พรีวิว (Preview) Asus ZenFone Max Plus สมาร์ทโฟนกล้องคู่มุมกว้าง 120 องศา พร้อมจอ Full View 5.7 นิ้ว และแบตเตอรี่ใหญ่จุใจ 4130 mAh บนบอดี้โลหะ กับราคาสั่งจองในไทยคุ้มๆ เพียง 5,870 บาท!
ช่วงปี 2017 ที่ผ่านมา สมาร์ทโฟนแบรนด์ Asus อาจจะไม่ถูกพูดถึงมากนักในบ้านเรา แต่ล่าสุดทาง Asus ก็ได้ออกมาปลุกกระแสตลาดสมาร์ทโฟนในบ้านเราอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัว Asus ZenFone Max Plus สมาร์ทโฟนซีรีส์ใหม่ล่าสุดจากแบรนด์ Asus ซึ่งมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์เทรนด์ของสมาร์ทโฟนในปี 2018 ไม่แพ้คู่แข่งจากแบรนด์ชั้นนำอื่นๆ ในบ้านเราครับ ไม่ว่าจะเป็นกล้องคู่ (Dual Camera) ที่มีมุมกว้างถึง 120 องศา, จอแสดงผลแบบ Full View ขอบบางเฉียบขนาดใหญ่ 5.7 นิ้ว บนอัตราส่วนแบบ 18:9 ซึ่งมีขนาดกะทัดรัดเทียบเท่ากับสมาร์ทโฟนขนาดจอ 5.2 นิ้วเท่านั้น และที่สำคัญก็คือมีแบตเตอรี่ไซส์บิ๊กจุใจถึง 4130 mAh ดังนั้นจึงสามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่ตลอดทั้งวันโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการสิ้นเปลืองพลังงาน อีกทั้งยังมาพร้อมกับจุดเด่นที่น่าสนใจอีกมากมาย และในวันนี้ทีมงานเว็บไซต์ไทยโมบายเซ็นเตอร์ของเราก็ได้นำเครื่องตัวเป็นๆ ของ Asus ZenFone Max Plus รุ่นนี้มาพรีวิวให้ทุกท่านได้ชมกันแล้วครับ
ดีไซน์โดยรวมของ Asus ZenFone Max Plus นั้นต้องยอมรับว่าดูแล้วชวนให้นึกถึงสมาร์ทโฟนรุ่นดังบางรุ่น โดยเฉพาะการจัดวางตำแหน่งของกล้องคู่ด้านหลัง กับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือนั้นดูแล้วคล้ายกับ OnePlus 5T อยู่ไม่น้อย รวมถึงสมาร์ทโฟนกล้องคู่รุ่นยอดนิยมอย่าง iPhone 7 Plus หรือ iPhone 8 Plus
ส่วนที่ด้านหน้าด้วยการที่เป็นจอ Full View ดูรวมๆ จึงไม่ได้แตกต่างไปจากสมาร์ทโฟนจอ Full View รุ่นอื่นๆ มากนัก แต่โดยรวมก็นับว่า Asus ZenFone Max Plus นั้นมีดีไซน์ที่ทันสมัยน่าใช้งาน
และมาพร้อมกับเทคโนโลยีการผลิตตัวเครื่องแบบ Unibody ที่ใช้โลหะอะลูมิเนียมขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกัน จึงดูสวยงาม และมีความแข็งแรงทนทาน
เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่บริเวณส่วนกลางของด้านหลังตัวเครื่อง สามารถสแกนปลดล็อกได้ภายในเวลาเพียง 0.3 วินาที ซึ่งก็สามารถใช้งานได้สะดวกรวดเร็ว เพราะแยกส่วนออกมาชัดเจน คลำหาได้ง่าย ไม่ต้องคอยระวังว่านิ้วจะไปโดนเลนส์กล้อง
เส้นตรงที่พาดผ่านที่ด้านบน และด้านล่างก็คือส่วนของเสารับสัญญาณนั่นเอง
จอแสดงผลเป็นแบบ IPS Full View ในอัตราส่วนแบบ 18:9 ตามสมัยนิยม พร้อมความละเอียดที่ระดับ HD+ หรือ 1440x720 พิกเซล ซึ่งมีอัตราส่วนของจอภาพกับตัวเครื่อง (Screen to Body Ratio) อยู่ที่ 80%
ส่วนกระจกที่ครอบทับเป็นกระจกขอบนูน 2.5D Glass
แม้จะมีขนาดของหน้าจอที่ใหญ่ถึง 5.7 นิ้ว แต่กลับมีขนาดที่กะทัดรัดเทียบเท่ากับสมาร์ทโฟนจอ 5.2 นิ้วทั่วไป
ที่ด้านบนของหน้าจอประกอบไปด้วยลำโพงหูฟังสำหรับการสนทนา, กล้องด้านหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล และเซ็นเซอร์ Proximity และเซ็นเซอร์ Ambient Light
ที่ด้านล่างของตัวเครื่องมีลำโพงเสียง, ไมโครโฟน พร้อมพอร์ตเชื่อมต่อแบบ microUSB
ที่ด้านบนของตัวเครื่องมีช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร และไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน
ที่ด้านขวาของตัวเครื่องมีปุ่มเพิ่ม-ลดระดับเสียง และปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง หรือล็อกหน้าจอ
ถาดซิมการ์ด และการ์ดหน่วยความจำนั้นเป็นแบบ Triple Slots ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเราสามารถใส่ได้พร้อมกันทั้งซิมการ์ด 2 ซิม (nanoSIM) และการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD โดยรองรับการ์ด microSD ได้สูงสุดที่ขนาด 256GB
อุปกรณ์มาตรฐานที่มีแถมมาให้ในกล่องก็นับว่าครบครันพร้อมใช้งาน แทบไม่ต้องไปหาซื้อเพิ่มเติม ทั้งเคสซิลิโคนใส, อะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงซึ่งมีแรงดันไฟ และปล่อยกระแสไฟได้ที่ระดับ 5V/2A, สาย microUSB, สาย OTG, หูฟังแบบ Stereo พร้อมจุกยางสำรอง, เข็ม SIM Door Key และคู่มือการใช้งาน
ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 7.1 Nougat พร้อมครอบทับด้วย User Interface แบบ Asus ZenUI 4.0
ปุ่มควบคุมการทำงานทั้งปุ่มย้อนกลับ, ปุ่มโฮม และปุ่ม Recent Apps จะอยู่บนแถบด้านล่างของหน้าจอ ซึ่งเป็นแบบ On Screen
รองรับการแบ่งออกเป็น 2 หน้าต่าง หรือ Multi Window เพื่อใช้งาน 2 แอปพลิเคชันพร้อมกัน ซึ่งนับว่าเหมาะกับจอกว้างๆ ยาวๆ แบบนี้ รวมถึงรองรับการเปิดดูคลิปวิดีโอบน YouTube ไปพร้อมๆ กับการทำงานอย่างอื่นได้ด้วย
เครื่องที่วางจำหน่ายในไทยมาพร้อมกับหน่วยความจำ ROM ขนาด 32GB และ RAM ขนาด 4GB
ส่วนหน่วยประมวลผลนั้นใช้ชิปเซ็ต Octa-Core MediaTek MT6750T ซึ่งมาพร้อมหน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-T860 MP2
จุดขายสำคัญที่สุดอีกอย่างก็คือกล้องคู่ (Dual Camera) ที่ด้านหลังตัวเครื่อง ซึ่งมีความละเอียดอยู่ที่ 16+8 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยี PixelMaster 4.0, เลนส์มุมกว้าง 120 องศา, รูรับแสงขนาด f/2.0 และไฟแฟลช LED ซึ่งทาง Asus เคลมว่าให้มุมของภาพที่กว้างกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไปราว 200% เลยทีเดียว ในกรณีที่เป็นภาพถ่ายในอัตราส่วนแบบ 18:9
มีปุ่มทางลัดสำหรับการสลับโหมดถ่ายภาพปกติ กับโหมดภาพมุมกว้าง ซึ่งหากเป็นโหมดถ่ายภาพมุมกว้าง ความละเอียดสูงสุดจะลดลงเหลือเพียง 5 ล้านพิกเซล
ส่วนระบบโฟกัสภาพนั้นเป็นแบบ PDAF (Phase Detection Autofocus) ซึ่งโฟกัสได้รวดเร็วภายในเวลาเพียง 0.03 วินาที
มีโหมดถ่ายภาพแบบ Super Resolution ซึ่งให้ภาพที่มีความละเอียดสูงสุดถึง 64 ล้านพิกเซล แต่หากเปลี่ยนเป็นโหมดภาพมุมกว้าง ความละเอียดจะเหลือเพียง 22 ล้านพิกเซล
แน่นอนว่าเมื่อมีกล้องคู่ ก็ย่อมมาพร้อมกับความสามารถของการถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอด้วยโหมด Portrait แต่ก็น่าเสียดายเล็กน้อยที่ไม่สามารถปรับระดับของการเบลอได้เอง
โหมด Portrait สามารถใช้งานร่วมกับโหมด Beauty ได้ด้วยเช่นกัน เพื่อเพิ่มความสวยหล่อให้มากขึ้นไปอีกระดับ โดยสามารถปรับได้ทั้ง สีผิว (Skin Toning), ความเรียบเนียน (Skin Softening), ความสว่างกระจ่างใส (Skin Brightening), ดวงตาสวยกลมโต (Eyes Enhancement) และหน้าเรียว (Cheeks Thinning)
มีเทคโนโลยีถ่ายภาพแบบ HDR (High Dynamic Range) ซึ่งเพิ่มค่า Dynamic Range ของภาพได้ 4 เท่า และมีเทคโนโลยีการถ่ายภาพในที่แสงน้อย (Low Light) ซึ่งเพิ่มความสว่างได้ราว 400 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนั้นก็ยังมีโหมดถ่ายภาพแบบ Pro, Beauty, GIF Animation, Panorama, Selfie Panorama (270 องศา) และ Time Lapse
โหมด Pro สามารถปรับตั้งค่าได้เองอย่างอิสระ ทั้งระยะโฟกัส, ความเร็วชัตเตอร์, ความไวแสง, ชดเชยแสง และสมดุลสีขาว
กล้องด้านหลังสามารถปรับตั้งค่าความละเอียดของภาพนิ่งได้ทั้งหมด 8 ระดับ
และสามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD 1080p ที่ความเร็ว 30 fps
ส่วนกล้องถ่ายภาพด้านหน้าก็ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย เพราะมีความละเอียดมากถึง 16 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f/2.0, โหมดถ่ายภาพแบบ Selfie Panorama ที่ให้มุมกว้างถึง 140 องศา และแน่นอนว่ามาพร้อมกับโหมด Portrait ซึ่งถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอได้นั่นเอง
Beauty Mode ก็สามารถปรับได้ทั้ง สีผิว (Skin Toning), ความเรียบเนียน (Skin Softening), ความสว่างกระจ่างใส (Skin Brightening), ดวงตาสวยกลมโต (Eyes Enhancement) และหน้าเรียว (Cheeks Thinning)
สามารถตั้งเวลาถ่ายเซลฟี่ล่วงหน้าได้ เพื่อช่วยให้มือไม่สั่นขณะกดชัตเตอร์
นอกจากนี้ กล้องหน้าก็ยังมาพร้อมกับโหมดถ่ายภาพแบบ GIF Animation ด้วยเช่นกัน
กล้องด้านหน้าสามารถปรับตั้งค่าความละเอียดของภาพนิ่งได้ทั้งหมด 4 ระดับ ส่วนการถ่ายวิดีโอสามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD 1080p เช่นเดียวกับกล้องด้านหลัง
แบตเตอรี่มีขนาดความจุที่ใหญ่เป็นพิเศษถึง 4130 mAh พร้อมเทคโนโลยี Asus PowerMaster ซึ่งสามารถสแตนด์บายบนระบบเครือข่าย 4G ได้นานสูงสุด 26 วัน พร้อมเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง (Fast Charging) ด้วยกำลังไฟ 10W (5V/2A) ที่ชาร์จแบตเตอรี่ได้เต็ม 100% ภายในเวลา 3 ชั่วโมง และแม้ชาร์จเพียง 15 นาที ก็สามารถใช้สนทนาได้ถึง 3 ชั่วโมง หรือมีแบตเตอรี่เพียง 10% ก็สามารถสแตนด์บายได้นานถึง 67 ชั่วโมง
อีกทั้งยังมีเทคโนโลยียืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้ 2 เท่า (Double Battery Lifespan) ซึ่งเราสามารถชาร์จได้เต็ม 100% และปล่อยพลังงานจนเหลือ 0% ได้สูงสุด 500 รอบ (ในอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคนด้วยเช่นกัน
และยังสามารถใช้ชาร์จแบตเตอรี่ให้กับสมาร์ทโฟนเครื่องอื่นได้ ด้วยระบบ Reverse Charging
ส่วนความปลอดภัยของการใช้งานแบตเตอรี่ก็หายห่วง เพราะมาพร้อมกับเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยถึง 12 เทคโนโลยีเลยทีเดียว
ส่วนการสแตนด์บาย 2 ซิมการ์ดนั้นจะเป็นแบบ Dual 4G/3G หรือนั่นก็คือ 4G (ซิมการ์ดที่หนึ่ง) และ 3G (ซิมการ์ดที่สอง)
สำหรับ 4G LTE นั้นเป็น LTE Cat4 ซึ่งมีความเร็วในการดาวน์โหลด/อัปโหลดสูงสุดอยู่ที่ 150 Mbps/50 Mbps พร้อมรองรับเทคโนโลยี 2CA (2-Carrier Aggregation : รวมคลื่นความถี่สูงสุด 2 คลื่น) แต่อย่างไรก็ดี ความเร็วอินเทอร์เน็ตที่แท้จริงนั้นจะมากน้อยต่างกันไป ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่ ที่เรากำลังใช้งานอยู่
เรื่องระบบรักษาความปลอดภัย นอกจากจะมีการปลดล็อกด้วยเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแล้ว ก็ยังมีระบบปลดล็อกด้วยใบหน้ามาอีกหนึ่งอย่าง ซึ่งการปลดล็อกก็ไม่ยาก เพียงแค่เรามองไปที่หน้าจอก็ปลดล็อกได้แล้ว และบรรดาข้อมูลการแจ้งเตือนต่างๆ ก็จะมีโชว์จนกว่าเราจะปลดล็อกด้วยใบหน้าเรียบร้อยแล้ว โดยประโยชน์อย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดของระบบปลดล็อกด้วยใบหน้าก็คือการปลดล็อกขณะที่มือเราสวมถุงมืออยู่ หรือขณะที่มือของเราเปียกน้ำอยู่นั่นเอง
มีฟังก์ชันแจ้งขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน (SOS) กรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดด้วยการกดปุ่ม Power ติดๆ กัน 3 ครั้ง ซึ่งเครื่องจะโทรไปยังหมายเลขฉุกเฉินให้โดยอัตโนมัติ รวมถึงมีฟังก์ชันติดตามตำแหน่งของเครื่องด้วยเช่นกัน
มีแอปพลิเคชัน Mobile Manager สำหรับจัดการกับระบบการทำงานพื้นฐานของเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นหน่วยความจำ, อินเทอร์เน็ต, แบตเตอรี่, การแจ้งเตือน, ความปลอดภัย และอื่นๆ
Asus ZenFone Max Plus ทำคะแนนจากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark อยู่ที่ 39,016 คะแนน
มีเซ็นเซอร์พื้นฐานติดตั้งมาอย่างครบครัน รวมทั้ง Gyroscope Sensor
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องคู่ (Dual-Camera) ของ Asus ZenFone Max Plus
ภาพถ่ายในโหมดปกติ
ภาพถ่ายในโหมดปกติ
ภาพถ่ายในโหมดปกติ
ภาพถ่ายในโหมดปกติ
ภาพถ่ายในโหมดปกติ
ภาพถ่ายในโหมดปกติ
ภาพถ่ายในโหมดปกติ
ภาพถ่ายในโหมดปกติ
ภาพถ่ายในโหมดปกติ
ภาพถ่ายในโหมดปกติ
ภาพถ่ายในโหมด Portrait
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ Asus ZenFone Max Plus
ภาพถ่ายในโหมดปกติ (ซ้าย) และภาพถ่ายในโหมด Portrait (ขวา)
ภาพถ่ายในโหมด Beauty (ซ้าย) และภาพถ่ายในโหมด Portrait พร้อม Beauty (ขวา)
เมื่อพิจารณาภาพถ่ายเซลฟี่จากกล้องหน้าจะพบว่าพื้นหลังมีความคมชัดมากกว่าใบหน้าของนางแบบอยู่เล็กน้อย ซึ่งโทรศัพท์มือถือในบทความพรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางศูนย์ เพราะฉะนั้นซอฟต์แวร์ของกล้องถ่ายภาพอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย และในเครื่องที่วางจำหน่ายจริงอาจได้รับการแก้ไขตัวซอฟต์แวร์ให้ดีขึ้นเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับ Asus ZenFone Max Plus นั้นเคาะราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยที่เพียง 6,990 บาท มีให้เลือก 3 สี คือ สีดำ-Deepsea Black, สีทอง-Sunlight Gold และ สีเงิน-Azure Silver ซึ่งราคานี้ถือเป็นราคาที่คุ้มค่าหากเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม และหากท่านใดลงทะเบียนจองล่วงหน้าที่ Shopee ระหว่างวันที่ 12-14 มกราคมนี้ จะได้รับส่วนลดเหลือเพียง 5,870 บาท และจะเปิดให้สั่งจองล่วงหน้าอีกครั้งในวันที่ 16-22 มกราคม ซึ่งสำหรับผู้ที่สั่งจองล่วงหน้า 5,000 ท่านแรก จะได้รับสกินตัวละครเกม ROV จำนวน 1 ไอเทม ได้แก่ Chrest Sharkover หรือ Fennik Propeller
วันนี้ทีมงานก็ขอทดสอบ Asus ZenFone Max Plus ในเบื้องต้นไว้เพียงเท่านี้ โดยทุกท่านสามารถรอติดตามรีวิว Asus ZenFone Max Plus ฉบับเต็มจากทีมงานเว็บไซต์ไทยโมบายเซ็นเตอร์ได้อีกครั้งในเร็วๆ นี้ สวัสดีครับ
ข้อมูลเพิ่มเติม
สรุปคุณสมบัติโดยละเอียดของ Asus ZenFone Max Plus
นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 12/1/2561
