับจำนวนเก้าที่เดินหรือวิ่ง รวมถึงระยะทาง อัตราการเต้นของหัวใจต่างๆ ก็สามารถทำได้ร่วมกับแอปพลิเคชันอย่าง Google Fit ที่จะช่วยบันทึกทุกอย่างเกี่ยวกับสุขภาพเอาไว้ และการที่ Android Wear มีอิสระในการเชื่อมต่อ Wi-Fi ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน แต่ถ้าเชื่อมต่อ Wi-Fi ไว้ ก็จะยังรับการแจ้งเตือนต่างๆ ได้เหมือนเดิม

ระบบ Tracking ต่างๆ บน Apple Watch นั้น ถือว่าทำงานได้ดีไม่แพ้ Android Wear เลย และมีแอปพลิเคชัน Health ที่จะช่วยเก็บบันทึกทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่า Apple Watch นั้น จะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพเมื่อไม่ได้เชื่อมต่อ iPhone เป็นเพราะว่า Apple Watch นั้น ยังคงต้องพึ่งพา iPhone เป็นหลักนั่นเอง

ถ้าหากจะตัดสินใจซื้อ SmartWatch สักเรือน ไม่ว่าจะเป็น Apple Watch หรือ Android Wear นั้น ก็ต้องดูปัจจัยหลายๆ ด้าน รวมถึงปัจจัยที่สำคัญคือ สมาร์ทโฟนที่เรากำลังใช้งานอยู่ด้วย เป็นเพราะว่า Apple Watch นั้น จะเชื่อมต่อกับได้กับ iPhone 6, iPhone 6 Plus, iPhone 5S, iPhone 5C และ iPhone 5 เท่านั้น ส่วน Android Wear ถึงจะมีข่าวว่าสามารถเชื่อมต่อกับ iPhone ได้ก็จริง แต่ไม่อาจทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเท่ากับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนที่เป็น Android

เพราะฉะนั้นแล้ว การเลือกซื้อ SmartWatch นั้น ควรจะเลือกใช้ระบบปฏิบัติเดียวกันกับสมาร์ทโฟนที่ใช้ประจำน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดครับ

 

Thaimobilecenter.com

 



วันที่ : 19/5/58


  แสดงความคิดเห็นที่นี่
ชื่อผู้โพสต์  (สมาชิกlogin ที่นี่) / สมัครสมาชิก
*
รายละเอียด
*

 
           Tags | More Smiles
ใส่ปี พ.ศ. ปัจจุบัน   ใส่เฉพาะปี พ.ศ. 4 ตัวเท่านั้น  
 












    Catalog มือถือ     market     Review มือถือ      ราคามือถือ     forum
Catalog มือถือ
Catalog มือถือ Nokia
Catalog มือถือ Samsung
Catalog มือถือ SonyEricsson
Catalog มือถือ i-mobile
Catalog มือถือ LG
Catalog มือถือ BlackBerry
ลงประกาศสินค้ามือถือ
สมัครสมาชิก
หน้าแรกตลาดซื้อขายมือถือ
 
หน้าแรกรีวิว
รีวิว มือถือ Nokia
รีวิว มือถือ Samsung
รีวิว มือถือ Motorola
รีวิว มือถือ LG
 

ราคามือถือ Samsung
ราคามือถือ iPhone
ราคามือถือ Huawei
ราคามือถือ OPPO
ราคามือถือ Vivo
   
   
หน้าแรก cafe
Nokia club
ตั้งหัวข้อใหม่
 

© Copyright all rights reserved : ThaiMobileCenter.com