ช่วงนี้พอได้เห็นแคมเปญ ThaiPicStory ของ Huawei แล้วผู้เขียนก็นึกครึ้มอกครึ้มใจ อยากพาเอาเจ้า Huawei P10 Plus สมาร์ทโฟนเรือธงตัวท็อปรุ่นใหม่ล่าสุดที่อยู่ในมือออกไปท่องเที่ยวทั่วไทย พร้อมเก็บภาพสวยๆ งามๆ กลับมาให้เพื่อนๆ ได้เชยชมกับเขาบ้าง และเท่าที่ได้ใช้งานกล้องคู่ Leica Dual-Camera กับกล้องหน้า Leica ของ Huawei P10 Plus มาพอสมควร ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าจะได้ภาพสวยๆ กลับมาเต็มกระบุง รวมถึงไม่ต้องลำบากพกกล้องตัวใหญ่ๆ ออกไปให้เมื่อยอีกต่างหากครับ
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเลยไม่ลังเลที่จะจัดแผนท่องเที่ยวไปเช้าเย็นกลับแบบ One Day Trip ด้วยการเลือกเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่ไม่ห่างจากกรุงเทพฯ มากนัก เอาแบบไม่ต้องค้างคืน ไม่ต้องเสียค่าที่พัก ได้เที่ยวได้กินหลายๆ ที่ภายในวันเดียว และที่สำคัญคือคราวนี้ขอเน้นอะไรที่เป็นไทยๆ สักหน่อย เพื่อให้เข้ากับแคมแปญ ThaiPicStory ที่พูดถึงไปนั่นเองครับ ซึ่งคิดไปคิดมา สุดท้ายแล้วหวยก็ไปลงที่โซนจังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดสมุทรสงคราม เพราะสองจังหวัดนี้นอกจากจะอยู่ใกล้กรุงเทพฯ แล้ว วิถีชีวิต, วัฒนธรรม, อาหารการกิน หรือสถานที่ต่างๆ นั้นยังคงความเป็นไทย หรือ "วิถีไทย" ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม เรียกว่าเข้าคอนเซ็ปต์เป็นอย่างยิ่งครับ

สำหรับจุดขายสำคัญของ Huawei P10 Plus ก็คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกเสียจากการที่มาพร้อมกับกล้อง Leica ทั้งกล้องด้านหน้า และกล้องด้านหลังเป็นรุ่นแรกของโลก โดยกล้องด้านหลังนั้นเป็นกล้องคู่ Leica Dual-Camera ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล (กล้อง Monochrome 20 ล้านพิกเซล + กล้อง RGB 12 ล้านพิกเซล) ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Leica Dual-Camera 2.0 Pro Edition ซึ่งมีมาให้เฉพาะในเรือธงรุ่นใหญ่อย่าง P10 Plus นี้, เลนส์ Leica SUMMILUX-H 1:1.8/27 ASPH ที่มีรูรับแสงขนาด f/1.8, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS, ระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ 4-in-1 Hybrid Autofocus, ระบบซูมภาพแบบ 2x Hybrid Zoom และรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD

ส่วนกล้องด้านหน้านั้นเป็นกล้อง Leica ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมรูรับแสงขนาด f/1.9 รวมถึงโหมดถ่ายภาพที่ออกแบบมาเพื่อคอเซลฟี่พันธุ์แท้ โดยเฉพาะโหมด Portrait ที่เราสามารถปรับความเนียนสวยของใบหน้าได้ถึง 10 ระดับ พร้อมเอฟเฟกต์โบเก้ หรือหน้าชัดหลังเบลอที่ช่วยเพิ่มความสวยเด่นให้กับตัวบุคคลที่ถูกถ่าย และระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติ (Autofocus) ที่สามารถเลือกจุดโฟกัสได้อย่างที่ใจต้องการ เรียกได้ว่าไฮเอนด์จัดเต็มทั้งกล้องด้านหลัง และกล้องด้านหน้า ดังนั้นทริปเที่ยวไทยในวันนี้คงได้สนุกกับการถ่ายภาพอย่างแน่นอนครับ
เส้นทางการท่องเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ (One Day Trip) มีแวะที่ไหนบ้าง?

ทริปที่วางแผนเอาไว้ในวันนี้ หลักๆ คือจะพยายามไม่ใช้เวลากับที่ใดที่หนึ่งมากนัก เพื่อให้สามารถแวะสถานที่ท่องเที่ยวได้หลากหลายมากที่สุดภายในหนึ่งวัน แต่ก็คงไม่ถึงขั้น "ชะโงกทัวร์" นะครับ และเลือกเฉพาะสถานที่ไฮไลท์ที่เราต้องการไปจริงๆ ดังนั้นเพื่อให้มีเวลามากที่สุด เราจึงต้องออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่ ล้อหมุนกันตั้งแต่ประมาณ 7 โมงเช้า เป้าหมายแรกก็คือแวะตัวเมืองจังหวัดเพชรบุรี ต่อด้วยเขื่อนแก่งกระจาน, หาดชะอำ, อำเภอท่ายาง, ตลาดแม่กลอง (ตลาดร่มหุบ) จังหวัดสมุทรสงคราม และตบท้ายก่อนกลับกรุงเทพฯ ด้วยตลาดน้ำอัมพวา ซึ่งทริปวันนี้อาจต้องเหนื่อยกับการเดินทางกันสักหน่อย เพราะรวมแล้วต้องแวะเที่ยวแวะกินกันยิบย่อยถึงกว่า 15 จุด แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการได้สัมผัสแบบครบรสภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งวันครับ
ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ๊กเม้ง (น้ำพุ)

โหมดถ่ายภาพขาวดำ [6]
ขับรถเดินทางกันมาพักใหญ่ และแล้วก็ถึงตัวเมืองจังหวัดเพชรบุรี เลยแวะเติมพลังกันสักหน่อยที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ๊กเม้ง (น้ำพุ) ร้านก๋วยเตี๋ยวเก่าแก่ระดับตำนานอายุมากกว่า 40 ปี เรียกว่าเป็นต้นตำรับของก๋วยเตี๋ยวเนื้อเพชรบุรีก็ว่าได้ ซึ่งผู้เขียนเองก็มีโอกาสมากินบ่อยๆ ตั้งแต่เด็ก ดังนั้นใครที่มีโอกาสได้ลองจึงมีอันต้องติดใจในรสชาติ และกลับมากินซ้ำอีกนับครั้งไม่ถ้วน จึงไม่แปลกที่มากี่ครั้งต่อกี่ครั้งโต๊ะเก้าอี้ภายในร้านก็จะเต็มแทบตลอดเวลา ยิ่งช่วงเที่ยงๆ บ่ายๆ เรียกว่าต้องยอมรอต่อคิว หรือไปนั่งแชร์โต๊ะกับคนอื่นกันเลยทีเดียว

โหมดถ่ายภาพอาหาร [8]

โหมดถ่ายภาพขาวดำ [6]

โหมดถ่ายภาพขาวดำ [6]
ร้านพรชัยไอศกรีมกะทิสด

โหมดถ่ายภาพอาหาร [8]
หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวกันจนหนำใจแล้ว ก็ถึงเวลาต่อด้วยของหวาน ซึ่งของหวานที่ผู้เขียนโปรดปรานเป็นอย่างยิ่งก็คือไอศกรีมน้ำตาลสดที่ร้านพรชัยไอศกรีมที่อยู่ใกล้ๆ กับร้านก๋วนเตี๋ยวเนื้อเจ๊กเม้ง (น้ำพุ) นี่เอง ที่ว่ากันว่ามีมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองเสียอีก (ปี พ.ศ. 2475) เรียกได้ว่าเป็นสูตรสำเร็จทุกครั้งเวลาแวะเวียนมาที่นี่ มีให้เลือกกันทั้งไอศกรีมน้ำตาลสด, ไอศกรีมกะทิสด และไอศกรีมนมสด อร่อยชื่นใจไม่เคยเปลี่ยนแปลง พร้อมเลือกใส่เครื่องได้หลากหลาย ส่วนราคาก็ไม่แพง ขายแค่ถ้วยละ 15 บาท (ผู้เขียนเองกินมาตั้งแต่สมัยถ้วยละ 7 บาทเท่านั้นเอง)
ถ้ำเขาหลวง

โหมดถ่ายภาพ HDR
อิ่มท้องแล้วก็เริ่มออกเดินทางท่องเที่ยวกันต่อได้ เริ่มที่ถ้ำเขาหลวง ซึ่งอยู่ภายในตัวเมืองเพชรบุรีนี่เอง โดยถ้ำเขาหลวงนับเป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเพชรบุรี ภายในมีพระพุทธรูปมากมายรวมกว่า 170 องค์ และมีไฮไลท์สำคัญก็คือแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเป็นลำแสงลงมาจากด้านบนของเพดานถ้ำนั่นเอง เรียกว่าสวยงามจับใจเป็นอย่างยิ่ง แต่น่าเสียดายที่วันนี้แสงแดดไม่เป็นใจ และมีการบูรณะซ่อมแซมกันอยู่ เราจึงได้เห็นเพียงแค่แสงฟุ้งๆ กับบรรยากาศที่อาจจะรกตาอยู่สักหน่อย อย่างไรก็ดี เพียงเท่านี้ก็สวยงามน่าประทับใจมากแล้ว

โหมดถ่ายภาพขาวดำ [6]

กำหนดรูรับแสงในภายหลัง [1] และเลือกจุดโฟกัสในภายหลัง [2]

กำหนดรูรับแสงในภายหลัง [1] และเลือกจุดโฟกัสในภายหลัง [2]

โหมดถ่ายภาพ HDR
วัดข่อย (พระธาตุฉิมพลีพระเศรษฐีนวโกฏิ)

โหมดถ่ายภาพ HDR
ใกล้ๆ กับเขาวัง (พระนครคีรี) นั้นเป็นที่ตั้งของ วัดข่อย ซึ่งภายในมี พระธาตุฉิมพลีพระเศรษฐีนวโกฎิ ตั้งอยู่ โดยพระธาตุฉิมพลีพระเศรษฐีนวโกฎิ เป็นศาสนสถานที่มีการนำงานศิลปะชั้นสูงของช่างเมืองเพชรบุรี หรือที่เรียกว่า ช่างสิบหมู่ มารวมไว้ในที่เดียวกัน เป็นพุทธสถานศิลป์ที่มีไว้เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมกับเป็นสถานที่ปฎิบัติธรรมเจริญจิตภาวนา กับสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ด้วยอาคารทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ดูคล้ายกับผ้ายันต์ที่เต็มไปด้วยอักขระพิเศษ และไม่เพียงเท่านั้น บริเวณโดยรอบของพระธาตุฉิมพลีพระเศรษฐีนวโกฎิ ก็ยังมีสถาปัตยกรรมฝาผนัง หรือสถาปัตยกรรมปูนปั้นที่สวยงามให้เดินชมด้วยเช่นกัน

โหมดถ่ายภาพมาตรฐาน

กำหนดรูรับแสงในภายหลัง [1] และเลือกจุดโฟกัสในภายหลัง [2]

โหมดถ่ายภาพ HDR

กำหนดรูรับแสงในภายหลัง [1] และเลือกจุดโฟกัสในภายหลัง [2]

โหมดถ่ายภาพ HDR

โหมดถ่ายภาพมาตรฐาน
เขื่อนแก่งกระจาน

โหมดถ่ายภาพมาตรฐาน
ได้เที่ยววัดไหว้พระขอพรให้เป็นศิริมงคลกับชีวิตกันไปแล้ว ก็มาต่อกันที่เขื่อนแก่งกระจาน โดยเขื่อนแก่งกระจานนี้เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เป็นเขื่อนดินที่กั้นแม่้นำเพชรบุรีเอาไว้ จนกลายเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่สวยงามกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา มีกิจกรรมให้เลือกทำหลากหลายตั้งแต่เดินชมวิวสวยๆ, เล่นน้ำ, ล่องเรือหางยาวชมทัศนีภาพโดยรอบ, ล่องเรือยาง, ตกปลา, ชมผีเสื้อ หรือจะตั้งแคมป์ก็ยังได้ จึงไม่แปลกที่มักจะมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือนอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งช่วงเวลาที่ผู้เขียนมาถึงนี้จะเป็นช่วงเวลาเกือบเที่ยงวันซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร้อนระอุที่สุด ก็ยังมีนักท่องเที่ยวมากมายที่ยอมเดินสู้แดดเพื่อให้ได้ภาพสวยๆ กลับไป

โหมดถ่ายภาพบุคคล [3]

กำหนดรูรับแสงในภายหลัง [1] และเลือกจุดโฟกัสในภายหลัง [2]

โหมดถ่ายเซลฟี่แบบกว้าง [4]

โหมดถ่ายภาพ HDR

การซูมแบบ 2x Hybrid Zoom [5]

โหมดถ่ายภาพในแนวกว้าง

โหมดถ่ายภาพในแนวกว้าง
สะพานแขวนเขื่อนแก่งกระจาน

โหมดถ่ายภาพขาวดำ [6]
หากมาเยือนถึงเขื่อนแก่งกระจานแล้ว หนึ่งไฮไลท์ที่ไม่แวะไม่ได้ก็คือ สะพานแขวนเขื่อนแก่งกระจานอันเลื่องชื่อ จนถูกนำมาใช้เป็นฉากในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องดังมาแล้ว โดยสะพานแขวนนี้มีความยาวประมาณ 500 เมตร ด้วยโครงสร้างของพื้นทางเดินที่เป็นไม้ ผสานกับลวดสลิง ใช้เชื่อมระหว่างเกาะเล็กๆ ในเขื่อน ซึ่งหากมีเวลาเราก็สามารถเดินข้ามสะพานไปเที่ยวบนเกาะได้

กำหนดรูรับแสงในภายหลัง [1] และเลือกจุดโฟกัสในภายหลัง [2]

โหมดถ่ายภาพบุคคล [3]

โหมดถ่ายภาพ HDR
อำเภอท่ายาง

โหมดถ่ายภาพ HDR
ออกมาจากเขื่อนแก่งกระจาน ก่อนจะไปถึงชะอำ ก็ต้องผ่านอำเภอท่ายางกันก่อน ซึ่งในอำเภอท่ายางนี้ก็มีแบบอย่างของ "วิถีไทย" ให้เห็นชัดเจนมากมาย เนื่องจากประชากรที่นี่กว่า 80% ล้วนเป็นเกษตรกร ปลูกข้าว, กล้วย, มะนาว, มะพร้าว, ชมพู่, อ้อย, มะม่วง, ถั่ว และพืชผักผลไม้นานาชนิด รวมถึงมีการเลี้ยงสัตว์หลากหลายประเภท เรียกได้ว่าข้างทางนั้นเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวสดใส พร้อมวัว, ควาย, นก และสัตว์ต่างๆ มาใช้ชีวิตกันอย่างสงบ เป็นมนต์เสน่ห์แบบไทยๆ อีกอย่างหนึ่ง พอได้เห็นบรรยากาศก็อยากมาสร้างบ้านพักอยู่แถวนี้เลยทีเดียว

กำหนดรูรับแสงในภายหลัง [1] และเลือกจุดโฟกัสในภายหลัง [2]

โหมดถ่ายภาพ HDR

โหมดถ่ายภาพ HDR
หาดชะอำ

กำหนดรูรับแสงในภายหลัง [1] และเลือกจุดโฟกัสในภายหลัง [2]
ขับรถมาไม่ไกลนัก ก็มาถึงหาดชะอำ แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งที่คนกรุงเทพๆ หรือคนจังหวัดใกล้เคียง มักจะแวะเวียนมาอยู่เป็นประจำ ด้วยชายหาดที่ทอดตัวยาวหลายกิโลเมตร พร้อมกิจกรรมริมหาดที่หลากหลาย ทั้งการนั่งเก้าอี้ผ้าใบรับลมทะเล, กินอาหารซีฟู้ดที่สดใหม่ส่งตรงจากทะเล, เล่นน้ำทะเล, นั่งเรือบานาน่าโบ๊ท, ขับเรือเจ็ทสกี, ปั่นจักรยานริมหาด และอีกมากมาย แต่ด้วยเวลาอันจำกัด ผู้เขียนจึงได้เพียงขับรถชมบรรยากาศ และแวะถ่ายรูปแค่เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

กำหนดรูรับแสงในภายหลัง [1] และเลือกจุดโฟกัสในภายหลัง [2]

โหมดถ่ายภาพบุคคล [3]
สะพานปลาชะอำ

กำหนดรูรับแสงในภายหลัง [1] และเลือกจุดโฟกัสในภายหลัง [2]
หนึ่งในไฮไลท์ของชะอำก็คือสะพานปลานั่นเอง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการซื้อขายอาหารทะเลแหล่งใหญ่ในย่านนี้เลยก็ว่าได้ ทั้งกุ้ง, หอย, ปู, ปลา มีเรือนำเข้ามาเทียบท่าแบบสดๆ จากทะเล มีตั้งแค่ค้าส่งสำหรับร้านอาหารต่างๆ และค้าปลีกให้กับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ โดยบริเวณนั้นก็จะมีร้านค้าให้บริการย่าง, นึ่ง, ทอด, เผา มากมายหลายร้าน พร้อมโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งรับประทานแบบกันเอง และที่สำคัญคือราคาไม่แพงเหมือนร้านซีฟู้ดทั่วไป เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์สำหรับคนชอบทานอาหารทะเลเลยทีเดียว

โหมดถ่ายภาพ HDR

กำหนดรูรับแสงในภายหลัง [1] และเลือกจุดโฟกัสในภายหลัง [2]
ชายเลซีฟู้ดชะอำ

กำหนดรูรับแสงในภายหลัง [1] และเลือกจุดโฟกัสในภายหลัง [2]
แวะเที่ยวชมสะพานปลาเสร็จแล้ว แม้ใจจริงจะอยากซื้อกุ้ง, หอย, ปู, ปลา แบบสดๆ ที่สะพานปลามาให้ทางร้านเล็กๆ แถวนั้นนำมาปรุงเป็นอาหารให้ แต่ก็อย่างว่าคือวันนี้เราต้องทำเวลาเป็นพิเศษ คงไม่มีเวลาไปเดินเลือกซื้ออย่างแน่นอน จึงตัดสินใจเลือกทางที่สะดวกรวดเร็วกว่า คือแวะเข้าร้านซีฟู้ดแถวนั้นเสียเลย ซึ่งหวยก็ไปตกอยู่ที่ร้านชายเลซีฟู้ด ที่ผู้เขียนเองก็ไม่เคยกินมาก่อน ไหนๆ แล้วก็ขอลองสักหน่อย เมนูที่สั่งไปก็ล้วนเป็นเมนูยอดนิยม ตั้งแต่ปูม้านึ่ง, กุ้งทะเลย่าง, ปลากะพงทอดกระเทียม และข้าวผัดปู ส่วนเรื่องรสชาตินั้นก็นับว่าดีเลยทีเดียว

โหมดถ่ายภาพอาหาร [8]
ร้านทองม้วนทิพย์

โหมดถ่ายภาพขาวดำแบบโบเก้ [7]
เผลอหน่อยเดียวก็มาถึงเวลาบ่ายแก่ๆ แล้ว แต่ก็ถึงช่วงทริปขากลับพอดี ซึ่งหากกลับไปไม่มีของฝากก็คงจะโดนทางบ้าน หรือเพื่อนๆ ที่กรุงเทพฯ บ่นอุบเป็นแน่แท้ โดยร้านที่อยากจะแนะนำสำหรับท่านที่ชอบซื้อของฝากจากเพชรบุรีกลับไปก็มีอยู่สองร้าน ร้านแรกคือร้านทองม้วนทิพย์ ร้านขนมเก่าแก่ที่เปิดมาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. 2508 มีต้นกำเนิดมาจากการทำขนมทองม้วนขาย ทั้งสูตรแบบกรอบ และแบบนิ่มเป็นเจ้าแรก จนมาถึงปัจจุบันร้านนี้มีขนมไทยให้เลือกซื้อมากมายแทบทุกประเภท มาร้านเดียวได้กลับไปแบบครบๆ ที่สำคัญคือเมื่อเทียบขนมแบบเดียวกันยี่ห้อเดียวกัน ร้านนี้จะจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่าร้านขนมใหญ่ๆ หลายๆ ร้านอีกด้วย

โหมดถ่ายภาพ HDR

โหมดถ่ายภาพขาวดำ [6]
ร้านแม่บุญล้น

โหมดถ่ายภาพขาวดำ [6]
ร้านขนมอีกร้านที่อยู่ตรงข้ามกันก็คือ ร้านแม่บุญล้น ซึ่งมีไฮไลท์อยู่ที่ขนมหม้อแกง ขนมคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดเพชรบุรี ที่หลายๆ คนยกให้ขนมหม้อแกงของร้านนี้เป็นหนึ่งในสุดยอดขนมหม้อแกงเมืองเพชรบุรี กับราคาเริ่มต้น ณ ปัจจุบันที่ถาดละ 55 บาท แต่ร้านนี้ก็ไม่ได้มีขายแค่ขนมหม้อแกงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะขนมไทยประเภทอื่นๆ ก็มีจำหน่ายอยู่ภายในร้านด้วยเช่นกัน

โหมดถ่ายภาพอาหาร [8]

โหมดถ่ายภาพขาวดำ [6]

กำหนดรูรับแสงในภายหลัง [1] และเลือกจุดโฟกัสในภายหลัง [2]
วัดเพชรสมุทรวรวิหาร (วัดบ้านแหลม)

โหมดถ่ายภาพขาวดำแบบโบเก้ [7]
เมื่อเดินทางย้อนกลับมาถึงโซนจังหวัดสมุทรสงคราม ก็คงไม่พลาดที่จะแวะตลาดแม่กลอง หรือตลาดร่มหุบ อย่างแน่แน่นอน แต่ก่อนอื่นมาถึงที่นี่แล้วก็ขอไปไหว้พระขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลที่วัดเพชรสมุทรวรวิหาร (วัดบ้านแหลม) กันสักหน่อย ซึ่งวัดนี้มีประวัติอันเก่าแก่มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2307 เลยทีเดียว แต่เดิมชื่อวัดศรีจำปา ต่อมาเมื่อถูกบูรณะใหม่ก็ถูกเรียกเป็นวัดบ้านแหลม จนกระทั่งได้ยกฐานะเป็นอารามหลวงชั้นวรวิหาร จึงได้รับพระราชทานนามว่าวัดเพชรสมุทรวรวิหารจวบจนปัจจุบัน

โหมดถ่ายภาพขาวดำ [6]

โหมดถ่ายภาพมาตรฐาน

โหมดถ่ายภาพขาวดำแบบโบเก้ [7]
ตลาดแม่กลอง (ตลาดร่มหุบ)

โหมดถ่ายภาพขาวดำแบบโบเก้ [7]
เมื่อไหว้พระขอพรเสร็จเรียบร้อย เวลาก็ล่วงเลยมาจนเกือบจะ 4-5 โมงเย็น ซึ่งตลาดแม่กลองโซนริมทางรถไฟ (ตลาดร่มหุบ) ก็วายจนเกือบหมดแล้ว แต่ก็ยังโชคดีที่รถไฟจะผ่านมาอีกรอบเป็นรอบสุดท้าย ช่วงประมาณ 17.30 น. เราจึงมีโอกาสได้เก็บภาพสวยๆ พร้อมกับรถไฟวิ่งเอื่อยๆ ฝ่ากลางตลาดสดได้ทันพอดิบพอดี และด้วยการที่เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ตลาด และร้านค้าส่วนอื่นๆ จึงยังคงคึกคัก และมีนักท่องเที่ยวเดินกันขวักไขว่อยู่เต็มสองฝั่งถนน

กำหนดรูรับแสงในภายหลัง [1] และเลือกจุดโฟกัสในภายหลัง [2]

โหมดถ่ายภาพขาวดำ [6]

กำหนดรูรับแสงในภายหลัง [1] และเลือกจุดโฟกัสในภายหลัง [2]

โหมดถ่ายภาพ HDR

โหมดถ่ายภาพขาวดำแบบโบเก้ [7]

โหมดถ่ายภาพขาวดำแบบโบเก้ [7]
ตลาดน้ำอัมพวา

โหมดถ่ายภาพกลางคืน [9]
และแล้วก็มาถึงจุดแวะเที่ยวจุดสุดท้าย นั่นคือตลาดน้ำอัมพวา ซึ่งจะว่าไปแล้วก็น่าจะเป็นตลาดน้ำที่มีนักท่องเที่ยวหนาแน่นมากที่สุดของเมืองไทย ด้วยร้านค้ามากมาย ทั้งของกิน และของใช้ พร้อมกิจกรรมยอดนิยมอย่างการนั่งเรือชมหิ่งห้อย ท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบายยามเย็น ไปจนถึงยามค่ำ บนแม่น้ำแม่กลองที่สวยงาม แต่ค่ำคืนนี้ฝ้าฝนไม่เป็นใจสักเท่าไหร่ เพราะมีฝนตกโปรยปรายตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย อย่างไรก็ดีสุดท้ายแล้วผู้เขียนก็สามารถเก็บภาพด้วยกล้องของ Huawei P10 Plus มาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

กำหนดรูรับแสงในภายหลัง [1] และเลือกจุดโฟกัสในภายหลัง [2]

โหมดถ่ายภาพกลางคืน [9]

โหมดถ่ายภาพขาวดำแบบโบเก้ [7]

โหมดถ่ายภาพอาหาร [8]

โหมดถ่ายภาพขาวดำ [6]

โหมดถ่ายภาพขาวดำ [6]

โหมดถ่ายภาพขาวดำแบบโบเก้ [7]

โหมดถ่ายภาพอาหาร [8]

โหมดถ่ายภาพขาวดำ [6]

โหมดถ่ายภาพขาวดำ [6]

โหมดถ่ายภาพขาวดำ [6]

โหมดถ่ายภาพเส้นไฟ [10]
ถ่ายภาพโบเก้ (Bokeh) หรือภาพหน้าชัดหลังเบลอ ทำอย่างไร?

การเปิดใช้ฟังก์ชันถ่ายภาพโบเก้ ให้กดที่ไอคอนรูปชัตเตอร์ที่แถบเมนูด้านซ้าย


จากนั้นจะเห็นว่ามีแถบเลื่อนปรากฎอยู่บริเวณด้านขวา ซึ่งเราสามารถเลื่อนปรับค่ารูรับแสงได้ตั้งแต่ f/0.95 ถึง f/16
Tip : สำหรับการถ่ายภาพบุคคลแบบหน้าชัดหลังเบลอ หากปรับรูรับแสงให้กว้างสูงสุดที่ f/0.95 การเบลอฉากหลังอาจดูไม่เป็นธรรมชาติมากนัก แนะนำให้ใช้ค่ารูรับแสงที่ f/2.8-4 ก็จะได้การเบลอฉากหลังที่ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น หรือหากต้องการเก็บภาพบรรยากาศของสถานที่ด้วย ก็แนะนำให้ใช้ค่ารูรับแสงตั้งแต่ f/8-f/16
[1] กำหนดรูรับแสงในภายหลัง (F-Number) ทำอย่างไร?

หากภาพใดที่ถูกถ่ายมาด้วยโหมดโบเก้ ก็จะมีไอคอนรูปชัตเตอร์ปรากฏอยู่ที่ด้านบน เพื่อให้เราสามารถกดไปเข้าไปปรับรูรับแสงได้ในภายหลัง



เมื่อกดเข้าไปแล้ว ก็จะปรากฏเป็นแถบเลื่อนที่ด้านขวา ซึ่งเราสามารถปรับค่ารูรับแสงได้ตั้งแต่ f/0.95 ถึง f/16 ตามที่ต้องการ โดยสามารถดูตัวอย่างของระดับการเบลอฉากได้จากภาพตัวอย่างที่กรอบด้านซ้ายได้ทันที
[2] เลือกจุดโฟกัสในภายหลัง (Refocus) ทำอย่างไร?

นอกจากจะสามารถปรับค่ารูรับแสงในภายหลังได้แล้ว ก็ยังสามารถปรับจุดโฟกัสในภายหลังได้ด้วยเช่นกัน โดยการกดเลือกไปที่จุดที่เราต้องการให้โฟกัส เช่นรูปนี้คือต้องการโฟกัสที่ใบหน้าของนางแบบ

ส่วนภาพนี้คือเลือกให้โฟกัสไปที่รถไฟที่อยู่ด้านหลัง
[3] การเปิดใช้โหมดถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ทำอย่างไร?

การเปิดใช้โหมดถ่ายภาพบุคคลทำได้ด้วยการกดที่ไอคอนรูปคนที่อยู่ในแถบเมนูด้านซ้าย

โดยโหมดถ่ายภาพบุคคลเราสามารถปรับตั้งค่าได้สองอย่างด้วยกันคือ การปรับหน้าเนียนได้ตั้งแต่ระดับ 1-10 และการเปิด-ปิดเอฟเฟกต์เบลอฉากหลัง
[4] การถ่ายเซลฟี่แบบกว้าง (Panorama Selfie) ทำอย่างไร?
 
กล้องด้านหน้าเราสามารถใช้ถ่ายภาพเซลฟี่แบบกว้างได้ด้วย โดยให้เลือกไปที่โหมด Panorama จากนั้นให้ถือเครื่องในแนวตั้งแล้วเล็งให้ใบหน้าของเราอยู่ตรงกลาง เมื่อเล็งดีแล้วก็ให้กดปุ่มชัตเตอร์เพื่อเก็บภาพแรก พร้อมหมุนเครื่องไปทางด้านซ้ายอย่างช้าๆ เพื่อเก็บภาพที่สอง สุดท้ายคือหมุนเครื่องไปทางด้านขวาอย่างช้าๆ เพื่อเก็บภาพที่สาม ซึ่งสุดท้ายแล้วซอฟต์แวร์ก็จะประมวลผลนำทั้ง 3 ภาพนี้มาต่อรวมเข้าด้วยกัน
[5] การซูมแบบไม่สูญเสียรายละเอียด (2x Hybrid Zoom) ทำอย่างไร?

ด้วยกล้องคู่ Leica Dual Camera ที่มีการทำงานร่วมกันระหว่างกล้อง RGB ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล กับกล้อง Monochrome ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล จึงรองรับเทคโนโลยีการซูมแบบไม่สูญเสียรายละเอียดได้ 2 เท่าด้วยกัน หรือที่เรียกว่า 2x Hybrid Zoom โดยการใช้งานก็เพียงจีบนิ้วสองนิ้วออกจากกัน ก็จะปรากฏเป็นแถบแสดงระดับของการซูม ซึ่งหากเป็นการซูมแบบไม่สูญเสียรายละเอียด ก็จะซูมได้สูงสุดที่ 2 เท่า แต่หากเป็นการซูมแบบปกติ ก็จะซูมได้สูงสุด 10 เท่า
[6] ถ่ายภาพขาว-ดำ (Monochrome) ทำอย่างไร?

หากต้องการถ่ายภาพแบบขาวดำ ก็เพียงแค่เลือกไปที่โหมด Monochrome

โดยการถ่ายภาพขาวดำนั้นสามารถเปิดฟังก์ชันถ่ายภาพบุคคล และฟังก์ชันโบเก้ได้เช่นเดียวกับการถ่ายภาพปกติ
[7] ถ่ายภาพขาว-ดำแบบโบเก้ (Bokeh Monochrome) ทำอย่างไร?

การปรับค่ารูรับแสงนอกจากจะใช้ได้กับโหมดถ่ายภาพปกติแล้ว ก็ยังสามารถใช้ร่วมกับโหมดถ่ายภาพขาวดำได้เช่นเดียวกัน โดยขณะที่อยู่ในโหมดถ่ายภาพขาวดำ ให้กดที่ไอคอนรูปชัตเตอร์ที่อยู่แถบเมนูด้านซ้าย จากนั้นจะสังเกตเห็นแถบเลื่อนเพื่อปรับค่ารูรับแสงที่ด้านขวา ซึ่งเราสามารถกำหนดค่ารูรับแสงได้ตั้งแต่ f/0.95-f/16
[8] ถ่ายภาพอาหาร (Good Food) ทำอย่างไร?


การเปิดใช้โหมดถ่ายภาพอาหาร ก็เพียงแค่เลือกที่ไปโหมด Good Food หลังจากนั้น เมื่อเราถ่ายภาพอาหาร สีสันของอาหารก็จะดูสดใสน่ารับประทานมากขึ้น
[9] ถ่ายภาพกลางคืน (Night Shot) ทำอย่างไร?


การเปิดใช้งานโหมดถ่ายภาพกลางคืน ก็เพียงแค่เลือกไปที่โหมด Night Shot ซึ่งเราสามารถกำหนดค่าได้สองอย่างด้วยกันคือค่าความไวแสง (ISO) ซึ่งปรับได้ตั้งแต่ 100-1600 และค่าความเร็วชัตเตอร์ซึ่งปรับได้ตั้งแต่ 1/4-32 วินาที
Tip : เนื่องจากโหมดถ่ายภาพกลางคืนที่ดีควรใช้ค่าความไวแสง (ISO) ในระดับต่ำ คือไม่ควรเกิน 400 เพื่อไม่ให้เกิดจุดรบกวนภายในภาพมากเกินไป ซึ่งทำให้ความเร็วชัตเตอร์นั้นช้าลงตามไปด้วยเพื่อให้กล้องสามารถรับแสงได้เพียงพอ ดังนั้นหากต้องใช้งานโหมดถ่ายภาพกลางคืน ก็ควรใช้ขาตั้งกล้องร่วมด้วยเพื่อป้องกันการสั่นของภาพ
[10] ถ่ายภาพเส้นไฟ (Light Painting) ทำอย่างไร?

การเปิดโหมดถ่ายภาพเส้นไฟ หรือการวาดไฟ ก็เพียงแค่เลือกไปที่โหมด Light Painting

โดยในโหมด Light Painting จะแบ่งออกเป็น 4 ฟังก์ชันย่อยได้แก่ Tail Light Trails (ถ่ายเส้นไฟบนถนน), Light Graffiti (ถ่ายเส้นไฟด้วยการวาดเป็นรูปร่างต่างๆ), Silky Water (ถ่ายสายน้ำให้ดูนุ่มนวล) และ Star Track (ถ่ายดาว)
[11] ถ่ายภาพในโหมดมืออาชีพ (Pro) ทำอย่างไร ?
 
สำหรับนักถ่ายภาพที่มีความชำนาญในระดับหนึ่ง การใช้โหมดอัตโนมัติแบบต่างๆ ที่มีมาให้อาจจะตอบโจทย์ได้ไม่มากพอ ดังนั้นใน Huawei P10 Plus จึงมีโหมดมืออาชีพ (PRO) มาให้ใช้งาน โดยการเปิดใช้โหมดมืออาชีพ ก็เพียงแค่สไลด์เลื่อนแถบเล็กๆ ที่ขอบด้านล่างขึ้นมา ก็จะปรากฏเป็นส่วนของการปรับตั้งค่าแบบ Manual ตั้งแต่รูปแบบการวัดแสง, ค่าความไวแสง, ค่าความเร็วชัตเตอร์, ค่าชดเชยแสง, ระบบโฟกัสภาพ และค่าสมดุลสีขาว
แนะนำแคมเปญ ThaiPicStory

ด้วยกล้องถ่ายภาพระดับไฮเอนด์บน Huawei P10 และ P10 Plus จึงช่วยให้ทุกคนถ่ายภาพได้สวยดุจช่างภาพมืออาชีพได้ไม่ยาก เพราะฉะนั้น Huawei จึงเชิญชวนคนไทยทุกคนให้หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาถ่ายภาพเพื่อบอกเล่าเรื่องราวความเป็นไทยในแบบฉบับของตนเอง แล้วส่งเข้ามาร่วมแคมเปญ ThaiPicStory ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน ถึง 31 กรกฎาคมนี้ โดยทาง Huawei จะรวบรวมภาพถ่ายทั้งหมดเพื่อบันทึกเป็นสถิติโลกครั้งใหม่ของกินเนสบุ๊ค (Guinness World Records) ร่วมกัน
วิธีการก็ไม่ยากครับ เพียงแค่หยิบสมาร์ทโฟน Huawei P10, P10 Plus หรือสมาร์ทโฟนรุ่นใดก็ได้ของท่านขึ้นมา แล้วทำตามขั้นตอนดังนี้
1. ถ่ายภาพ พร้อมติด Hashtag คำว่า #ThaiPicStory
2. แชร์ลงใน Facebook หรือ Instagram ของคุณ
3. ตั้งค่าโพสต์เป็นสาธารณะ
4. สามารถใช้โทรศัพท์รุ่นใดก็ได้ในการถ่ายภาพ
5. สามารถส่งภาพคนละกี่ภาพก็ได้ ไม่จำกัด
โดยท่านที่สนใจก็สามารถเข้าร่วมแคมเปญ ThaiPicStory นี้ ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ถึง 31 กรกฎาคม 2560
สรุปความประทับใจหลังจากเที่ยวไทยในหนึ่งวันไปกับ Huawei P10 Plus

หลังจากพกเอา Huawei P10 Plus ออกไปท่องเที่ยวถ่ายภาพแบบจัดเต็มตลอดทั้งวัน ก็พบว่าสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ช่วยให้ทริปท่องเที่ยววิถีไทยแบบ One Day Trip วันนี้มีความสนุกสนานมากขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว เนื่องจากสามารถเก็บภาพสวยๆ ได้ง่ายกว่าที่คิด แม้ไม่ได้เป็นช่างภาพมือโปรก็มีตัวช่วยอยู่มากมาย ด้วยโหมดถ่ายภาพแบบต่างๆ ที่พร้อมตอบโจทย์การถ่ายภาพได้ทุกรูปแบบทุกสถานการณ์ และสามารถปรับตั้งค่าได้อย่างยืดหยุ่น โดยทริปในวันนี้ผู้เขียนเองก็มีโอกาสได้ใช้งานกล้อง Huawei P10 Plus อย่างเต็มที่ ตั้งแต่โหมดมาตรฐาน, โหมดขาวดำ, โหมดโบเก้, โหมดถ่ายภาพบุคคล, โหมด HDR, โหมดถ่ายภาพแนวกว้าง, โหมดกลางคืน, โหมดวาดเส้นไฟ, โหมดถ่ายภาพอาหาร และโหมดเซลฟี่ เรียกได้ว่าได้สัมผัสครบทุกรสชาติภายในวันเดียว จนทำให้มั่นใจว่าไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนหากพกเอา Huawei P10 Plus ติดตัวไปด้วย ก็รับรองได้ว่าไม่มีพลาดช็อตสวยๆ ช็อตไหนอย่างแน่นอน สมกับคำว่า "พก Huawei P10 Plus ตัวเดียวเที่ยวได้ทั่วไทย"
สำหรับสิ่งที่ประทับใจเป็นพิเศษ หรือหาไม่ได้สมาร์ทโฟนแบรนด์อื่น ก็มีตั้งแต่การที่มาพร้อมกับกล้อง Leica ทั้งกล้องหน้า-กล้องหลัง, โหมดโบเก้ที่สามารถปรับจุดโฟกัส กับรูรับแสงได้ในภายหลัง, การถ่ายภาพขาวดำแบบโบเก้ที่ดูโดดเด่นเตะตาสื่ออารมณ์ได้เป็นอย่างดี, กล้องหน้า Leica ที่มีทั้งฟังก์ชัน Beauty และฟังก์ชัน Portrait และโหมดมืออาชีพที่กำหนดค่าต่างๆ ได้เองอย่างอิสระ
สุดท้ายที่อยากฝากกันก็คือแคมเปญ ThaiPicStory ที่ทาง Huawei ภูมิใจนำเสนอสำหรับคนไทยโดยเฉพาะ อย่าลืมหยิบสมาร์ทโฟนของท่านขึ้นมาถ่ายภาพความเป็นไทยในแบบฉบับของคุณเอง แล้วแชร์ให้ทุกคนได้ร่วมสัมผัส พร้อมร่วมสร้างเป็นสถิติโลก ผ่านทาง Hashtag คำว่า #ThaiPicStory กันนะครับ (รายละเอียดเพิ่มเติมที่ด้านบน) สุดท้ายนี้ทีมงานเว็บไซต์ไทยโมบายเซ็นเตอร์ก็ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ
เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เจาะเทคนิคถ่ายภาพสวยด้วย Huawei P10 Plus พร้อมฟีเจอร์ถ่ายภาพสุดไฮเอนด์ ถ่ายให้สวยระดับมือโปร!
นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 20/6/60
|